ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1960 คนเดียวที่มีชีวิตรอด
มู่เฉียนซีเหลือบมองไปทางพิฆาตวิญญาณแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่อนุญาต!”
ดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นจ้องมองมา เมื่อสบตากันและกัน พิฆาตวิญญาณกระซิบกระซาบด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “แต่ข้าอยากจะทำมันมากเลยนี่นา!”
ร่างเงาสีแดงนั้นพุ่งทะยานออกไป จากนั้นก็ตรงเข้าไปเหยียบอยู่บนร่างของเฟิงอวิ๋นซิว และรู้สึกราวกับว่าอยากจะเหยียบหัวใจของเขาให้แหลกสลายอย่างไรอย่างนั้น
สุดท้ายแล้วเขาก็หยุดมือ และไม่ได้ต้องการเอาชีวิตของเฟิงอวิ๋นซิวอีกต่อไป
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “รีบออกไปเร็วเข้า และอย่าได้มองมันอีก หากว่าพวกเจ้าไม่อยากที่จะฝันร้ายล่ะก็นะ”
ด้วยกลิ่นอายของพิฆาตวิญญาณเมื่อครู่ช่างน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว และพวกเขาจะกล้ามองได้อย่างไรกัน?
ตูมมม!
หลังจากที่พวกเขาถอยออกมาไกลแล้ว ก็ได้มีเสียงกรีดร้องที่น่าเวทนากับเสียงที่ดังสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่ง หลังจากนั้นกลิ่นคาวเลือดก็ลอยคละคลุ้งไปทั่ว
สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนต่างซีดเผือด แต่มู่เฉียนซีกลับกำลังตรวจร่างกายให้กับฉงหมิง
“สุขภาพดีมากเลยทีเดียว! ถึงได้ฟื้นฟูเร็วขนาดนี้ ทนทานดีจริง ๆ!” มู่เฉียนซีกล่าวประเมิน
ฉงหมิงกล่าวว่า “เจ้ารู้จักกับเฟิงอวิ๋นซิวอย่างนั้นหรือ? เจ้าไม่กลัวว่าพิฆาตวิญญาณจะฆ่าเขาจริง ๆ หรือ”
“หากเขาจะกล้าขัดคำสั่งข้าก็ลองดูสิ?”
“คนเช่นนั้น เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะสามารถควบคุมได้ ไม่กลัวเขาสังหารเจ้านายอย่างนั้นหรือ?” ฉงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขารู้สึกได้ว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่พิเศษต่อกัน แต่ทว่าคนผู้นี้อันตรายมากเกินไป และแข็งแกร่งมากเกินไป และจะควบคุมได้ง่ายถึงเพียงนั้นเลยอย่างนั้นหรือ?
“เรื่องนี้เขาทำมันมาหลายสิบรอบแล้ว ข้าก็ไม่เคยกลัวเขามาก่อน! สู้กันแบบตัวต่อตัว กลัวใครที่ไหนล่ะ?”
ชีวิตหายไปทีละชีวิต วิญญาณแต่ละวิญญาณกลายเป็นความว่างเปล่า ความเงียบงันโดยรอบช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “พิฆาตวิญญาณจัดการคนเหล่านั้นไปหมดแล้ว ข้าจะไปดูเสียหน่อย!”
ฉงหมิงกล่าวว่า “ข้าก็จะไปด้วย!”
“คุณชาย!” คนอื่น ๆ ต่างกังวลเป็นที่สุด กลิ่นคาวเลือดนี้เข้มข้นเกินไป
หากนายท่านผู้นั้นตอนนี้เกิดคลั่งสังหารขึ้นมา คุณชายก็จะต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
“ข้าผู้นี้เป็นคนโชคดีมาก จะเรียกอะไรหนักหนา?” ฉงหมิงกล่าวอย่างไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
มู่เฉียนซีนำหน้าไปก่อน และมีบางคนที่คอยติดตามไปด้วยกันกับฉงหมิง
เมื่อตอนที่มาถึงยังสนามรบแห่งนั้น พวกเขาก็รู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในนรกสีเลือดอย่างไรอย่างนั้น
เลือดสด ๆ ได้ย้อมทั้งพื้นดินให้กลายเป็นสีแดงไปแล้ว ท่ามกลางซากศพเหล่านั้นมีคนเปื้อนเลือดเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่นอนอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ เลย
แม้ว่าพวกเขาจะเคยพบเจอกับอุปสรรคมาแล้วมากมาย แต่ก็รับไม่ไหวเช่นกัน
ร่างสีแดงเลือดร่างนั้น กำลังเคลื่อนผ่านเข้ามาถึงจุดนี้อย่างช้า ๆ
พิฆาตวิญญาณกล่าวว่า “อารมณ์ของข้าไม่ค่อยดีเท่าไร เลยใช้เวลามากไปเสียหน่อย ทำให้ลูกแมวน้อยรอนานเกินไปแล้ว”
เขามาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้ามู่เฉียนซีอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ก้มศรีษะแล้วจ้องมองมาที่มู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบที่ลูกแมวน้อยให้ความสนใจกับคนอื่นเลยจริง ๆ”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบว่า ”พิฆาตวิญญาณ ข้าเกรงว่าเรื่องนี้เจ้าคงยากที่จะสมหวัง!”
ดวงตาสีแดงเลือดฉายแววอันตรายออกมา เขากล่าวว่า “ลูกแมวน้อย นี่เจ้ากำลังบีบบังคับให้ข้าฆ่าเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าทำไม่ได้หรอก!”
ไม่ใช่ว่าเจ้าทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเจ้าสังหารไม่ได้ และใช้น้ำเสียงที่นักแน่นเช่นนี้พูดว่าเจ้าทำไม่ได้
มันไม่ได้ออกมาจากผู้ผูกพันธสัญญา แต่ออกมาจากความเชื่อมั่นที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ
มุมปากของพิฆาตวิญญาณกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย และเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อื้ม! ลูกแมวน้อยบอกว่าข้าทำไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็ทำไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว”
ฉงหมิงชี้ไปที่เฟิงอวิ๋นซิวพลางกล่าวว่า “แล้วคนนี้ให้ทำอย่างไร? เอากลับไปด้วยไหม? แล้วขังเอาไว้!”
มู่เฉียนซีกล่าวตอบว่า ”จับมาขังไว้ก็ไม่มีประโยชน์ หัวใจของเขามีไว้เพื่อมู่หลินหลางเท่านั้น ปล่อยให้เขานอนอยู่ที่นี่! น่าจะมีคนมาที่นี่อีก เขาตายไม่ได้! เพราะนี่คือคำเตือนสำหรับมู่หลินหลาง”
“ตามใจเจ้า!” ฉงหมิงกล่าวตอบ
เขาก็มองออกแล้วเช่นกัน ว่าเฟิงอวิ๋นซิวรับฟังคำสั่งของมู่หลินหลางอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าจะมัดเขากลับไปก็คงไม่อาจควบคุมได้อยู่ดี ไม่แน่ว่าจะเป็นการเอาพิมเสนไปแลกเกลือเสียเปล่า ๆ
แม้ว่านางจะไม่ชอบเขาที่อยู่ในสถานะสุนัขรับใช้ของมู่หลินหลาง แต่นางก็ไม่อาจปล่อยให้เขาตายได้
บนใบหน้า บนร่างกาย เต็มไปด้วยเลือดสด ๆ จนมองไม่ออกเลยว่าเป็นร่างมนุษย์ และมู่เฉียนซีก็เหลือบมองไปที่เขา พลางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ไปกันเถอะ!”
ในระหว่างทางกลับ แม้ว่าฉงหมิงจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังสามารถมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่ได้
เขากล่าวถามว่า ”ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้จักเฟิงอวิ๋นซิวมานานมากแล้ว และเจ้าก็ยังช่วยชีวิตเขาไว้ด้วย คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้าลงมือ?”
“เขาเป็นเพื่อนที่สำคัญมากของข้า หากต้องต่อสู้กันอีกในอนาคต คุณชายฉงหมิงโปรดออมมือด้วย” มู่เฉียนซีกล่าว
“เป็นเพื่อนกับเงาของมู่หลินหลาง มู่เฉียนซีเจ้านี่ช่างไม่กลัวตายเลยจริง ๆ แต่ว่าร่างเงานั่นของเขา…”
“ทำไมเจ้าถึงได้ชอบซุบซิบนินทาเช่นนี้ ข้าคิดว่าเจ้าจะกลายเป็นจูเชว่ไปแล้วนะ!”
“สำหรับเรื่องของศัตรู แน่นอนว่าต้องเข้าใจให้ได้อย่างชัดเจน วันนี้ข้าได้ไปตกอยู่ในกำมือของเขา และสักวันหนึ่งข้าจะต้องลบล้างความอัปยศของข้าแน่” ฉงหมิงกัดฟันกล่าว
หลังจากที่กลับไปแล้ว พวกเขาก็ไปพักฟื้น รวมไปถึงจัดระเบียบใหม่ และหลังจากที่จัดระเบียบเรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็ค่อยขับไล่สมาคมการค้าเฮยอวิ๋นอีกทั้งสำนักสือเหมินออกไปให้หมด
ตอนที่พวกเขาจากไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้มีคนมายังที่นี่
แต่เมื่อได้เห็นว่าป่าแห่งนี้กลายเป็นป่าเลือด แต่ละคนต่างก็วิ่งหนีไปราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
และหลังจากที่คนที่มายังที่นี่รวบรวมความกล้าได้แล้ว พวกเขาต่างก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง
“นี่…ใครเป็นคนทำเรื่องเช่นนี้กันแน่?”
“กระบี่ที่ที่หักเล่มนั้น ดูเหมือนว่า…”
“ท่านเจ้าสำนัก!”
“……”
“ท่านผู้อาวุโส!”
คนที่มาเหล่านี้เดิมทีแล้วต้องมาคอยเก็บงานให้เสร็จสิ้น และเห็นได้ชัดว่าภารกิจคราวนี้ไม่น่าเป็นห่าวงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะให้ผลลัพธ์ที่น่าสยดสยองถึงเพียงนี้
“ดูเหมือน…ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนรอดชีวิตเลยสักคนเดียว พวกเขาต่างก็ตายกันหมดแล้ว…ตายแล้ว…” น้ำเสียงของพวกเขาต่างกำลังสั่นเครือ
“ไม่เพียงแต่ตายเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีซากศพไหนที่สมบูรณ์อยู่เลย แม้แต่สัตว์ประหลาดผู้กระหายเลือดที่เล่าลือกันว่าอยู่ในแดนซวนเทียน ยังไม่ทำขนาดนี้เลย ที่จริงแล้วเป็นใครกันแน่…”
พวกเขาจ้องมองไปบริเวณโดยรอบด้วยความระมัดระวัง เพราะเกรงว่าผู้แข็งแกร่งคนนั้นจะยังไม่จากไป และพวกเขาจะกลายเป็นเหมือนหนึ่งในซากศพเหล่านี้ด้วย
ทันใดนั้น ก็มีกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งสองสามคนกำลังเข้ามา และพวกเขาก็หวาดกลัวจนอยากที่จะวิ่งหนีไป
ร่างเงาสีเงินสองสามร่าววาบผ่านไป และคนหนึ่งในพวกเขาเหล่านั้นก็ชะงักงันขึ้น พวกเขากล่าวอย่างประหลาดใจว่า ”พวกเขา…ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นองครักษ์สีเงิน”
“องครักษ์สีเงินขององค์หญิงมู่หลินหลาง”
เมื่อองครักษ์สีเงินเข้ามา พวกเขาก็กวาดสายตามองไปยังสถานที่แห่งนี้ทั้งหมด ”ผู้อาวุโส นะ…นั่นมันผู้เฒ่าหลัวนี่ ผู้เฒ่าหลัวก็ถูกฆ่าไปแล้ว…”
“นอกจากนี้ยัง…”
“นั่นคือนายน้อยเฟิงอย่างนั้นหรือ?”
เดิมทีแล้วมันควรที่จะเป็นภารกิจที่ง่ายดาย แต่กลับไม่คาดคิดเลยว่าทั้งหมดจะถูกกวาดล้าง และแม้แต่ผู้เฒ่าหลัวผู้เป็นถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณก็ยังถูกสังหารไปด้วยเช่นกัน
พวกเขาน่าเวทนาเกินไปแล้ว และการเก็บรวบรวมซากศพก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากด้วย
“นายน้อยเฟิง…”
“เฟิง…”
“นายน้อยเฟิงอยู่นี่!”
ในเวลานี้ทั้งร่างของเฟิงอวิ๋นซิวก็เต็มไปด้วยเลือดเช่นกัน เพียงแต่ว่าเขานั้นดีกว่าคนอื่นมากนัก เพราะอย่างน้อยบนร่างกายของเขาก็ยังคงมีแขนขาดีอยู่
ในเวลานี้ เฟิงอวิ๋นซิวก็ได้ลืมตาขึ้น และฤทธิ์ยาของมู่เฉียนซีก็ได้หมดลงไปแล้ว
เขาตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน และมันก็ทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกราวกับเห็นผี ซึ่งพวกเขาตกใจจนล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาจำได้เพียงแต่ว่าตนเองถูกลอบโจมตี หลังจากนั้นก็หมดสติไป แล้วก็…
เฟิงอวิ๋นซิวเหลือบมองโดยรอบ ซึ่งเป็นเหมือนกับทะเลเลือดที่ไม่สิ้นสุด เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวว่า ”นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“นายน้อยเฟิง ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ? ท่านคือผู้ที่มีชีวิตรอดเพียงคนเดียวของที่นี่ แม้แต่ผู้เฒ่าหลัวก็ตายไปแล้วเช่นกัน ท่านจะต้องอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?”
เฟิงอวิ๋นซิวก็ไม่รู้เช่นกัน เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “กลับไปก่อนค่อยว่ากัน”
อยู่ ๆก็มีคนที่มีชีวิตรอดเพียงคนเดียวปรากฏตัวขึ้นในป่าเลือดแห่งนี้ และทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวไม่น้อย เขาคือคนเดียวที่มีชีวิตรอด ซึ่งมันน่าสงสัยเกินไปจริง ๆ
“ไม่ได้! เขายังไปไม่ได้ เจ้าสำนักของพวกเราตายไปแล้ว เขาจะต้องอธิบายให้ชัดเจนก่อน”