ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1953 มีประโยชน์เล็กน้อย
ฉงหมิงตอบกลับอย่างสงบ “หลายปีมานี้ก็ไม่เคยถูกจับได้มาก่อน ผู้นำสมาคมดูไม่ออกหรอก สถานะของพวกข้า การมีสถานะมากกว่าสองคนขึ้นไปถึงจะสามารถปกป้องตนเองให้ปลอดภัยได้”
แม้ว่าหนึ่งในสถานะนั้นจะถูกค้นพบ และตกอยู่ในอันตรายหรือแม้กระทั่งเผชิญหน้ากับการถูกทำลาย พวกเขาก็ยังสามารถใช้ตัวตนอื่นหวนกลับมาตั้งตัวอีกครั้งได้
และแนวคิดของพ่อบุญธรรมก็คือ เมื่อไรที่ล้มเหลวพวกเขาสามารถล่าถอย และไปมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยได้ เพียงแต่พวกเขาจะไม่มีวันตัดสินใจทำตามความคิดนั้นของพ่อบุญธรรมอย่างแน่นอน
ทันทีที่ผู้นำสมาคมเข้ามาแล้วเห็นมู่เฉียนซีเขาก็กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “แม่สาวน้อยมู่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? คุณชายฉงหมิงเจ้าเด็กเลวนี่รังแกเจ้าหรือไม่ อีกอย่าง…”
หากว่าเขาไม่ลากนางไปเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนนักหลอมอาวุธคราวนี้ คาดว่าตอนนี้นางน่าจะอยู่อย่างปลอดภัยอยู่ที่สมาคมนักหลอมอาวุธเป็นแน่
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ท่านผู้นำสมาคม ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก! ที่คุณชายฉงหมิงเชิญข้าไปเพราะอยากจะให้ข้าสอนหลอมอาวุธ พรสวรรค์ของศิษย์คนนี้ยอดเยี่ยมมาก ข้าพอใจมากจริง ๆ อีกทั้งเขายังเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และข้ายังก็ได้ออกมาสูดอากาศภายนอกได้ด้วย”
ฉงหมิงกัดฟันกรอดพลางกล่าวว่า “ใครเป็นศิษย์ของเจ้ากัน?”
“เอ๊ะ! ไม่ใช่ลูกศิษย์ของข้า แล้วอาวุธลับเหล่านั้นเจ้าเรียนกับใครกันล่ะ”
“ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่! เจ้าพูดจาไร้สาระให้มันน้อย ๆ หน่อย” ฉงหมิงคำรามกล่าว
ผู้นำสมาคมผงะไปเล็กน้อย ได้ยินมาว่าคุณชายฉงหมิงเป็นคนอารมณ์ร้าย ซึ่งดูเหมือนว่าข่าวลือนั้นจะเป็นจริง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะคำรามใส่เด็กสาวตัวน้อยเสียงดังขนาดนี้
ผู้นำสมาคมกล่าวว่า “เจ้าสบายดีข้าก็วางใจแล้ว ตอนนี้สถานะของเจ้าได้ถูกเปิดเผยแล้ว แม้ว่าจะกลับไปที่สมาคมนักหลอมอาวุธมันก็ยากมากที่ข้าจะคุ้มครองเจ้าจากอันตรายได้! และการอยู่ข้างกายคุณชายฉงหมิงก็ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่หากเขามารังแกเจ้า แน่นอนว่าเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องอดทน เพราะข้าจะคิดหาวิธีแก้แค้นให้เจ้าเอง”
ฉงหมิงกล่าวอย่างฮึดฮัดว่า “รังแกผู้หญิงคนนี้หรือ แค่นางไม่รังแกคนอื่นก็ถือว่าดีแล้ว”
ผู้นำสมาคมพูดคุยกับมู่เฉียนซีครู่หนึ่ง ทันใดนั้นมู่เฉียนซีก็กล่าวถามว่า “ท่านผู้นำสมาคม แล้วมู่หรงโช่วล่ะ?”
ฉงหมิงจ้องมองไปที่มู่เฉียนซีอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นได้ชัดว่านางรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว ยังจะแสร้งโง่อีก!
ผู้นำสมาคมกล่าวว่า ”โชว่เอ๋อร์ เจ้าเด็กน้อยนั่นตั้งแต่ตอนที่เจ้าไปสำนักเจี้ยนเหมิน หลังจากนั้นเขาก็เก็บตัวฝึกฝนมาโดยตลอด คาดว่าน่าจะถูกกระตุ้นโดยผู้มีพรสวรรค์ฟ้าประทานของสาวน้อยอย่างเจ้าเข้าเสียแล้ว หากไม่ถึงสองสามเดือนเขาก็ไม่ออกมาหรอก”
มู่เฉียนซีรู้สึกว่าที่มู่หรงโช่วเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับการหลอมอาวุธคนหนึ่ง และการเป็นคนที่มักจะเก็บตัวศึกษาวิจัยการหลอมอาวุธและหลอมอาวุธอย่างบ้าคลั่งช่างมีประโยชน์มากจริงๆ! อีกทั้งยังไม่ไม่ทำให้คนรู้สึกสงสัยอีกด้วย
ในที่สุดการประมูลก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว และผู้นำสมาคมทำได้เพียงแค่กลับไปที่ห้องส่วนตัวของสมาคมนักหลอมอาวุธเท่านั้น
ผู้ประมูลเป็นชายชราที่มีใบหน้ามืดมนไร้ชีวิตชีวาคนหนึ่ง แต่มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งมาก ต้องมีความสามารถเช่นนี้ถึงจะสามารถรับมือกับการประมูลหินแร่นี้ได้ไหว
ผู้ประมูลกล่าวว่า ”หินแร่ที่จะนำมาประมูลรายการแรกก็คือศิลาเยว่หลิว ราคาต่ำสุดคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ดหนึ่งชิ้น”
การประมูลในครั้งนี้ ต่างก็เป็นหินแร่ที่หายากด้วยกันทั้งนั้น
หินแร่เหล่านี้ต่างก็เป็นหินแร่ที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน และผนึกซวนก็พบเห็นได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงการแข่งประมูลจึงใช้อาวุธวิญญาณแทน
ฉงหมิงกล่าวว่า “อาวุธวิญญาณระดับเจ็ด!”
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์คุณภาพสูงระดับเจ็ด”
ฉงหมิงกว่าต่อว่า “คุณภาพสูงสุดระดับเจ็ด”
“ระดับแปด!”
สุดท้ายแล้วฉงหมิงก็เสนออาวุธศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงระดับเก้าไป และไม่มีผู้ใดแข่งขันกันเขาได้ หากเสนอมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์แม่นยำในการประมูลหินแร่นี้ ก็ดูจะขาดทุนมากไปหน่อย
ในเวลานี้เอง เฮยอู่เสียก็กล่าวว่า ”ท่านพ่อ ท่านไม่ประมูลแข่งหรือเจ้าคะ? ศิลาเยว่หลิวนี้งดงามมาก มันน่าจะเอาไปทำเป็นต่างหูของข้าได้”
เวลานี้เฮยอู่เสียกำลังอยู่ในจินตนาการ ว่าหลังจากตนเองได้ครอบครองใบหน้าที่เหมือนกับมู่เฉินซีแล้ว ตนเองควรจะแต่งตัวอย่างไรบ้าง
นางเป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งสมาคมการค้าเฮยอวิ๋น เครื่องประดับทั้งหมดของนางจะต้องดีและสมบูรณ์แบบมากที่สุด
นางมู่เฉินซีนั่นทำให้ใบหน้านั้นเปล่าประโยชน์ นางแทบไม่ได้ใส่เครื่องประดับอะไรเลยนอกจากแหวนวงเดียวเท่านั้น
เมื่อไรที่ใบหน้านั้นกลายมาเป็นของนางแล้ว นางจะไม่ทำให้มันต้องเสียเปล่าอย่างแน่นอน
และหากว่าหลังจากนี้เจอใบหน้าที่งดงามกว่ามู่เฉียนซี นางก็เปลี่ยนมันอีกครั้ง เพราะเคล็ดวิชาลับสามารถเอามาใช้ได้ตลอดอยู่แล้ว
เช่นนั้นเมื่อถึงเวลานางก็จะกลายเป็นสาวงามที่งดงามเทียบเท่าองค์หญิงหลินหลางผู้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์ตงหวงได้แล้ว
ผู้นำสมาคมเฮยกล่าวว่า “ถึงอย่างไรค่ำวันนี้พวกเขาทั้งหมดก็ต้องตาย ของที่พวกเขาประมูลไป แน่นอนว่าทั้งหมดนั่นจะต้องกลายมาเป็นของพวกเรา พวกเราไม่จำเป็นต้องเปลืองอาวุธวิญญาไปประมูลแข่งหรอก”
“แต่ท่านพ่อ ท่านลองคิดดูสิ! ถึงพวกเราจะไม่ซื้อแต่สามารถทำราคาให้สูงขึ้นได้ จะได้ยั่วโมโหพวกเขา! อย่างไรเสียวันนี้คุณชายฉงหมิงนั่นก็หยิ่งผยองต่อหน้าท่านพ่อถึงขนาดนั้นนี่”
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก” ผู้นำสมาคมเฮยกล่าว
ในตอนที่หินแร่ชิ้นนี้กำลังจะตกอยู่ในมือของฉงหมิง ผู้นำสมาคมเฮยกล่าวว่า “มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพขั้นต่ำ”
ฉงหมิงกล่าวอย่างสงบว่า “หาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพขั้นสูง!”
การเสนอถึงสองระดับในคราวเดียว ดูเหมือนว่าฉงหมิงจะต้องการหินแร่ชิ้นนี้มาก และผู้นำสมาคมเฮยก็ไม่มีทางยอมแพ้อย่างง่ายดายแน่นอน ดังนั้นจึงกล่าวว่า “มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพระดับหนึ่ง”
ทุกคนต่างพากันละลึงงันไปหมด ”สมาคมการค้าเฮยอวิ๋นไม่ถูกชะตากับคุณชายฉงหมิงถึงขนาดนี้เลยหรือ! คิดไม่ถึงเลยว่าจะท้าชนกันแล้ว”
“แม้ว่าศิลาเยว่หลิวจะล้ำค่า แต่สามารถประมูลด้วยมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพระดับหนึ่งชิ้นหนึ่งได้ คนที่นำมาประมูลคงจะดีใจจนเป็นบ้าไปแล้วเป็นแน่”
“…”
ฉงหมิงมีอาวุธวิญญาณไม่ขาดมืออยู่แล้ว และเขาก็เตรียมที่จะขึ้นราคาต่อไป แต่มู่เฉียนซีกลับกล่าวว่า ”ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายขนาดนั้น เขาอยากได้ก็ให้เขาไปเถอะ! ขอเพียงจัดการพวกเขาได้ สุดท้ายสิ่งของเหล่านั้นก็จะตกมาเป็นของเจ้าอย่างแน่นอน”
ฉงหมิงรู้สึกว่าสิ่งที่มู่เฉียนซีพูดนั้นก็มีเหตุผล หลังจากนั้นจึงกล่าวว่า ”ในเมื่อผู้นำสมาคมเฮยชอบศิลาเยว่หลิวถึงขนาดนั้น เช่นนั้นข้ายกให้ท่านก็แล้วกัน!”
ผู้นำสมาคมเฮยแทบไม่อยากจะเชื่อ คุณชายฉงหมิงไม่ใช่จอมยโสโอหังที่อารมณ์ร้ายอย่างนั้นหรือ? เหตุใดถึงได้ยอมอย่างง่ายดายเช่นนี้?
เขารู้สึกหดหู่ใจมากที่ใช้มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพขั้นสูงระดับหนึ่งประมูลศิลาเยว่หลิวชิ้นนี้มา
และการประมูลหลังจากนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือดเป็นอย่างมาก และคนอื่นต่างก็แสดงท่าทางจนปัญญาออกมา
“ผู้นำสมาคมเฮยกับคุณชายฉงหมิงประชันกันแล้ว การเสนอราคาของพวกเขาในแต่ละครั้งเกินจริงถึงเพียงนั้น ดูท่าครั้งนี้พวกเราจะมาเสียเที่ยวเสียแล้วล่ะ”
ผู้นำสมาคมกล่าวอย่างอารมณ์เสียว่า “เจ้าหนุ่มนั่นบ้าไปแล้วหรือ จะหาเรื่องประชันกับเจ้าจิ้งจอกเฒ่าหน้าดำนั่นไปทำไมกัน? มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพของเขามีมากมายจนแทบจะไม่มีที่วางอยู่แล้ว”
แน่นอนว่า พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจทำให้คนอื่นขุ่นเคืองใจมากนักเช่นกัน ฉะนั้นหินแร่บางชนิดที่ไม่จำเป็นนักฉงหมิงก็จะไม่เสนอราคา
หินแร่ส่วนใหญ่ได้ถูกผู้นำสมาคมเฮยประมูลแข่งได้ไปในราคาสูง และหินแร่ส่วนน้อยก็ถูกฉงหมิงเป็นคนประมูลไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคนที่สูญเสียมากที่สุดเป็นผู้นำสมาคมเฮยอย่างแน่นอน
ท่ามกลางการแข่งประมูลที่ดุเดือดครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ได้มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว และสินค้าประมูลชิ้นสุดท้ายก็ถูกนำออกมา
ก้อนหินขนาดใหญ่นั้น ปกคลุมไปทั่วทั้งเวทีการประมูล และมันก็ทำให้ผู้ประมูลต้องไปอยู่อีกด้านหนึ่งเลยทีเดียว
หินแร่นี้มีขนาดใหญ่มาก แต่กลับมืดสลัวไม่เปล่งประกายเลยสักนิด
นักหลอมอาวุธที่เก่งกาจทุกคนที่อยู่ภายในงานต่างก็มองไม่ออกว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร และสิ่งนี้ก็เป็นเหมือนกับหินธรรมดาก้อนหนึ่งที่ถูกขุดออกมา ซึ่งไม่มีความพิเศษใด ๆ เลย
“งานประมูลคราวนี้ต้องการสร้างความประหลาดใจให้พวกเราอย่างนั้นหรือ? ถึงได้หินธรรมดาเช่นนี้ออกมาประมูลด้วย”
“ข้าได้ใช้จิตวิญญาณตรวจสอบหินชิ้นนั้นแล้ว มันไม่มีส่วนไหนที่พิเศษเลยจริง ๆ”
“ช่างเปลืองพลังวิญญาณของข้าเสียจริง ๆ เลย”
ฉงหมิงก็ไม่มีความรู้สึกว่าหินก้อนยักษ์นี้จะมีมูลค่าอะไรเลยเช่นกัน และมู่เฉียนซีก็อยากจะใช้พลังวิญญาณในการตรวจสอบดู บางทีอาจจะเจอช่องโหว่อะไรขึ้นมาบ้างก็ได้
ในเวลานี้ร่างสีแดงที่นั่งอยู่ข้างกายมู่เฉียนซีอย่างเกียจคร้านได้กล่าวขึ้นมาว่า “ลูกแมวน้อย ของสิ่งนั้นมีประโยชน์เล็กน้อย ประมูลมาสิ!”