ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1958 เงาที่หลุดจากการควบคุม
พรวด!
ทันใดนั้น กระบี่เล่มหนึ่งก็แทงมาจากด้านหลังของฉงหมิง
การตอบสนองของฉงหมิงถือได้ว่ารวดเร็วมาก และเขาก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลบจุดสำคัญ มิฉะนั้นแล้วละก็ คาดว่ามันต้องแทงทะลุผ่านหัวใจเขาเป็นแน่
มีคนแอบลอบโจมตีจากทางด้านหลัง และการโจมตีของชายชุดดำที่อยู่เบื้องหน้าก็ยังคงปะทะเข้ามา
อาวุธป้องกันศักดิ์สิทธิ์นั้นถูกฉงหมิงโยนออกไปราวกับของที่ไร้ค่า
ตูมม!
มีเสียงดังกึกก้องไปทั่ว ตัวของฉงหมิงลอยกระเด็นออกไป แต่ก็ถือว่ายังปกป้องชีวิตน้อย ๆ เอาไว้ได้
พรวด!
ฉงหมิงกระอักเลือดสด ๆ ออกมา
เวลานี้เขาคิดไม่ออกเลยว่า ที่จริงแล้วเขาถูกลอบโจมตีได้อย่างไร?
แม้ว่าจะกำลังเผชิญหน้าอยู่กับศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่มีทางที่จะเฝ้าระวังได้แย่ถึงขนาดนั้น และเขาก็สัมผัสถึงคนที่ปรากฏตัวอีกทั้งยังลงมือยู่ข้างหลังของเขาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
จากนั้นเขาจ้องมองไปที่ร่างเงาสีดำร่างนั้น ซึ่งเหมือนกับชายที่สวมชุดคลุมดำไม่มีผิดเพี้ยน และมันก็ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันที
“เจ้า เป็นคนของตระกูลเฟิงสินะ!”
ทั้วทั้งแดนซวนเทียนมีเพียงคนของตระกูลเฟิงเท่านั้นที่มีความสามารถพิเศษเช่นนี้ เงาของตระกูลเฟิง เป็นนักฆ่าที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว
“คุณชาย!” เมื่อฉงหมิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้อาวุโสชุดขาวผู้นั้นก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก
ปัง!
การต่อสู้ด้วยความสามารถที่ทัดเทียมกันของผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นราชันวิญญาณ เมื่อมีคนหนึ่งที่เสียสมาธิ แน่นอนว่าอีกคนหนึ่งก็มีโอกาสที่จะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสได้
พรวด!
ชายชราในชุดคลุมดำผู้นั้นกล่าวว่า ”นายน้อยเฟิง ไว้ชีวิตของเขา! ทำให้เขาพิการก็พอแล้ว ข้ามีเรื่องที่จะต้องสอบถามเขา ข้าอยากที่จะรู้ว่า กองกำลังระดับสี่ดาวครึ่งกองกำลังไหนที่ไม่รู้จักดีชั่วจนปล่อยให้คนของพวกเขาเหล่านี้มากระทำเรื่องลับหลังในอาณาเขตของราชวงศ์ตงหวงได้”
คุณชายฉงหมิงจ้องมองไปยังชายที่อยู่เบื้องหน้าพลางกล่าวอย่างประหลาดใจว่า ”เจ้าก็คือเฟิงอวิ๋นซิว! ผู้เป็นนายน้อยเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลเฟิง คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะกลายไปเป็นสุนัขรับใช้ของมู่หลินหลาง”
ธาตุวายุพัดโหมกระหน่ำ บนสีหน้าของเฟิงอวิ๋นซิวไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา และเขาก็โจมตีอย่างโหดเหี้ยมเพื่อทำให้ฉงหมิงพิการ
ในเวลานี้ มีเสียงที่เย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “เกราะพลังวายุ!”
“วิญญาณจันทร์สะพรั่ง!”
ปังง!
พลังวิญญาณธาตุวายุทั้งสองปะทะเข้าด้วยกัน และพลังวิญญาณของมู่เฉียนซีก็มีความบริสุทธิ์มากกว่า
มู่เฉียนซีใช้การเคลื่อนย้ายภายในชั่วพริบตามาปรากฏตัวอยุ่ตรงหน้าฉงหมิงแล้วกล่าวว่า ”ดูเหมือนว่าข้าจะมาได้ทันเวลานะ เจ้ายังไม่ตาย! รีบรักษาอาการบาดเจ็บเถอะ!”
นางได้เอายาลูกกลอนที่รักษาอาการบาดเจ็บที่ดีที่สุดโยนให้ฉงหมิง และฉงหมิงก็กล่าวว่า ”ข้าไม่ตาย เจ้าผิดหวังมากเลยอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าไร้อารมณ์ของเฟิงอวิ๋นซิวในเวลานี้จ้องมองไปที่มู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า ”ถอยไป!”
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วกล่าวว่า ”อะไรกัน? ไม่ได้เจอกันไม่นานเท่าไร เจ้าไม่รู้จักข้าเสียแล้วหรือ เฟิงอวิ๋นซิว”
เมื่อมองคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ เฟิงอวิ๋นซิวยังคงมีความทรงจำที่คลุมเครือ เมื่อตอนที่เขาไล่ฆ่าจูเชว่ในตอนแรก นางก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตของเขาเอาไว้
“เป็นเจ้านี่เอง!”
มู่เฉียนซีพยักหน้าพลางกล่าวว่า ”ถูกต้องแล้ว! เป็นข้าเอง จะต่อสู้กันสักรอบไหม? ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีทางละทิ้งภารกิจอย่างแน่นอน จึงทำได้เพียงใช้พลังตรึงเจ้าเอาไว้เท่านั้น”
มู่เฉียนซีพุ่งทะยานออกไป และลงมือต่อสู้กับเฟิงอวิ๋นซิวอย่างเด็ดขาด เพราะด้วยสถานะการของเขาในตอนนี้ ถึงพูดมากไปก็เปล่าประโยชน์
เฟิงอวิ๋นซิวตอบโต้กลับด้วยพลังวิญญาณ ”วายุทลายจันทราเสี้ยว!”
“พลังวายุทำลาย จันทราหนาวเหน็บ!”
ตูมมมมม!
ความสามารถในฐานะจอมภูตพลังธาตุวายุของเฟิงอวิ๋นซิวแข็งแกร่งกว่ามู่เฉียนซีมากนัก แต่ทว่าความเร็วของเขายังคงเทียบกับมู่เฉียนซีไม่ได้
เพื่อที่จะได้จัดการอย่างรวดเร็วฉับไว แน่นอนว่าเขาจะต้องใช้ร่างเงาอีกครั้งหนึ่ง
คราวที่แล้วร่างเงามีความผิดปกติ คราวนี้น่าจะ…
ฉงหมิงกล่าวเตือนว่า ”นางหญิงบ้า ระวังด้วย เขาเป็นคนของตระกูลเฟิง ระวังร่างเงาของเขาด้วย”
แต่มู่เฉียนซีก็ทำราวกับไม่ได้ยินคำเตือนของฉงหมิงอย่างไรอย่างนั้น เพราะนางไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด และยังโจมตีเข้าใส่เฟิงอวิ๋นซิวอย่างดุเดือดอีกด้วย
ในเวลานี้ ร่างเงาของเฟิงอวิ๋นซิวได้วนมาถึงข้างหลังของมู่เฉียนซีแล้ว และก็ได้ใช้วิธีเดียวกันกับที่จัดการเขา ก็คือใช้มีดสั้นเล่มหนึ่ง แทงเข้าไปที่มู่เฉียนซี
สีหน้าของฉงหมิงในเวลานี้เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ”นางผู้หญิงบ้านี่ หูหนวกไปแล้วหรืออย่างไร? ไม่ได้ยินที่ข้าพูดเลยอย่างนั้นหรือ?”
“รีบหนีเร็วเข้า!”
“มู่เฉินซี เจ้าอยากตายอย่างนั้นหรือ?”
ไม่ว่าฉงหมิงจะร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งเพียงใด มู่เฉียนซีก็ยังคงรวบครวมความสนใจทั้งหมดไปการจัดการเฟิงอวิ๋นซิวที่อยู่เบื้องหน้าเท่านั้น
ฉงหมิงอยากที่จะพุ่งเข้าไปด้วยความโกรธ แต่ทว่าเขาได้รับบาดเจ็บจนกระอักเลือดออกมาและล้มลงไปบนพื้น จากนั้นก็ทำได้เพียงมองร่างเงานั้นลงมือเท่านั้น
และในตอนนี้ ก็มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เพราะมีดสั้นเล่มนั้นยังไม่ทันที่จะแทงทะลุผ่านเสื้อของมู่เฉียนซีแต่มันกลับหยุดนิ่งลงเสียก่อน และร่างเงานั้นก็เหมือนกับว่าถูกแช่แข็งอย่างไรอย่างนั้น
ฉงหมิงบ่นพึมพำออกมาว่า ”นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? อาจจะเป็นเพราะว่าการฝึกเคล็ดวิชาลับตระกูลเฟิงของเฟิงอวิ๋นซิวผู้นี้ฝึกในไม่ถึงขั้นเชี่ยวชาญ ก็เลยเกิดปัญหาขึ้น! ไม่แปลกใจเลย ที่คนที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาลับตระกูลเฟิงไม่ถึงขั้นเชี่ยวชาญเช่นนี้จะกลายมาเป็นสุนัขรับใช้ของมู่หลินหลาง เพราะไม่เช่นนั้นตระกูลเฟิงคงจะได้ตำแหน่งใหญ่โตไปแล้ว”
“นางผู้หญิงนั่น จะโชคดีมากเกินไปแล้ว!”
เฟิงอวิ๋นซิวตะลึงงันไปเล็กน้อย เป็นอย่างนี้อีกแล้วหรือ?
เห็นได้ชัดว่าเข้าสามารถจัดการกับคนอื่นได้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็จัดการนางไม่ได้เสียที?
ในเมื่อใช้ร่างเงาไม่ได้ เฟิงอวิ๋นซิวจึงทำได้เพียงส่งให้ร่างเงาให้ไปจัดการฉงหมิงเท่านั้น
ร่างเงาพุ่งเข้ามาใกล้ราวกับสายฟ้าฟาดอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งทำให้สีหน้าของฉงหมิงเปลี่ยนไปอย่างมาก และคิดไม่ถึงว่าในตอนที่ร่างเงานั้นกำลังจะมาจัดการเขามันจะกลับมาเป็นปกติแล้ว
ในเวลานี้คนอื่น ๆ ก็ไล่ตามมาจนถึงแล้วเช่นกัน และเมื่อเห็นว่าฉงหมิงบาดเจ็บสาหัส พวกเขาก็โกรธขึ้นมาทันที
“คุณชายขอรับ! ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!”
“ต่อสู้กับพวกมันซะ!”
ปังงง!
พวกเขาสกัดกั้นร่างเงาของเฟิงอวิ๋นซิวไว้ ถึงความสามารถของเขาจะสูงกว่าตัวจริง แต่ก็ไม่อาจสู้กับผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์มากมายถึงขนาดนี้ได้ จึงทำได้เพียงแค่หายไปเท่านั้น
มู่เฉียนซีต่อสู้กับเฟิงอวิ๋นซิวต่อไป แต่ทว่าอีกด้านหนึ่งกลับได้ผลแพ้ชนะออกมาแล้ว
สีหน้าของฉงหมิงเปลี่ยนไปอย่างมาก และกล่าวว่า ”ท่านลุงหาน!”
ผู้อาวุโสในชุดสีขาวได้รับบาดเจ็บสาหัส และชีวิตของเขาก็เหมือนจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว เขากล่าวด้วยเสียงที่แพบพร่าว่า ”คุณชาย ตาเฒ่าอย่างข้าคงไม่สามารถอยู่ปกป้องท่าน ตามที่ได้รับมอบหมายไว้ได้อีกแล้ว!”
“เสี่ยวโม่โม่ จงออกมา ขวางเฟิงอวิ๋นซิวไว้ให้ข้า!”
เสี่ยวโม่โม่พุ่งทะยานออกมา และขวางเฟิงอวิ๋นซิวเอาไว้ จากนั้นนางก็พุ่งไปยังทิศทางที่ลุงหานอยู่
เข็มยาบินออกไป ลุงหานกล่าวว่า ”แม่นางมู่ อย่าได้เปลืองแรงเปล่าเลย ท่านรีบพาคุณชานออกไปเถิด สถาพร่างกายของข้าเป็นเช่นไรข้าย่อมรู้ดี ไม่มีประโยชน์แล้ว! เจ้ารีบหนีไปกับคุณชายเถอะ ข้าจะ…”
พรวด!
ยาเข็มนั้นปักลงไปตรงหน้าอกของลุงหาน และลุงหานก็มองไปทางนางด้วยความประหลาดใจ
ฉงหมิงตะโกนออกมาว่า “มู่เฉินซี เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?”
“ช่วยชีวิตคนไง?”
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้กำลังฆ่าคนน่ะ?”
“ความสามารถหลักของข้าคือนักปรุงยา เจ้าโปรดอย่าได้ตั้งคำถามกับข้าเลย”
แน่นอนว่าฉงหมิงไม่ได้สงสัยในตัวของมู่เฉียนซี แต่ทว่าลุงหานกำลังจะหมดลมหายใจจริง ๆ แล้วนางกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
ชายชราในชุดดำมองไปทางเฟิงอวิ๋นซิวที่กำลังติดพันอยู่กับเสี่ยวโม่โม่พลางกล่าวว่า ”นายน้อยเฟิง ฝ่าบาทให้เจ้ามาเป็นผู้รับผิดชอบการปฎิบัติภารกิจในครั้งนี้ และให้ข้าเป็นคนฟังคำสั่งการของเจ้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าที่ใช้เวลาไปนานถึงเพียงนี้กลับจัดการไม่ได้เลยสักคนเดียว ข้าคิดว่าองค์หญิงน่าจะผิดหวังมากเลยทีเดียว!”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะอยู่ในสถานที่เช่นนั้นนานเกินไปหน่อย เพราะถึงแม้ว่าองค์หญิงจะเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าและมอบทรัพยากรมากมายให้เจ้าเพื่อเลือนขั้นไปจนถึงผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นปราชญ์แห่งภูตระดับสูงสุดแล้ว แต่เจ้าก็ยังคงอ่อนแอถึงเพียงนี้อยู่ดี”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชาว่า ”อ่อนแอหรือ ไอ้แก่! เช่นนั้นเจ้าก็ลองพูดมาสิว่าตอนที่เจ้าอายุเท่าเขา เจ้าเก่งกาจมากแค่ไหนกันเชียว? คงจะเป็นแค่คนธรรมดาที่ถูกฆ่าตายภายในพริบตาเสียด้วยซ้ำ! คนอายุมากเช่นเจ้ามีสิทธิ์อะไรไปเยาะเย้ยและเที่ยวดูถูกคนอื่นไปทั่วเช่นนี้”
เฟิงอวิ๋นซิวเป็นคนที่มีความจงรักภักดีและมุ่งมั่นต่อมู่หลินหลางมาก ฉะนั้นมันจึงทำให้นางโกรธมากเลยทีเดียว
ทางเลือกของคนเราไม่เหมือนกัน จุดยืนแตกต่างกัน และบนตัวของเขายังมีกฏต้องห้ามแปลกประหลาด ที่นางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้อีกด้วย
แต่ทว่าตราบใดที่นางยังปฏิบัติต่อเฟิงอวิ๋นซิวในฐานะเพื่อน ก็จะไม่มีวันยอมให้ผู้ใดมาเยาะเย้ยเขาได้แน่ และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าหมอนี่ยังดูหมิ่นดินแดนทั้งสี่ทิศอีกด้วย