ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1946 พิฆาตวิญญาณโกรธ
เวลานี้ มังกรเพลิงกล่าวกับพิฆาตวิญญาณด้วยความกล้าหาญว่า “นายท่านก็ไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน! ทั้งหมดเป็นความผิดของคนเหล่านั้น คนเหล่านั้นเป็นคนมารังแกนายท่าน จะ…เจ้าจะลงโทษนายท่านไม่ได้นะ”
พิฆาตวิญญาณชำเลืองมองมังกรเพลิงที่กำลังกระวนกระวายใจ เจ้าหมอนี่จะรกหูรกตาเกินไปแล้ว เขาโบกมือพลางกล่าวว่า “ที่นี่มีข้าอยู่ เจ้าไสหัวกลับไปได้แล้ว”
“เอ๊ะ!” สีหน้าของมังกรเพลิงดูสิ้นหวัง
ด้วยความเร็วในการฟื้นฟูของเขาคาดว่าต้องใช้เวลาสิบกว่าปีถึงจะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่เพราะความช่วยเหลือของพิฆาตวิญญาณถึงสามารถทำได้เร็วขนาดนี้
เขาที่กลายร่างเป็นมนุษย์ยังไม่ทันอยู่ข้างนอกเป็นเพื่อนนายท่านได้นานเท่าไรก็ต้องกลับไปเสียแล้ว แม้ว่าจะเสียดายมาก แต่เมื่อมองไปที่สีหน้าของพิฆาตวิญญาณแล้ว เขาก็ไม่กล้าที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของพิฆาตวิญญาณอยู่ดี
ฉงหมิงมองไปที่พิฆาตวิญญาณพลางกล่าวว่า “ปล่อยนางซะ!”
พิฆาตวิญญาณเลิกคิ้วพลางกล่าวอย่างยิ้มเยาะว่า “ข้าเก็บลูกแมวน้อยที่บาดเจ็บมาได้ด้วยตัวเอง เหตุใดต้องยกให้เจ้าด้วย?
ฉงหมิงเตรียมที่จะลงมือไปแย่งนางมา แม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่ไม่เจียมตัว แต่เขาก็ไม่อยากที่จะให้ผู้ชายที่อันตรายเช่นนี้เข้าใกล้ผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่น้อย
“คุณชาย ใจเย็นหน่อยขอรับ! แม่นางมู่บาดเจ็บสาหัส ลงมือไปตอนนี้ไม่ดีแน่”
“นายท่านผู้นี้ไม่น่าจะทำอันตรายแม่นางมู่ พวกเรา…พวกเรารอดูสถานการณ์ไปก่อนเถอะขอรับ”
“คุณชาย แม้ท่านจะไม่คิดถึงตนเอง แต่ก็คิดถึงฝ่าบาทเถอะขอรับ!”
พ่อบุญธรรม! เมื่อนึกถึงพ่อบุญธรรมขึ้นมา ฉงหมิงก็ใจเย็นลง
เขาก็รู้สึกงุนงงเช่นกัน แม้เขาจะอารมณ์ร้ายและหุนหันพลันแล่นที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหุนหันพลันแล่นเช่นนี้
พิฆาตวิญญาณมองไปทางเขาแล้วกล่าวว่า “มีที่ที่เงียบสงบให้แมวน้อยของข้ารักษาอาการบาดเจ็บหน่อยหรือไม่?”
ฉงหมิงกล่าวว่า “เดิมทีแล้วนางอยู่กับข้า ตามข้ามา!”
คนอื่นถูกทำให้ตื่นตกใจ นี่คุณชายกำลังเชื้อเชิญจิ้งจอกร้ายเข้าไปในบ้านอย่างนั้นหรือ!
หากท่านผู้นี้เริ่มทำการสังหารหมู่ในอาณาเขตของพวกเขาขึ้นมา คาดว่าพวกเขาคงจะต้องถูกกวาดล้างเป็นแน่
“นำทางไปสิ!”
ฉงหมิงคิดว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องพาคนไปไว้ในพื้นที่ของตนเองก่อน เช่นนั้นเขาถึงจะสามารถวางใจได้
“คุณชายกลับมาแล้ว!”
“คุณชายไม่เป็นไรใช่หรือไม่!”
“……”
เมื่อกลับมาถึงป้อมปราการแห่งนั้น ทุกคนต่างก็ยินดีเป็นอย่างมาก
“แม่นางมู่ก็กลับมาแล้ว ช่างดีเหลือเกิน!”
พวกเขาเห็นว่ามีใครบางคนอุ้มมู่เฉินซีกลับมาด้วย ชายที่ดูกระหายเลือดผู้นั้นมีเสน่ห์น่าหลงใหลยิ่งนัก และความงดงามของเขาก็เหนือมนุษย์ธรรมดาอีกด้วย
อันตราย!
พวกเขาถอยห่างจากพิฆาตวิญญาณอย่างไม่รู้ตัว เพราะเกรงว่าหากเข้าใกล้มากเกินไปจะทำให้ท่านผู้นี้โกรธและต้องสูญเสียชีวิตไปอย่างรวดเร็ว
พิฆาตวิญญาณพึงพอใจกับสถานที่ที่มู่เฉียนซีอาศัยอยู่เป็นอย่างมาก
ฉงหมิงกล่าวว่า ”หมอไม่สามารถรักษาตนเองได้ เช่นนั้นข้าจะไปหานักปรุงยามาดูนางให้ก็แล้วกัน”
“เข้ามา!” ฉงหมิงกล่าวอย่างเย็นชา
หลังจากที่นักปรุงยาตรวจสอบร่างกายของมู่เฉียนซีเรียบร้อยแล้วก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ”ร่างกายของแม่นางมู่มีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ และยาที่นางกินเข้าไปเพื่อฟื้นฟูอาการบาดเจ็บก็ให้ผลที่น่าทึ่งมากด้วย ไม่รู้ว่าเป็นผลงานของปรมาจารย์ท่านไหนกัน?”
“อย่าพูดจาไร้สาระให้มากนัก เมื่อไรลูกแมวน้อยของข้าถึงจะฟื้น!”
ด้วยน้ำเสียงที่เลือดเย็นนั้นทำให้นักปรุงยาอกสั่นขวัญแขวนไปเล็กน้อย เขากล่าวว่า ”อย่างเร็วที่สุดก็สามวันขอรับ!”
“สามวันรึ ช้าจริง!” พิฆาตวิญญาณไม่พอใจ
นิรันดร์ เจ้าหมอนั่นเมื่อตอนจะใช้ประโยชน์กลับไม่อยู่ ทางที่ดีที่สุดเขาน่าจะนอนให้ตายไปเสียเลย
พิฆาตวิญญาณเฝ้ามู่เฉียนซีเอาไว้ และไม่ยอมให้ผู้ใดก็ตามเข้ามาใกล้ แม้แต่ฉงหมิงก็ตาม
“นายท่าน ท่านไม่กินอะไรมาสามวันแล้ว จะไม่เป็นไรจริง ๆหรือ?” มีบางคนกล่าวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
ดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นของพิฆาตวิญญาณจ้องมองไปที่เขาแล้วกล่าวว่า ”เจ้าแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าเพลิดเพลินไปกับการกินอาหาร? ที่นี่ไม่เห็นจะมีอะไรน่าอร่อยเลย?”
ทันทีที่ถูกพิฆาตวิญญาณจ้องมอง คนผู้นั้นก็รู้สึกว่าตนเองตกใจมากจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว
“นายท่าน เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านแล้ว!”
อาหารของพิฆาตวิญญาณก็คือจิตวิญญาณ ยิ่งเป็นจิตวิญญาณที่ชั่วร้ายและแข็งแกร่งมากเท่าไรเขาก็ยิ่งชอบมัน
แม้ที่นี่จะเป็นป้อมปราการของนักหลอมอาวุธ แต่นักปรุงยาที่เลี้ยงไว้ก็ไม่ใช่หมอเถื่อนแต่อย่างใด การวินิจฉัยของเขาไม่ผิดพลาด และในวันที่สามมู่เฉียนซีก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว
ทันทีที่ลืมตาขึ้น นางก็เห็นดวงตาที่เป็นเหมือนกับทับทิมสีแดงอันเปรียบดั่งอัญมณีที่ล้ำค่าก็มิปานคู่หนึ่ง
พิฆาตวิญญาณก้มต่ำลงมามองมู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “ลูกแมวน้อย ลืมตามาเห็นข้าเป็นคนแรก เจ้าประหลาดใจมากหรือไม่!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “พิฆาตวิญญาณ ระวังคำพูดของเจ้าด้วย!”
“อื้ม! นายท่านตื่นขึ้นมาด้วยสติที่ไม่เลวเลย อีกทั้งยังมีแรงมาสั่งสอนข้าด้วย” มุมปากของพิฆาตวิญญาณกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ถอยออกไปให้ไกลข้าหน่อย”
“ไม่ง่ายเลยที่ข้าจะฟื้นฟูพลังอันน้อยนิดขึ้นมาได้ นายท่านอย่ารังเกียจข้านักเลย”
“ข้าก็รังเกียจเจ้ามากมาโดยตลอด! พิฆาตวิญญาณแม้แต่การรู้จักประมาณตนของเจ้าก็ไม่มีเลยอย่างนั้นหรือ?”
ความอันตรายฉายชัดอยู่ในด้วยสายตาของพิฆาตวิญญาณ ”นายท่าน ท่านรังเกียจข้าเช่นนี้ ท่านไม่กลัวว่าข้าจะโกรธจนทำอะไรขึ้นมาอย่างนั้นหรือ? ตอนที่ท่านอ่อนแอเช่นนี้ หากตอนนี้ข้าฉวยโอกาสขึ้นมา คงไม่เกิดผลดีต่อท่านแน่”
“เมื่อก่อนข้าอ่อนแอยิ่งกว่านี้เจ้ายังไม่ลงมือ แต่เจ้าจะมาลงมือตอนนี้ ไม่กลัวที่จะเสียเปรียบบ้างรึ?”
พลังวิญญาณของมู่เฉียนซีระเบิดออกมา และมันก็ส่งผลกระทบต่อตราประทับจิตวิญญาณของพวกเขา ”ข้าคือนาย เจ้าคือบ่าว อย่าอวดดีเกินไปนัก!”
“อีกอย่าง ข้าหิวแล้ว!”
ถึงพิฆาตวิญญาณจะโมโหเล็กน้อย แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าเล็ก ๆ ที่ซีดเซียวนั้นแล้ว เขาจะทนทำให้นางหิวได้อย่างไร
“อื้ม! นายท่านรักษาตนเองให้ดีเถอะ มิเช่นนั้นคงจะหมดสนุกเป็นแน่”
มู่เฉียนซีฟื้นขึ้นมาแล้ว และยังอยากอาหารมากอีกด้วย ซึ่งนี่ทำให้ฉงหมิงถอนหายใจออกมาได้อย่างโล่งอก เพียงแต่หากจะให้ลุกขึ้นได้ในตอนนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากเกินไป
พิฆาตวิญญาณกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่าน อยากให้ข้าป้อนท่านหรือไม่?”
“หากให้เจ้ามาป้อนข้า ไม่สู้ให้มังกรเพลิงมาป้อนข้าเสียยังจะดีกว่า”
แววตาของพิฆาตวิญญาณที่เคยมองไปที่มู่เฉียนซีด้วยรอยยิ้ม เริ่มเย็นยะเยือกมากขึ้นเรื่อย ๆ ”ข้าจะโกรธเจ้าจริง ๆ แล้วนะ!”
ความโมโหของทั้งสองคนอันตรายเป็นอย่างมาก และตอนนี้ฉงหมิงก็เตรียมพร้อมที่จะลงมือแล้ว
แต่ผลสุดท้ายมู่เฉียนซีก็กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “เช่นนั้นเจ้าก็โกรธไปเถอะ! อย่าโกรธจนตายก็พอ”
หากโกรธจนตายกระบี่ของนางก็ไม่มีจิตวิญญาณกระบี่กันพอดีน่ะสิ
แม้ว่าจะไม่มีแรงลุกขึ้นมา แต่ก็ยังพอมีแรงที่จะกินข้าวได้อยู่
หลังจากที่นางอิ่มหนำสำราญแล้วก็กินยาเข้าไปอีกไม่น้อย และมู่เฉียนซีก็รู้สึกง่วงขึ้นมาอีกครั้ง
นางมองไปที่ฉงหมิงแล้วกล่าวว่า “เจ้าหมอนี่ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้พวกเจ้าใช่หรือไม่?”
“ไม่มี!” ฉงหมิงกล่าวตอบ
มู่เฉียนซีหันไปมองพิฆาตวิญญาณแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็กลับไปได้แล้ว อย่ามายุ่งวุ่นวายกับข้า”
“เพราะไม่มีข้าอยู่ เจ้าถึงได้ถูกคนอื่นรังแกจนกลายเป็นเช่นนี้ เจ้ายังจะกล้าไล่ข้ากลับไปอีกหรือ?” พิฆาตวิญญาณจ้องมองมู่เฉียนซีด้วยแววตาที่ลุกโชน
“ช่วงนี้ข้ารู้สึกหิวขึ้นมาแล้ว อีกทั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวนายท่านก็น่าสนใจด้วย ฉะนั้นข้าจะไม่กลับไประยะหนึ่ง”
พิฆาตวิญญาณหยิบเอาปอยผมของมู่เฉียนซีขึ้นมาคลึงเล่น พลางกล่าวอย่างชั่วร้ายว่า ”หรือว่า นายท่านอยากจะบีบบังคับข้ากันล่ะ”
มู่เฉียนซีรู้สึกง่วงมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทิ้งท้ายไว้แค่เพียงว่า “แล้วแต่เจ้า!”
.
.
ฉงหมิงรู้ว่าการปรากฏตัวของชายชุดแดงเลือดผู้นี้ไม่ใช่ความบังเอิญ ทั้งสองรู้จักกัน และบอกไม่ได้ว่ามีความสัมพันธ์ที่ดี หรือมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกันแน่
เขาเดินออกไปพลางกล่าวว่า “ทางจูเชว่ตอบจดหมายกลับมาหรือยัง?”
“เรียนคุณชาย ทางคุณชายจูเชว่ตอบจดหมายกลับมาแล้วขอรับ”
ข้อมูลของจดหมายที่ตอบกลับมาไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย เพราะมันล้วนแล้วแต่เป็นคำที่จูเชว่ด่าทอฉงหมิงทั้งนั้นนั่นเอง
เช่นเขาอุส่าฝากซีซีของเขามาให้เขา คิดไม่ถึงเลยว่าจะสั่งนางทำงานให้
เห็นอยู่ชัดๆว่าผู้หญิงคนนั้นอยากไปด้วยตนเอง แล้วเป็นความผิดเขาหรือ?
และเช่นทำไมไม่ปกป้องซีซีของเข้าให้ดี แล้วยังทำให้นางบาดเจ็บสาหัสอีก เขากำลังเดินทางอย่างไม่หยุดหย่อยเพื่อจะมาเยี่ยมนางแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นไปยั่วยุคนของสำนักหลางซิงและตระกูลเซี่ยโหวจนถูกล้อมโจมตี แล้วเป็นความผิดเขาหรือ?
ฉงหมิงนวดขมับของตนเอง เมื่อคิดว่าจูเชว่ที่ไม่ยอมทำงานทำการและมาหาเรื่องเขาเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว เขาก็ยิ่งปวดหัวมากขึ้นไปอีก!