ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1959 ไม่ใช่ความต้องการของเขา
นางเด็กสาวผู้นี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าเยาะเย้ยเขา ช่างรนหาที่ตายนัก!
แรงกดดันของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณโหมกระหน่ำเข้ามา และฉงหมิงก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้ว
เฟิงอวิ๋นซิวเป็นเพียงแค่ศัตรู คำพูดของนางเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไร? ช่วยคืนความเป็นธรรมให้กับเฟิงอวิ๋นซิวอย่างนั้นหรือ?
เขาร้องคำรามว่า “ไม่รีบช่วยคนแล้วหรืออย่างไร?”
แต่ทว่าก็มีบางคนที่เร็วยิ่งกว่าลูกน้องของเขา ซึ่งมันก็คือร่างเงาสีดำร่างหนึ่ง และมันก็คือเงาของเฟิงอวิ๋นซิวนั่นเอง
ร่างเงานั้นเปลี่ยนเป็นมืดสลัวมากขึ้นไปอีก และแรงกดดันของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณก็ยากเกินจะทนไหว!
ชายชราชุดคลุมดำกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า ”เฟิงอวิ๋นซิว นี่เจ้าหมายความว่าอะไรกันแน่? เจ้าต้องการจะปกป้องนางเด็กคนนั้นอย่างนั้นหรือ?”
ตอนที่คนผู้นั้นกำลังตกอยู่ในอันตรายเมื่อครู่นี้ เฟิงอวิ๋นซิวไม่สามารถที่จะควบคุมร่างเงานั้นได้
แต่ทว่า เฟิงอวิ๋นซิวไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงเดินออกมาแล้วกล่าวว่า ”ผู้เฒ่าหลัว ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าปฏิบัติภารกิจและตกอยู่ในอันตรายแม่นางมู่ท่านนี้ได้เคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าต้องการที่จะตอบแทนนางสักครั้ง โปรดท่านอย่าทำให้ข้าต้องอับอายเลย”
ชายชราชุดคลุมดำกล่าวว่า ”หากข้าบอกว่าจะไม่ทำล่ะ!”
สีหน้าของเฟิงอวิ๋นซิวเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที และกล่าวว่า ”ฝ่าบาทมีรับสั่ง ให้ข้าเป็นผู้รับผิดชอบภารกิจในคราวนี้! แม้ว่าความสามารถของท่านจะแข็งแกร่งกว่าข้า แต่ก็จำเป็นที่จะต้องฟังคำสั่งของข้าอยู่ดี”
“นายน้อยเฟิง เจ้าคิดว่าเจ้าคือนายน้อยเฟิงเหมือนเมื่อในอดีตอยู่จริง ๆ หรือ? อย่าเอาคำสั่งของฝ่าบาทมาพูดเลย เด็กน้อยอย่างเจ้าสั่งข้าไม่ได้หรอก” ชายชราชุดคลุมดำกล่าวอย่างเย็นชา
“นี่เจ้ากำลังฝ่าฝืนคำสั่งของฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ?”เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวอย่างเย็นยะเยือก
แน่นอนว่าฝ่าบาทถือว่าเป็นไพ่ตายอย่างหนึ่ง หากเรื่องในตอนนี้ไปถึงหูฝ่าบาท คาดว่าฝ่าบาทคงจะไม่ประทับใจเขาเท่าไรนัก
เขาจ้องมองไปที่มู่เฉียนซีอย่างเคร่งขรึม และเขาไว้ชีวิตนางเด็กน้อยที่เยาะเย้ยเขาผู้นี้อย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก
ในเวลานี้เอง มีคนของสำนักหลางซิงพุ่งทะยานออกมาแล้วกล่าวว่า ”นายท่าน นางก็คือมู่เฉินซีคนนั้น! ท่านจะปล่อยนางไปไม่ได้นะขอรับ!”
“มู่เฉินซีหรือ!” แววตาของชายชราชุดคลุมดำฉายแววชั่วร้ายออกมา และเฟิงอวิ๋นซิวก็ตะลึงงันไปเช่นกัน
คนนี้ก็คืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของดินแดนทางทิศใต้มู่เฉินซีผู้นั้น และภารกิจในครั้งนี้ ก็คือการกำจัดมู่เฉินซี
หลังจากนั้นค่อยไปกำจัดจูเชว่ เพื่อเอาเครือข่ายข้อมูลที่แข็งแกร่งที่สุดของเขามาไว้ในกำมือ
ชายชราในชุดสีดำแสยะยิ้มพลางกล่าวว่า ”เป็นอะไรไป? นายน้อยเฟิง หรือว่าเจ้าคิดจะฝ่าฝืนคำสั่งของฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าเจ้าควรที่จะตอบแทนบุณคุณของผู้ที่ช่วยชีวิตหรือว่าควรจะปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่าบาทกันล่ะ”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เดิมทีแล้วเฟิงอวิ๋นซิวไม่จำเป็นต้องคิดเลยด้วยซ้ำ
“แน่นอนว่า ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของฝ่าบาทอยู่แล้ว! เพราะคำสั่งของฝ่าบาท อวิ๋นซิวไม่อาจที่จะละเลยได้อยู่แล้ว” ภายในใจของเฟิงอวิ๋นซิวนั้น มู่หลินหลางถือได้ว่าเป็นทุกอย่างของเขา
“เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดว่านายน้อยเฟิงจะฝ่าฝืนคำสั่งของฝ่าบาทเสียแล้ว ให้ข้าเป็นคนฆ่านางสาวน้อยผู้นี้เอง เพื่อจะได้ตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซะ!”
เมื่อเห็นชายชราชุดคลุมดำยกมือ หัวใจของเฟิงอวิ๋นซิวก็หยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง เขากล่าวว่า ”ช้าก่อน!”
“มีอะไร? นายน้อยเฟิงจะขัดขวางข้าอย่างนั้นหรือ?” ชายชราชุดคลุมดำกล่าวอย่างไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ผู้เฒ่าหลัวเป็นถึงยอดฝีมือระดับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณ การที่จะไปสังหารผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตคนหนึ่งก็เหมือนกับเอาหินไปทุบไข่เสียเปล่า ๆ ให้ข้าซึ่งอายุน้อยกว่าเป็นคนลงมือด้วยตนเองเถอะ!”
“เจ้า…”
“นี่คือคำสั่ง!” เฟิงอวิ๋นซิวกล่าวอย่างรุนแรง
“ตกลง! เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ!” ผู้เฒ่าหลัวกัดฟันตอบรับ
ฉงหมิงกล่าวว่า ”นางผู้หญิงบ้า เจ้าเคยช่วยเขาไว้จริง ๆ สินะ เจ้านี่ช่วยแต่พวกคนอกตัญญูทั้งนั้นเลยหรือไง! รีบไปฆ่าเขาซะ!”
เปลวเพลิงสีแดงก่ำระเบิดออกมา และเฟิงอวิ๋นซิวก็ลงมืออย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย สีหน้าที่เฉยเมยของเขาเป็นราวกับเพชฌฆาตที่ไร้ความปราณีอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดผู้เฒ่าหลัวก็มองอย่างพึ่งพอใจเป็นอย่างมาก นี่ก็ถือได้ว่าเป็นเวลาอันเหมาะสมที่จะให้นางสาวน้อยผู้นี้ถูกกำจัดจนไม่เหลือแม้แต่ซากได้สักที
แต่ในตอนที่พลังนั้นกำลังจะทำอันตรายมู่เฉียนซี ร่างเงาสีดำโดยรอบก็เข้ามาสกัดกั้นเปลวเพลิงของเฟิงอวิ๋นซิวเอาไว้
ตูมมม!
มู่เฉียนซีไม่ได้รับบาดเจ็บ และผู้เฒ่าหลัวก็เกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก
“เฟิงอวิ๋นซิว นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่? ดูท่าแล้วเจ้าคิดที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของฝ่าบาทจริง ๆ อย่างนั้นสินะ เจ้าลงมือฆ่าหญิงสาวคนนั้นแต่กลับปล่อยให้เงาของตนเองไปปกป้องหญิงสาวคนนั้นด้วย ช่างดีเหลือเกิน!”
นี่ไม่ใช่ความต้องการของเขา แต่เฟิงอวิ๋นซิวรู้ดีว่าต้องไม่มีคนเชื่อเขาเป็นแน่
ท้ายที่สุดแล้วนอกจากตัวเขาเอง ใครเล่าจะสามารถมาควบคุมร่างเงาของตนเองได้อีก?
และพลังเงาที่เหลือเพียงน้อยนิดของเขาก็หมดลง และมันก็หายไปจากเบื้องหน้าของมู่เฉียนซี
มู่เฉียนซีหรี่ตาลง ร่างจริงของอวิ๋นซิวหลงลืมไปทั้งหมดแล้ว และจำได้เพียงแต่ความภักดีที่มีต่อมู่หลินหลางเท่านั้น แต่ทว่าร่างเงาของเขานั้นกลับยังไม่หลงลืม จึงทำเรื่องทั้งหมดนี้ออกมาตามสัญชาตญาณนั่นเอง
ที่จริงแล้วมู่หลินหลางทำอะไรกับเขากันแน่นะ? นางจะหาทางฟื้นฟูความจำของเขาให้ได้ และเมื่อถึงตอนนั้นค่อยให้เขาเป็นคนเลือกด้วยตนเอง
ในเวลานี้นางรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าอันที่จริงแล้วเป็นเพราะความรู้สึกที่ลึกซึ้งของอวิ๋นซิวที่ทำให้ต้องจ่ายไปมากมายถึงเพียงนั้น หรือว่ามู่หลินหลางใช้วิธีอื่นถึงทำให้เฟิงอวิ๋นซิวกลายเป็นเช่นนี้ได้กันแน่?
ดูท่าแล้วต้องให้จูเชว่ลองตรวจสอบดูสักหน่อยแล้ว!
ผู้เฒ่าหลัวกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า ”เป็นเพราะแม่นางน้อยผู้นี้งดงามหรือว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตของนายน้อยเฟิงกันแน่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะอาลัยอาวรณ์มากที่จะต้องฆ่านาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นข้า…”
ในตอนที่ผู้เฒ่าหลัวกำลังจะสังหารมู่เฉียนซี ก็ได้มีพลังของกระบี่ทั้งสองตัดลงที่แขนทั้งสองข้างของผู้เฒ่าหลัวจนขาด และเลือดสด ๆ ก็สาดกระเซ็นออกมา
“อ๊ากกกก!” ผู้เฒ่าหลัวกรีดร้องออกมา
“ใครกัน!”
และในเวลานี้มู่เฉียนซีก็พุ่งทะยานเข้าใส่เฟิงอวิ๋นซิวเช่นกัน จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนที่เขาเสียสมาธิ ฝังเข็มเล่มหนึ่งลงไปบนผิวหนังของเขา
“ข้าว่า เจ้าควรจะนอนหลับสักตื่นนะ!”
ตึง!
หลังจากที่ถูกพิษแล้ว เฟิงอวิ๋นซิวก็ล้มลงไปบนพื้น
เปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวพัดโหมกระหน่ำเข้ามา และร่างเงาสีแดงเลือดก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของมู่เฉียนซี พร้อมด้วยกระบี่ยาวสีแดงก่ำเล่มหนึ่งที่อยู่ในมือของเขา
“นายท่านของข้า ข้ายังทนฆ่าไม่ได้! แล้วเจ้าถือว่าตนเองเป็นใครกัน?”
กลิ่นอายที่กระหายเลือดอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ทำให้ผู้เฒ่าหลัวหวาดกลัวจนต้องถอยหลังไปหลายสิบก้าว
ตึง!
ในเมื่อไม่มีแขนทั้งสองข้างแล้ว ตอนที่เขาตื่นตระหนกจึงล้มลงไปบนพื้นโดยตรง
ดวงตาสีแดงเลือดอันงดงามอย่างที่สุดจ้องมองมาที่เขา จนเขาก็รู้สึกราวกับว่าวิญญาณของตนเองจะหลุดออกไปจากร่างอย่างไรอย่างนั้น
พิฆาตวิญญาณโบกมือแล้วกล่าวว่า ”นายท่าน ถอยหลังไปหน่อย เดี๋ยวเลือดมันจะสาดกระเซ็นมาโดนตัวของเจ้า แล้วมันจะสกปรก!”
มู่เฉียนซีรีถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว และทันทีที่พิฆาตวิญญาณลงมือด้วยความรวดเร็ว ”อ๊ากกกกกก!” ก็ได้มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมา
เลือดสด ๆ ของเขาไหลทะลักออกมาจนกลายเป็นบ่อเลือด และในที่สุดผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณคนนั้นก็หลุดพ้นไปเสียที
คนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายศัตรูหรือพวกเดียวกันก็ตาม ต่างตกตะลึงด้วยความหวาดกลัว และทุกคนต่างก็จ้องมองไปยังร่างที่กระหายเลือดอย่างที่สุดนั้นด้วยร่างกายที่สั่นเทา
ถึงพวกเขาจะเคยเห็นเลือดคนมาก่อน แต่วิธีการลงมือที่โหดร้ายเช่นนี้พวกเขากลับไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
ฉงหมิงกล่าวว่า ”มีความจำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ? กลิ่นคาวเลือดมันจะมากไปแล้ว!”
“ช่วยไม่ได้ นี่เป็นงานอดิเรกที่พิเศษของเขา”
ทางฝ่ายศัตรูเมื่อเห็นพิฆาตวิญญาณก็ต้องแข่งข้าอ่อนจนเกือบจะต้องคุกเข่าด้วยความหวาดกลัว พิฆาตวิญญาณเหลือบมองไปที่ฉงหมิงแล้วกล่าวว่า ”ลูกแมวน้อย ข้าหิวแล้วล่ะ! รีบให้พวกเขาไปให้พ้นทางเสีย อย่าได้มาสร้างปัญหา ข้าจะเริ่มการสังหารหมู่แล้ว!”
มู่เฉียนซีเหลือบมองไปที่เฟิงอวิ๋นซิวที่ถูกทำให้มดสติแล้วกล่าวว่า ”เช่นนั้นเจ้าอยู่เล่นไปก็แล้วกัน แต่อย่าแตะต้องอวิ๋นซิว!”
แววตาที่กระหายเลือดคู่นั้นฉายแววอันตรายออกมา ”การที่ลูกแมวน้อยใส่ใจเขามากขนาดนั้น ยิ่งทำให้ข้าอยากจะสับเขาเป็นหมื่น ๆ ชิ้นเสียมากกว่า! เพราะสุดท้ายแล้วก่อนหน้านี้เขาก็คิดจะฆ่าเจ้าจริง ๆ ทิ้งเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นภัยคุกคาม และยิ่งเป็นจุดอ่อนที่คอยสร้างปัญหาสำหรับเจ้าด้วย”
จิตสังหารที่กระหายเลือดห้อมล้อมเฟิงอวิ๋นซิวเอาไว้ แม้ว่าตอนนี้เฟิงอวิ๋นซิวกำลังหมดสติอยู่ แต่ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกที่อึดอัดเป็นอย่างมาก