ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1936 ตกลงไปในหลุมพรางแล้ว
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าคิดเรียบร้อยแล้ว เข้ามาคุยกันเถอะ!”
ฉงหมิงก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้คงไม่อยากจะไปเดินเล่นอยู่ในคุกเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงสาวเท้าเข้าไปข้างใน
ทันใดนั้น ก็มีสายลมพัดผ่านมาอย่างกะทันหัน จนมีเสียงดัง ‘ปัง!’ และประตูบานนี้ก็ปิดลงทันที
อันตราย! นัยน์ตาของฉงหมิงหดตัวลงทันที และทันใดนั้นมู่เฉินซีก็ไล่ต้อนเขาจนเข้าไปแนบชิดมุมกำแพง
ใบพัดที่เย็นเฉียบจี้อยู่ที่ต้นคอของเขา นี่เขากำลังถูกคนอื่นลอบโจมตีในพื้นที่ของตนเอง อีกทั้งยังถูกคนอื่นควบคุมได้สำเร็จอีกด้วย
“กำไลผนึกวิญญาณของข้า เจ้าแก้มันออกได้อย่างไร?” ฉงหมิงงงงวยเป็นอย่างมาก
เมื่อสวมกำไลนี้แล้ว อย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตเลย แม้จะเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ก็อย่าคิดที่จะใช้พลังวิญญาณได้แม้แต่น้อย
กำไลนั้นลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ และตอนนี้ก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ปรากฏออกมา
หลังจากนั้นเปลวเพลิงสีแดงลูกหนึ่งก็กลืนกินมันเข้าไป จนสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรอีกเลย
หายไปแล้ว! ทำลายมันได้อย่างนั้นหรือ?
“ก็ทำอย่างนี้อย่างไรเล่า!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญภูตพลังธาตุวิญญาณคู่อัคคีวายุอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกแล้ว! ข้าเป็นจอมภูตพลังธาตุอัคคีด้วย และอาวุธวิญญาธาตุอัคคีก็มีอยู่ไม่น้อย ข้าก็เลยเผาเจ้าของเล่นชิ้นนี้ของเจ้าเสียเลย”
“นี่มันเป็นไปไม่ได้ หากเจ้าไม่มีพลังวิญญาณก็จะไม่มีทางหมุนเวียนพลังธาตุที่อยู่ภายในอาวุธวิญญาณได้อยู่แล้ว!”
ในฐานะที่ฉงหมิงก็เป็นนักหลอมอาวุธคนหนึ่ง เขาจะโดนหลอกง่ายขนาดนี้ได้อย่างไร?
“แน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นเพราะอาวุธวิญญาณของข้าค่อนข้างพิเศษ เป็นแบบที่ข้าไม่จำเป็นที่จะต้องลงมือเองแต่ก็สามารถช่วยข้าได้ เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”
นางให้มังกรเพลิงลงมือเพียงเล็กน้อย กำไลข้อมืออันทรงพลังที่ทำให้ผู้ที่สวมใส่ไม่สามารถใช้พลังวิญญาณได้ก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปเสียแล้ว
คราวนี้ฉงหมิงได้รู้ถึงความล้มเหลวของตนเองแล้ว เขากล่าวว่า “เจ้าจับข้าไว้ต้องการจะทำอะไรกันแน่? ต้องการให้ข้าปล่อยเจ้าไปอย่างนั้นหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว! หากข้าต้องการที่จะออกไป เจ้าคิดว่าเจ้าจะขังข้าไว้ได้อย่างนั้นหรือ? ข้าเพียงแค่อยากจะรับเจ้ามาเป็นศิษย์ก็เท่านั้นเอง”
“เจ้าฝันไปเสียเถอะ!” ฉงหมิงกัดฟันกล่าว
“หากไม่อยากเป็นลูกศิษย์ของข้า เช่นนั้นก็ให้ข้าดูว่าเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?” และปลายนิ้วของมู่เฉียนซีสัมผัสลงไปบนหน้ากากของฉงหมิง
“เจ้าอย่าแม้แต่จะคิดที่จะถอดหน้ากากของข้า นอกจากจะใช้วิธีลับที่พิเศษแล้วมันก็ไม่สามารถถอดออกมาได้หรอก” ฉงหมิงกล่าว
“เจ้ากำลังตื่นเต้นอยู่หรือ?” มู่เฉียนซีจ้องมองแววตาที่ลุกโชนไปด้วยความเกรี้ยวกราดคู่นั้น และกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก
เมื่อฉงหมิงถูกมู่เฉียนซีมองเช่นนั้น ทำให้นางยิ่งมอง เขาก็ยิ่งประหม่ามากขึ้นเรื่อย ๆ “ข้าเปล่า! ข้าจะไปตื่นเต้นเรื่องอะไรล่ะ หากเจ้าฆ่าข้า เพื่อต้องการจะดูว่าหน้าตาข้าเป็นเช่นไร เช่นนั้นเจ้าก็อย่าคิดที่จะออกไปแบบมีชีวิตได้เลย”
“ความจริงแล้วการที่จะถอดหน้ากากของเจ้าออก ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเช่นนั้นหรอก ถึงจะดูหยาบคายไปบ้างแต่มันก็ง่ายนิดเดียว” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างช้า ๆ จากนั้นฉงหมิงก็รู้สึกว่าใบหน้าของเขาเหมือนกำลังจะไหม้อย่างไรอย่างนั้น
ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นทันที หญิงบ้าผู้นี้คิดไม่ถึงเลยว่าจะใช้เปลวเพลิงทำลายหน้ากากของเขา
หน้ากากของพวกเขานั้นทำมาจากวัสดุพิเศษ เปลวเพลิงธรรมดาไม่มีทางที่จะเผาทำลายได้ แต่ทว่าผู้หญิงคนนี้กลับเผามันได้ ราวกับเป็นของเล่นอย่างไรอย่างนั้น
ในฐานะที่เป็นจอมภูตธาตุอัคคีคนหนึ่ง เขาจึงตระหนักถึงความน่ากลัวของเปลวเพลิงนี้ได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว
และสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าก็คือ ความสามารถในการควบคุมเปลวเพลิงของผู้หญิงคนนี้ แม้ว่าเปลวเพลิงนี้จะน่ากลัว แต่กลับเผาเพียงหน้ากากเท่านั้น ไม่ได้ทำอันตรายไปจนถึงใบหน้าของเขา มิฉะนั้นแล้วละก็ เขาจะต้องเสียโฉมเป็นแน่
‘ปึก!’ หน้ากากที่ถูกทำลายนั้น ตกลงไปบนพื้น หลังจากนั้นก็ถูกเปลวเพลิงเผาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่านภายในพริบตา
มู่เฉียนซีจ้องมองไปที่ใบหน้านั้นของเขา และดูเหมือนว่าจะไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย “มู่หรงโช่ว พวกเราเจอกันอีกแล้วนะ”
ฉงหมิงกล่าวว่า “เจ้ามองออกได้อย่างไร?”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เส้มผมของเจ้าถูกเผาจนหงิกงอไปหมดแล้วนะ! อยากให้ข้าตัดแต่งให้สักหน่อยไหม ถึงมันจะหล่อไม่พอแต่พอให้น่ารักขึ้นมาบ้าง!”
และธาตุวายุก็เคลื่อนไหวอยู่บริเวณโดยรอบ ราวกับกำลังตัดแต่งทรงผมของเขา
แต่เมื่อดูตามสถานการณ์แล้ว เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้จะทำเรื่องชั่วร้ายอย่างการโกนศีรษะเขาเสียมากกว่า
ฉงหมิงคำรามกล่าวว่า “เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! ที่จริงแล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรกัน?”
“เจ้ามาหาข้าด้วยตนเองถึงที่ครั้งแล้วครั้งเล่า ยังจะถามว่าข้ารู้ได้อย่างไรอีกหรือ? ข้าโง่ขนาดนั้นเลยหรือไง?” มู่เฉียนซีกล่างพลางหัวเราะสนุกสนาน
“เจ้าคนประหลาดประเดี๋ยวหญิงประเดี๋ยวชายบัดซบนั่นขายข้าอย่างนั้นหรือ?” ฉงหมิงรู้สึกโกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่ได้
“จูเชว่ไม่ได้หักหลังเจ้าหรอก! มิเช่นนั้นข้าก็คงไม่ต้องเสียเวลากับเจ้ามากมายขนาดนี้” มู่เฉียนซีกล่าวตอบ
โดยปกติแล้วจูเชว่ไม่ใช่คนทำงานที่ไม่มีขอบเขตถึงขนาดนั้น แต่ฉงหมิงก็ยังคงโกรธมากอยู่ดี
เขาถูกหลอกแล้ว!
ก่อนหน้านี้ไม่นานเจ้าคนประหลาดนั่น ส่งข่าวมาบอกเขาทุกวี่ทุกวันว่าเขาได้เจอกับนักหลอมอาวุธที่มีพรสวรรค์มากคนหนึ่ง และเก่งกาจยิ่งกว่าเขาเสียอีก
เขาเชื่อมั่นในพรสวรรค์การหลอมอาวุธของตนเองมาก และหลายปีที่ผ่านมานี้เขาก็ไม่เคยเห็นใครมีความสามารถเก่งกาจกว่าเขามาก่อน
แม้ว่าจะไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจที่จูเชว่คุยโวโอ้อวดคนอื่น แต่ทว่าในใจของเขานั้นไม่พอใจเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้จูเชว่ยังบอกเขาอีกว่า หลังจากนี้อีกไม่นานคนผู้นั้นจะไปที่สมาคมนักหลอมอาวุธ บอกว่าให้พวกเขาลองแข่งขัน เพื่อวัดความสามารถว่าใครสูงกว่ากันได้
เขาถูกเจ้าคนประหลาดบ้านั่นดึงดูดให้อยากรู้อยากเห็น และรู้ว่าเขาจะต้องกระโดดลงไปในหลุมขนาดใหญ่ที่เขาขุดไว้อย่างแน่นอน
แต่ว่าเขาอวดดีมากเกินไป และยังรู้สึกว่ามู่เฉินซีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกด้วย อีกทั้งเขาก็ไม่มีทางที่จะมีความสนใจใด ๆ ในตัวนางแน่
จนกระทั่งถึงตอนทดสอบของสมาคมนักหลอมอาวุธ มันก็ได้เกินความคาดหมายของเขาไปอย่างสิ้นเชิง
อาวุธลับนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏให้เห็นบนโลกนี้มาก่อน แม้ว่ามู่เฉียนซีจะบอกวัสดุในการหลอมมาให้กับเขาแล้ว แต่เขาก็ยังคงศึกษามันออกมาไม่ได้อยู่ดี
อาวุธลับเช่นนั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งสำหรับเขาแล้วมันมีประโยชน์มากอีกด้วย ดังนั้นแล้วเขาจึงจำเป็นต้องใช้สถานะอื่นในการจับตัวมู่เฉินซีมาถึงที่นี่
สรุปก็คือ จูเชว่ไม่เคยที่จะอธิบายอะไรกับมู่เฉียนซีเลย แต่ทว่าพวกเขาทั้งสองกลับให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดีไปโดยปริยาย และมันก็ทำให้ฉงหมิงโดดลงไปในกับดักด้วยตนเอง
เขาตกลงไปในหลุมพรางที่แสนลึกนี้อย่างไม่รู้ตัวแล้วได้ฝังตัวเองไว้ และตอนนี้ก็พึ่งจะมาค้นพบและรู้ตัวขึ้นมาทีหลัง เขากัดฟันกล่าวว่า “ไอ้จิ้งจอกประหลาดบ้านั่น ไม่คิดกว่าจะขุดหลุมพรางเช่นนี้กับข้าเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งเช่นนี้ ที่จริงแล้วเจ้ามีเป้าหมายอะไรกันแน่?”
“สามารถทำให้ไป๋เจ๋อช่วยเหลือเจ้า และยังสามารถทำให้ไอ้จิ้งจอกบ้านั่นเคลิบเคลิ้มหลงใหลได้ ดูท่าแล้วข้าจะดูถูกเจ้ามากเกินไป” ฉงหมิงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
“ข้ากับไป๋เจ๋อและจูเชว่ต่างก็มีความสัมพันธ์แบบให้ความร่วมมือกัน และก็อยากที่จะร่วมมือกับเจ้าด้วยเช่นกัน อีกทั้งข้าก็คิดว่าเจ้าต้องมีความสนใจมากอย่างแน่นอน!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางก็เก็บพัดวิหคเฟิงหลิงกลับคืนไป
ฉงหมิงระเบิดพลังธาตุอัคคีออกมาและตรงเข้าไปจู่โจมหามู่เฉียนซี เขากล่าวว่า “เอาล่ะ! ช่างดีจริง ๆ ข้าวางแผนว่าจะไปจัดการกับเจ้าจิ้งจอกบ้านั้นทีหลัง! แต่ทว่าเจ้า วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนเจ้าให้ได้อย่างแน่นอน”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “นี่เป็นพื้นที่ของเจ้า หากต่อสู้จนเสียหาย มันก็เป็นเจ้าที่ต้องสูญเสียนะ”
“ข้าไม่สนใจอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก!”
“เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก!”
“จะสู้ได้หรือไม่ ต้องสู้กันก่อนถึงจะรู้”
มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “ฉงหมิงเจ้านี้ช่างอารมณ์ร้ายเสียจริง ดูท่าคงมีแต่ต้องเอาชนะเจ้าให้ได้เท่านั้นสินะ”
พัดวิหคเฟิงหลิงถูกกางออก “พลังวายุทำลาย ดาวกระจาย!”
“เพลิงสังหารเอียนหลัว!”
ตูมม โครมมม!
พึ่งจะหยุดไปเมื่อวานนี้ วันนี้คุณชายกับแขกผู้ทรงเกียรติต่อสู้กันขึ้นมาอีกแล้ว ซึ่งมันทำให้คนอื่นรู้สึกงงงวยเล็กน้อย
คุณชายของพวกเขาไม่ได้เป็นคนอ่อนโยนถึงขนาดนั้น อีกทั้งยังมีอารมณ์ร้ายกาจ แต่ทว่าถูกทำให้โกรธถึงขนาดนี้มีน้อยมาก ถึงแม้จะเป็นคุณชายจูเชว่ก็น้อยมากที่จะสามารถทำให้คุณชายโกรธได้ถึงเพียงนี้
การต่อสู้ครั้งนี้รุนแรงเป็นอย่างมาก มีคนรุดหน้าเข้ามาพลางกล่าวว่า “คุณชาย!”
“ไสหัวไป อย่ามาเกะกะอยู่ในนี้! และอย่าเข้ามาใกล้ที่นี่”
มู่เฉียนซีกล่าวพลางหัวเราะอย่างหยอกล้อว่า “พรืดด! คุณชายของพวกเจ้ากลัวว่าหากพวกเจ้าอยู่ที่นี่ และถูกพวกเจ้าเห็นตอนที่ต้องพ่ายแพ้คงจะน่าอายเกินไป ฉะนั้นพวกเจ้าถอยออกไปให้หมดเถอะ!”
.
.