ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1962 อยากทำให้ล่ม
นางกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ข้าไม่ได้มาฆ่าคนปิดปากเสียหน่อย ข้าเพียงแค่ต้องการให้เจ้านำคำพูดของข้าไปบอกผู้นำตระกูลของเจ้าเท่านั้น บอกเขาว่าข้าไม่ได้เป็นคนฆ่าเซี่ยโหวจือ”
“เจ้าโกหก!” เขาคำรามร้อง
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าไม่ได้กลัวคนของตระกูลเซี่ยโหวจะมาไล่ล่าเลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนว่าพวกเจ้าก็ไม่มีทางทำอะไรข้าได้ด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ายังจำเป็นที่จะต้องโกหกพวกเจ้าอีกหรือ?”
มันบ้ามากจริง ๆ ที่เขารู้สึกว่านางเด็กสาวผู้นี้พูดมีเหตุผลอย่างไม่คาดคิดเช่นนี้ และคนที่กำลังหอบอยู่ผู้นี้เผยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา
“ข้าจะปล่อยให้เจ้าไป เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องส่งคำพูดนี้ไปให้ถึง! หากตระกูลเซี่ยโหวของพวกเจ้ายังไม่มีเหตุผลเช่นนี้อีก ชะตากรรมของพวกผู้นำตระกูลเซี่ยโหว ก็จะเป็นเหมือนชะตากรรมของสมาคมการค้าเฮยอวิ๋น” มู่เฉียนซีกล่าวเตือนอย่างเย็นชา
เมื่อพูดจบ มู่เฉียนซีก็หันหลังแล้วจากไป
เมื่อรอดชีวิตมาได้แล้ว เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางบ่นพึมพำว่า “นางสาวน้อยผู้นี้ ปล่อยข้าไปจริง ๆ สินะ”
ตอนนี้ร่างกายของเขาถูกวางยาพิษ แม้ว่าจะฝึกฝนได้ทันเวลา แต่ก็กลายเป็นคนพิการไปแล้วอย่างแน่นอน นางมีอะไรที่ต้องกังวลกัน
สมาคมการค้าเฮยอวิ๋นในเวลานี้ถูกยึดอำนาจแล้ว และเหลือเพียงแค่พวกไก่อ่อน ที่ง่ายต่อการจัดการเท่านั้น
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ไปจับทุกคนมาให้หมด และค่อยดูว่าคุณชายของพวกเจ้า ต้องการที่จะจัดการคนเหล่านี้อย่างไร ”
“เก็บสมบัติของสมาคมการค้าเฮยอวิ๋นมาให้หมด รอข้ากลับไปแบ่งกับคุณชายของพวกเจ้าทีหลัง! ไม่ใช่ว่าให้ข้าทำงานแล้วจะไม่ได้อะไรเลยหรอกนะ!”
ทางด้านของฉงหมิงก็กำลังดำเนินการอยู่ที่สำนักสือเหมินเช่นกัน และคนอื่น ๆ ต่างก็กวาดแต่ละสาขาของสมาคมการค้าเฮยอวิ๋นและสำนักสือเหมินมาได้ทั้งหมดแล้ว
เมื่อรอให้พวกเขาเก็บงานเสร็จสิ้นและกลับไปแล้ว วีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของคุณชายฉงหมิงในการกำจัดสองคู่แข่งใหญ่คราวนี้คงทำให้กองกำลังระดับสี่มากมายต่างหวาดกลัวเขามากขึ้น และคงไม่กล้าที่จะดูถูกคุณชายฉงหมิงอีกแล้ว
การที่ฉงหมิงมายังอาณาเขตดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของราชวงศ์ตงหวงในคราวนี้สามารถอธิบายได้ว่าเขามาเพื่อแสดงอำนาจของกองกำลังทั้งหมด และเมื่อทำงานอะไรหลังจากนี้คงจะราบรื่นขึ้นไม่น้อยเลย
หลังจากที่กลับไปแล้ว ก็เริ่มแบ่งของที่ยึดมาได้
มู่เฉียนซีเลือกแย่งเอาสมุนไพรวิญญาณที่นางชอบมาก่อน และฉงหมิก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าก็เป็นนักหลอมอาวุธคนหนึ่งเช่นกัน ไม่ต้องการพวกหินแร่บ้างเลยหรืออย่างไร? หากทั้งหมดนั้นเจ้าไม่ต้องการก็คืนมาให้ข้า”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ใครบอกว่าไม่เอากัน เจ้าไม่ต้องมาเตือนหรอก ข้ากำลังเลือกอยู่”
หลังจากที่แบ่งของกันเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่ามู่เฉียนซีไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกแล้ว
นางเตรียมตัวที่จะออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์ เพื่อตามหาคนอื่น ๆ หรือไม่ก็ไปสอบถามหาข้อมูลของมังกรศักดิ์สิทธิ์แห่งแสงสว่าง
“เจ้าจะไปแล้วหรือ! แล้วทักษะการหลอมอาวุธนั่นของเจ้า แน่ใจแล้วหรือว่าจะไม่อยู่ต่อให้ข้าชี้แนะเจ้าก่อน”
ต้องยอมรับว่าพรสวรรค์ของนางนั้นยอดเยี่ยมมากทีเดียว แต่ประสบการณ์ยังไม่พอ เมื่อเห็นว่านางช่วยเหลือไว้มาก มันจึงเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่อยากจะสอนนาง
มู่เฉียนซีไม่ได้ตอบกลับ แต่กล่าวว่า “การมีอยู่ของเจ้าพวกสำนักหลางซิงมันขัดหูขัดตามาก สำหรับพวกเจ้าแล้วถ็ถือว่าเป็นอีกอุปสรรคหนึ่งเช่นกัน หากเจ้าไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับจูเชว่และไป๋เจ๋อ แล้วเมื่อไรจะคิดวิธีขับไล่พวกเขาออกไปได้เสียที แน่นอนว่าหอหมอปีศาจของข้าก็จะช่วยเหลือเช่นกัน”
ถึงอย่างไรเสียคนที่อยู่เบื้องหลังก็คือมู่หลินหลาง และการที่สำนักหลางซิงมียอดฝีมือระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณผุดออกมาเป็นบางครั้ง ซึ่งหากกระทำอย่างหุนหันพลันแล่นอาจจะกลายเป็นเรื่องที่อันตรายมากได้
แต่ทว่าหากเป็นพวกเขาทั้งสามรวมไปถึงหอหมอปีศาจเคลื่อนไหวด้วยกัน ก็จะมีโอกาศที่จะเอาชนะได้สูงมาก
ฉงหมิงกล่าวว่า “เจ้าจิ้งจอกบ้านั่นรวบรวมข้อมูลมาได้แล้ว หากมีโอกาสที่เหมาะสม จะต้องเคลื่อนไหวแน่นอน! อันที่จริงแล้วก็ปล่อยพวกเขาให้หลงระเริงมานานมากพอแล้ว”
“ข้าพูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าไปล่ะ” มู่เฉียนซีโบกมือไปแล้ว และตรงออกไปทันที
ฉงหมิงกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “นางผู้หญิงบ้า เจ้าจะไปจริง ๆ หรือ? เจ้าลืมที่ข้าพูดกับเจ้าก่อนหน้านี้แล้วอย่างนั้นหรือ? ทักษะหลอมอาวุธของเจ้ายังต้องฝึกฝนอีกนะ เมื่อเจอยอดฝีมือเจ้าจะได้ไม่ขายหน้า!”
“เจ้า…”
และเพียงไม่นานเขาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของมู่เฉียนซีเลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันทำให้เขาโกรธจนแทบคลั่งเลยทีเดียว
หลังจากที่มู่เฉียนซีออกมาจากอาณาเขตของฉงหมิงแล้ว ก็ได้ไปสมาคมนักหลอมอาวุธเพื่อรายงานผู้นำสมาคมว่าตนเองปลอดภัยแล้ว เพราะอย่างไรเสียนางก็ถูกคนจับตัวไปต่อหน้าต่อตาเขา
“แม่สาวน้อย เจ้ากลับมาแล้ว” ผู้นำสมาคมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว! ข้าหนีออกมาจากเงื้อมมือของราชาปีศาจ และสามารถคืนอิสรภาพให้ตนเองได้แล้ว” มู่เฉียนซีกล่าวพลางหัวเราะคิกคัก
ตอนที่นางพูดจบ ก็ได้เห็นใครบางคนกำลังยืนมองนางอยู่ที่หน้าประตู หลังจากนั้นก็กัดฟันกล่าวว่า “ราชาปีศาจหรือ!”
หากเขาเป็นราชาปีศาจ เช่นนั้นหญิงสาวเช่นนางก็คงเป็นจอมปีศาจผู้ยิ่งใหญ่แล้ว
ผู้นำสมาคมผงะไปครู่หนึ่ง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “โชว่เอ๋อร์ เจ้าก็ออกมาแล้วหรือ! หายากจริง ๆ เจ้าไม่รู้หรอกว่าช่วงที่ผ่านมานี้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายแค่ไหน แม่สาวน้อยมู่ต้องทนความลำบาก...”
ผู้นำสมาคมลากมู่หรงโช่วไปพูดคุยเรื่องราวมากมาย และส่วนใหญ่ต่างก็พูดถึงเรื่องความงี่เง่าต่าง ๆ ของฉงหมิง ทั้งเรื่องการทำตัวเย่อหยิ่งไร้เหตุผลอย่างรุนแรง แล้วยังมี…
มู่เฉียนซีที่ยืนฟังอยู่อีกด้านหนึ่ง ก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ และสีหน้าของเจ้าฉงหมิงก็บูดบึ้งเป็นอย่างมากทีเดียว!
การที่มู่เฉียนซีจากไปอย่างไม่สนใจใยดี ทำให้ฉงหมิงไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองถึงต้องไล่ตามมาอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ด้วย
หลังจากนั้นเขาก็คันพบว่านางมาถึงสมาคมนักหลอมอาวุธแล้ว ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้มู่หรงโช่วออกจากการเก็บตัวมาเสีย
แต่ทว่า เมื่อมาฟังคำพูดของผู้นำสมาคม เขา…เขารู้สึกว่าโดนใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง
มู่เฉียนซีมองไปทางมู่หรงโช่วพลางกล่าวว่า “คุณชายมู่หรง ข้ารู้สึกว่าทักษะหลอมอาวุธของข้ายังขาดอะไรบางอย่าง ในเมื่อท่านเลิกเก็บตัวพอดี จะช่วยชี้แน่ะข้าสักสองสามวันได้หรือไม่?”
มู่หรงโช่วกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไสหัวไปซะ!”
ตอนแรกไม่ตอบรับ แต่ตอนนี้กลับเอ่ยขึ้น นางผู้หญิงคนนี้จะต้องจงใจอย่างแน่นอน ฉะนั้นมู่หรงโช่วจึงไม่ได้ให้เกียรตินางเลย!
ผู้นำสมาคมกล่าวอย่างโกรธเคือง “โชว่เอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากัน? เจ้าพูดกับแม่นางมู่เช่นนี้ได้อย่างไร ที่แม่นางมู่ถูกจับตัวไปคราวนี้เป็นเพราะสมาคมหลอมอาวุธของพวกเรา ฉะนั้นก็ควรที่จะชดใช้ให้นางอย่างดีสิ”
“ชี้แนะสักหน่อยมันจะเป็นอะไรไป? พรสวรรค์ของแม่สาวน้อยมู่ดีถึงเพียงนี้ มันทำให้เจ้าอึดอัดตรงไหนกันล่ะ”
“……”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับน้ำเสียงที่บ่นไม่หยุดหย่อยของผู้นำสมาคม สุดท้ายแล้วมู่หรงโช่วจึงทำได้เพียงแค่ยอมแพ้ และตอบตกลงเท่านั้น
เขามองไปทางมู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “หากเจ้าอยากเรียน ก็ตามข้ามา!”
หลังจากนั้นมู่หรงโช่วก็หันกลับไป มู่เฉียนซีที่ไล่ตามไปก็กล่าวขึ้นมาว่า “คุณชายมู่หรง ไม่ใช่ว่าเจ้าพึ่งจะเลิกเก็บตัวมาอย่างนั้นหรือ? เหนื่อยมากขนาดนั้น! อยากจะพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่?”
“หากใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไป มันจะไม่ทำให้ร่างกายอ่อนแออย่างนั้นหรือ?”
มู่หรงโช่วตะเบ็งเสียงขึ้นว่า “หากจะอ่อนแอ ก็น่าจะเป็นเพราะถูกเจ้ามู่เฉินซีทำให้โกรธเสียมากกว่า เจ้าหุบปากได้แล้ว”
เห็นอยู่ชัด ๆ ว่านางรู้ตัวตนของเขา ยังตั้งใจแสร้งโง่เง่าแกล้งคนอื่นอีก และมู่หรงโช่วก็โกรธจนดวงตาทั้งสองข้างจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว
มู่เฉียนซีเข้าไปใกล้มู่หรงโช่วพลางกระซิบกระซาบว่า “อย่างอารมณ์เสียมากถึงเพียงนั้นสิ! นี่เจ้าอยากจะทำให้มันล่มหรือไง! คนที่มีอารมณ์ร้ายบ้าคลั่งคือคุณชายฉงหมิงต่างหาก! ส่วนมู่หรงโช่วเป็นแค่นักหลอมอาวุธอัจฉริยะที่หยิ่งผยองและหมกมุ่นอยู่กับการหลอมอาวุธคนหนึ่งเท่านั้น”
“การแสดงของเจ้านี่แย่จริง ๆ เลย! หากถูกเปิดเผยจะทำอย่างไรล่ะ? เรื่องนี้หากเทียบกับจูเชว่เจ้ายังห่างชั้นอยู่มากเลยจริง ๆ”
ปัง!
ฉงหมิงทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วจริง ๆ เข้าจึงพุ่งตัวเข้าไปในประตูและปิดมันอย่างแรง
เขารู้สึกโมโหทันทีที่เห็นนาง ฉะนั้นวันนี้จึงตัดสินใจไม่เจอนางอีกแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “เช่นนั้นวันนี้เจ้าพักผ่อนไปก่อนก็แล้วกัน! แล้วพรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมใหม่”
มู่เฉียนซีเรียนการหลอมอาวุธกับฉงหมิงที่สมาคมนักหลอมอาวุธ และฉงหมิงก็แบ่งปันประสบการณ์ของตนเองให้กับมู่เฉียนซีอย่างไม่มีปิดบังเอาไว้เลย
นอกจากที่เขาโมโหมู่เฉียนซีจนรู้สึกอยากจะฆ่าคนในบางครั้งแล้ว ทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างราบรื่นดี
ในตอนที่มู่เฉียนซีกำลังเรียนการหลอมอาวุธบางอย่างอยู่นั้น นางก็ได้เปิดข้อมูลที่จูเชว่ส่งมาให้พอดี
พลันนั้นจดหมายในมือของนางก็ถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา และจิตสังหารที่เย็นยะเยือกก็แผ่กระจายออกมาจากตัวของนาง
.