ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1968 ข่มขู่เจ้าตำหนัก
ในเวลานี้ เจ้าตำหนักก็กล่าวเตือนอย่างอ่อนโยนว่า “เสี้ยวเอ๋อร์ แม่นางมู่เป็นแขก เจ้าอย่าได้หุนหันพลันแล่นจนเกินไปนัก! วันมงคลของน้องสาวเจ้ากำลังจะมาถึงแล้ว ไม่เหมาะที่จะต้องมาเห็นเลือดเช่นนี้!”
เมิ่งเสี้ยวไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ทว่าค่อนข้างที่จะเชื่อฟังคำพูดของแม่ตนเองมากกว่า
“ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะปล่อยให้นางมีลมหายใจต่อไปก็แล้วกัน”
เขาเคลื่อนไหวข้อมือของเขา และหอกสีดำที่มีพลังที่อันตราย ก็พุ่งไปตรงไปปราบมู่เฉียนซี
แววตาของมู่เฉียนซีมืดลงเล็กน้อย เป็นพลังเช่นนี้อีกแล้ว ที่ทำให้พลังในการต่อสู้ของเมิ่งเสี้ยวเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ร่างของนางสว่างวาบขึ้น และพุ่งทะยานออกไป เพื่อหลบหลีกการโจมตีของเมิ่งเสี้ยว
ตูมมมม!
พื้นดินถูกผ่าออกจากกัน แต่พลังที่แข็งแกร่งนั้นยังคงไม่แผ่กระจายออกไป ซึ่งทำให้ผู้คนต่างตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก
“ได้ยินข่าวลือมาว่าพรสวรรค์ในการฝึกฝนของคุณชายสี่ธรรมดามาก ดูเหมือนว่าเจ้าตำหนักเมิ่งคงจะถ่อมตัวสินะ”
“ความสามารถเช่นนี้ ก่อนที่จะอายุห้าสิบจะต้องสามารถบรรลุจนกลายเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ได้แน่ ความจริงแล้วมีพรสวรรค์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว”
“……”
“เจ้ารู้จักแต่วิธีหลบหลีกหรืออย่างไร? มู่เฉินซี!” การแสดงออกของเมิ่งเสี้ยวยิ่งโหดร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ และการกวัดแกว่งแต่ละครั้งก็ยิ่งดุร้ายขึ้นอีกด้วย
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “โอ้! ข้าไม่หลบ เช่นนั้นเจ้าก็จัดการสิ่งเหล่านี้เอาก็แล้วกัน!”
นางโยนอาวุธลับออกมานับไม่ถ้วน และทันใดนั้นการโจมตีที่มีเล่ห์เหลี่ยมก็พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง
ปัง ปัง ปัง!
แน่นอนว่าเมิ่งเสี้ยวไม่โดนการโจมดี แต่มันกลับทำให้เขาโกรธเคืองมากอยู่ดี
เส้นเลือดบนมือที่ถือหอกยาวอยู่นั้นกระตุกอย่างรุนแรง “อาวุธลับ! เจ้านี่ต่ำช้านัก”
“ก่อนหน้านี้เจ้ายังใช้ดอกไม้นั่นลอบโจมตีข้า เพื่อดึงดูดให้เข้าตกอยู่ในความฝัน ข้าใช้อาวุธลับเล็กน้อยแค่นี้เอง นี่เป็นแค่การใช้วิธีแบบตาต่อตาฟันต่อฟันต่างหาก”
ฟิ้ว!
และมีเสียงแหวกอากาศเสียงหนึ่งดังออกมาอีกครั้ง เมิ่งเสี้ยวอยากจะเล่นกับนาง เช่นนั้นนางจะเล่นเป็นเพื่อนเขาเอง อย่างไรเสียเมื่อถึงตอนนั้นคนที่ถูกเล่นจนตายก็ต้องเป็นเขาอยู่แล้ว
เมิ่งเสี้ยวกวาดเข้าไปอีกครั้ง เงาของการกวัดแกว่งเปลี่ยนไปมาอย่างฉับพลันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งดูเหมือนจริงแต่ก็ดูราวกับเป็นภาพลวงตาด้วยเช่นกัน
“คราวนี้ ดูสิว่าเจ้าจะหลบหลีกได้อย่างไร!” เขากล่าวอย่างเยาะเย้ย
แต่ความเร็วของมู่เฉียนซีกลับเร็วมากขึ้นกว่าเดิม และมันก็กลายเป็นร่องรอยนับไม่ถ้วน จนเขาคิดว่าโจมตีได้เพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้นเสียแล้ว
“พลังวายุทำลาย ดับสูญ!”
“พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
ตูมมมม โครมมม!
การโจมตีทางทักษะวิญญาณธาตุวายุพัดโหมกระหน่ำเข้ามา
คนอื่นล่าถอยออกไปโดยไม่รู้ตัว และกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ช่างเป็นการโจมตีของธาตุวายุที่รุนแรงเสียจริง ๆ”
“พลังวายุทำลาย จันทราหนาวเหน็บ!”
ภายในสถานการณ์ที่สับสนวุ่นวาย มู่เฉียนซีก็วนอ้อมมาอยู่ด้านหลังของเมิ่งเสี้ยว และโจมตีอย่างต่อเนื่อง
การโจมตีของนางรวดเร็วมาก ราวกับว่านางสามารถใช้ทักษะทางวิญญาณโจมตีอย่างต่อเนื่องได้โดยไม่จำเป็นต้องหยุดพักเลยอย่างไรอย่างนั้น และดูเหมือนว่าพลังวิญญาณนั้นจะสามารถใช้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดอีกด้วย
ทุกที่ภายในอากาศต่างก็เต็มไปด้วยสายลมทั้งนั้น และเมิ่งเสี้ยวก็สัมผัสได้ถึงวิกฤตที่หนักหนาเป็นอย่างมาก
ครั้นทักษะวิญญาณธาตุวายุกำลังโจมตีอย่างต่อเนื่อง เมิ่งเสี้ยวก็คำรามว่า “ไร้ประโยชน์ เจ้าเป็นเพียงแค่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับแปดเท่านั้น แม้ว่าจะใช้ทักษะวิญญาณที่แข็งแกร่งเพียงใด ก็อย่าหวังว่าจะทำร้ายข้าได้เลย”
“กระจายออกไป!”
หอกยาวเริงระบำอย่างบ้าคลั่ง พลังสีดำทะลักออกมา และขวางการโจมตีของมู่เฉียนซีเอาไว้
มู่เฉียนซีเลือกที่จะหลบหลีก เพื่อหลีกเลี่ยงความคมของมัน แต่ทว่าขนนกสีดำอันหนึ่งก็บินออกไป และตอนนี้มู่เฉียนซีก็เริ่มใช้ขนปีกหงส์ทมิฬแล้ว
“อันตราย!” อันตรายที่กำลังใกล้เข้ามานี้ทำให้ขนของเมิ่งเสี้ยวตั้งชันขึ้นมา และเขาก็ต้องหลบหลีกอย่างรวดเร็ว
ถึงมันจะไม่ได้แทงทะลุเข้าหัวใจ แต่ก็มีเข็มบาง ๆ เล่มหนึ่งปักอยู่ที่ไหล่ของเขา
“นั่นมันอาวุธลับอะไรกัน!”
“อาวุธลับก่อนหน้านี้เหล่านั้นคงเอาไว้บังตาเท่านั้นสินะ! นี่ต่างหากที่เป็นความยอดเยี่ยมที่แท้จริงของมัน!”
“……”
คนอื่น ๆ ต่างจ้องมองด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“บัดซบเอ้ย!” เมิ่งเสี้ยวร้องคำรามลั่น เขาได้เคลื่อนไหวหอกยาวเล่มนั้นโจมตีมู่เฉียนซีอย่างต่อเนื่อง
ตึง!
เขาเซไปเซมาอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งคิดไม่ถึงเลยว่าจะยืนอย่างมั่นคงไม่ได้ จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงบนพื้น และมีเลือดสีดำไหลออกมาจากไหล่ซ้ายของเขา
“ให้ตายเถอะ มีพิษนี่!” ดวงตาคู่นั้นของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำขึ้นมาทันที
“ข้าไม่มีทางยอมแพ้แน่ เจ้าตายซะเถอะ!”
มือทั้งสองข้างของเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยพลังสีดำนานาชนิดเช่นนี้ และทุกคนต่างก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งร่างกาย จากนั้นแต่ละคนก็มองไปทางเมิ่งเสี้ยว พร้อมทั้งรู้สึกว่าพลังสีดำนั้นมีบางอย่างที่แปลกประหลาด
แน่นอนว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่เขาไปฝึกฝนเคล็ดวิชาพิเศษอะไรบางอย่างมา!
เสียงที่เย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้น “เสี้ยวเอ๋อร์ พอแล้ว!”
เมิ่งเสี้ยวไม่พอใจ ถึงแม้สุดท้ายเขาจะลุกขึ้นมาไม่ได้แล้ว แต่เขากลับขว้างหอกยาวไปทางมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ เพื่อหลบหลีกการโจมตีของหอกยาวเล่มนั้น และปลายเท้าของนางก็กระแทกลงไปบนหอกยาวนั้น จนทำให้มันหันไปทางเมิ่งเสี้ยว หลังจากนั้นก็เตะไปที่มันหนึ่งที
ตึง!
ตัวของเมิ่งเสี้ยวกลิ้งออกไป และหอกยาวดามนั้นก็ปักลงไปในพื้นดิน
พรวด!
เมิ่งเสี้ยวที่ถูกมู่เฉียนซีเตะไปทีหนึ่ง ก็กระอักเลือดออกมาโดยตรง พร้อมด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว
คนอื่น ๆ ต่างพากันตกตะลึงเป็นอย่างมาก “สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเอาชนะผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับเก้าคนหนึ่งได้”
“แม้ว่าจะใช้อาวุธลับ แต่ก็ยอดเยี่ยมมากถึงมากที่สุดจริง ๆ”
“……”
มู่เฉียนซีมองไปทางเมิ่งเสี้ยวแล้วกล่าวว่า “เจ้าแพ้แล้ว!”
“ข้าไม่แพ้ ข้าไม่แพ้…”
เวลานี้พัดวิหคเฟิงหลิงจ่ออยู่บนคอของเขา มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ไม่แพ้อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเมิ่งเสี้ยวมองเห็นเจตนาฆ่าที่เย็นยะเยือกในแววตาของนาง ทันใดนั้นก็พูดคำว่า ‘ไม่แพ้’ ไม่ออกอีกแล้ว เขากลัวว่าทันทีที่ทำให้หญิงสาวคนนี้โกรธ ศรีษะของเขาจะถูกทำให้ตกลงไปบนพื้นจริง ๆ
เจ้าตำหนักเมิ่งกล่าวว่า “ในเมื่อรู้ผลแพ้ชนะแล้ว เช่นนั้นก็รีบหยุดมือเสียเถอะ! เจ้าเด็กเสี้ยวเอ๋อร์ผู้นี้บุ่มบ่ามมากเกินไปแล้ว ข้าต้องขอโทษเจ้าแทนเขาด้วย”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าตำหนักเมิ่ง หากจะขอโทษแล้วละก็คงจะต้องมีความจริงใจเสียหน่อย! ข้ายอมรับคำท้าทายของคุณชายสี่เมิ่งแล้ว ไม่ทราบว่าท่านเจ้าตำหนักจะสามารถเป็นผู้ตัดสิน และให้ข้าได้พบกับศิษย์พี่ฉู่หลีของข้าได้หรือไม่!”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะขัดขวาง แต่ทว่ากฏต้องมาก่อน แม่นางมู่โปรดเห็นใจด้วย! ฉู่หลีคือคู่หมั้นคู่หมายของเสี่ยวชิง หรือเจ้าคิดว่าข้าจะทำให้ฉู่หลีอึดอัดใจอย่างนั้นหรือ? งานแต่งใกล้ที่จะจัดขึ้นมาแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็สามารถเจอเขาได้แล้ว” เจ้าตำหนักเมิ่งกล่าว
“ได้! ในเมื่อท่านไม่ยอมให้ข้าเจอกับศิษย์พี่ ถึงอย่างไรท่านก็ต้องให้ข้าพบกับท่านอาจารย์ฉู่ของข้าได้สินะ!”
“อาจารย์ฉู่ของเจ้า เจ้าสำนักฉู่ไม่ได้มาที่ตำหนักเทพวิญญาณหลับใหลแห่งนี้”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์ฉู่ไม่ได้อยู่ในสำนักนี่น่า! หรือว่าตำหนักเทพวิญญาณหลับใหลของพวกเจ้าให้ลูกสาวของพวกเจ้ามาแต่งงานกับศิษย์พี่ของข้า แต่กลับไม่ให้อาจารย์ของข้ามาเป็นประธานงานแต่งอย่างนั้นหรือ? ถึงแม้ว่าตำหนักเทพวิญญาณหลับใหลของพวกเจ้าจะเป็นกองกำลังระดับสี่ ก็อย่าเอาแต่ใจเกินไปหน่อยเลย!”
“แม่นางมู่ท่านเข้าใจผิดแล้ว”
“อย่างไรก็ตามหากข้าไม่เจอท่านอาจารย์ หรือท่านอาจารย์ไม่ได้เป็นประธานในพิธีแต่งงานครั้งนี้ ข้าคงไม่อาจที่จะยอมรับได้อย่างแน่นอน! และเมื่อถึงเวลานั้นข้าคงจะก่อกวนงานแต่งงานของคุณหนูเมิ่งจนสับสนอลหม่านเป็นแน่ ฉะนั้นท่านเจ้าตำหนักก็อย่าตำหนิข้าก็แล้วกัน” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“ใช่แล้ว! หากคุณชายฉู่หลีต้องแต่งงานกับคุณหนูเมิ่ง ถึงอย่างนั้นก็ต้องให้อาจารย์มาเป็นประธานในงานแต่งงานด้วยถึงจะถูก”
“ใช่แล้ว! คุณชายฉู่หลีไม่ใช่คนที่ไม่มีอาจารย์เสียหน่อย”
“……”
สีหน้าของเจ้าตำหนักเมิ่งและเมิ่งเสี่ยวชิงน่าเกลียดเป็นอย่างมาก มู่เฉียนซีกล่าวว่า “สรุปแล้วท่านเจ้าตำหนักได้เชิญมาหรือไม่ ตอนนี้ข้าต้องการเพียงแค่คำตอบเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะออกแรงกดลงไปที่คอของเมิ่งเสี้ยวเพิ่มอีกสักหน่อยหรอกนะ!”
ฟึ่บ! บนคอของเมิ่งเสี้ยวปรากฏรอยเลือดไหลออกมา เขาสูดอากาศที่เย็นยะเยือกเข้าไปด้วยความเจ็บปวด
คนอื่น ๆ ต่างจ้องมองด้วยความตื่นตะลึง มู่เฉินซีผู้นี้กำลังจะเอาชีวิตของคุณชายสี่มาข่มขู่เจ้าตำหนักเมิ่งอย่างนั้นหรือ?
ช่างบ้าไปแล้วจริง ๆ สถานที่แห่งนี้คืออาณาเขตของตำหนักเทพวิญญาณหลับใหล หากคุณชายสี่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น นางก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเป็นแน่!
พวกเขากล่าวว่า “แม่นางมู่ เจ้าอย่าหุนหันพลันแล่นเลยขอรับ!”
“มีอะไรก็พูดกันดี ๆ สิ เจ้าตำหนักเมิ่งใจดีและอ่อนโยนกับเจ้ามาตลอดเลยนะ”
“……”
.
.