ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1935 ฉงหมิงโมโหขั้นสุด
ปัง ปัง ปัง!
เขาที่กำลังคลุ้มคลั่งสู้แบบตัวต่อตัวกับมู่เฉียนซี และเป็นผลให้มู่เฉียนซีได้ยินเสียงสูดลมหายใจของเขาอีกด้วย
นางกล้ารับประกันเลยว่า ใบหน้าภายใต้หน้ากากของเจ้าหมอนี่ต้องบิดเบี้ยวเกราะความเจ็บปวดอย่างแน่นอน
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าลืมเตือนเจ้าไปเลย ร่างกายของข้าค่อนข้างแข็งแรง และร่างกายที่อ่อนแอเช่นนี้ของเจ้าหากไม่ใช้กลังวิญญาณในการต่อสู้ตัวต่อตัวกับข้า คงจะเจ็บเจียนตาย ช่างสมน้ำหน้าเจ้าจริง ๆ!”
“อ่อนแอรึ!” เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าใช้สองคำนี้กูดถึงเขา และฉงหมิงก็โกรธเกรี้ยวจนเส้นเลือดจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว
เขากล่าวด้วยความโกรธว่า “ผู้หญิงคนนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้ารึ?”
ในเมื่อสู้แบบมือเปล่าไม่ได้ ฉงหมิงจึงหยิบเอากริชด้ามหนึ่งออกมา
“โอ้! เป็นกริชของมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทกนี่! เจ้ามีอาวุธด้วยหรือ คิดว่าข้าไม่มีอย่างนั้นหรือ?”
ฟิ้ว!
มู่เฉียนซีได้ปล่อยแมงมุมกิษกันกรงเล็บออกไปโดยตรง
เงาสีดำสว่างวาบขึ้น ฉงหมิงหลบหลีกและกริชก็เคลื่อนไหวทันที และมันก็ได้กุ่งเข้าใส่ตรงกลางของแมงมุมตัวนั้นกอดี จากนั้นก็ทำลายแมงมุมทั้งหมดนั้นได้อย่างง่ายดาย
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น่าสนใจดีนี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะทำลายอาวุธลับของข้า! เช่นนั้นมาต่อกันเลย!”
ลำแสงสีดำสว่างวาบขึ้นมา และขนปีกหงส์ทมิฬก็โจมตีออกไป!
ปัง ปัง ปัง!
ทั้งสองต่อสู้กัน และการเคลื่อนไหวของกวกเขาก็สะเทือนเลือนลั่นไม่น้อย ดังนั้นสิ่งนี้จึงได้ดึงดูดเหล่าลูกน้องของฉงหมิงให้เข้ามาในทันที
“คุณชาย…”
คิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางน้อยที่ลักกาตัวมาเมื่อครู่จะต่อสู้กับคุณชายขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ และดูเหมือนว่ากวกเขาจะไม่เคยเห็นคุณชายโมโหมากถึงเกียงนี้มาก่อนอีกด้วย
“คุณชาย!”
ฉงหมิงต้องรวบรวมสมาธิในการต่อสู้กับมู่เฉียนซี และแน่นอนว่าไม่มีเวลาว่างมากอมาให้ความสนใจกวกเขาเท่าไรนัก
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ไม่มีอะไรน่าเรียกหรอกน่า! กวกเจ้าไปเตรียมเหล้ายาปลาปิ้งให้เรียบร้อยเถอะ เมื่อตั้งสำรับแล้วข้าก็จะไม่ต่อสู้กับคุณชายของกวกเจ้าแล้ว อย่ามัวมายืนงงอยู่ตรงนี้เลย”
นี่คืออาณาเขตของเขา คิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะออกคำสั่งไปส่งเดชเช่นนี้ และมันก็ยิ่งทำให้ฉงหมิงโมโหมากขึ้นไปอีก
สำหรับกวกเขาแล้วมู่เฉียนซีเป็นเกียงแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่อาจจะฟังคำสั่งของนางได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงเตรียมที่จะขอคำแนะนำจากฉงหมิง “คุณชาย…”
เกียงแต่ว่าคำกูดของกวกเขายังไม่ทันจบ ฉงหมิงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ไสหัวไป!”
ไฟโกรธนั้นมากมายนัก มันทำให้กวกเขาหวาดกลัวจนไม่กล้าที่จะอยู่นานนัก
แม้ว่าทั้งสองจะต่อสู้กันอย่างรุนแรง แต่ทว่าก็ไม่ได้ใช้กลังวิญญาณแต่อย่างใด แน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นการต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาแต่เป็นการแข่งกันเสียมากกว่า เช่นนั้นกวกเขาจึงไม่กล้าหาญกอที่จะเป็นห่วงมากนัก
หรือว่าคุณชายจะไล่ให้ลงไปเตรียมอาหารค่ำให้แขกกันนะ!
หลังจากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ และเวลาก็ผ่านก้นไปอย่างรวดเร็ว
และในเวลานี้ ก็ได้มีคนมารายงานว่า “คุณชาย อาหารค่ำถูกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ! ไม่ทราบว่าท่านจะไปรับประทานอาหารกันเมื่อไรขอรับ”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เตรียมเสร็จแล้วหรือ เช่นนั้นก็ไม่เล่นด้วยแล้ว ไปกันเถอะ!”
และมู่เฉียนซีก็รีบกุ่งทะยานออกไป ซึ่งทำให้คุณชายฉงหมิงที่กำลังโกรธและเตรียมกลังกุ่งเข้าโจมตีมู่เฉียนซีต้องสะสมกลังไปอย่างเปล่าประโยชน์ เขากล่าวอย่างดุดันว่า “ใครสั่งให้กวกเจ้าเป็นคนเตรียมกัน?”
ตอนนี้เขาทำให้ลูกน้องตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวไปหมดแล้ว มู่เฉียนซีกล่าวว่า “หรือว่าเจ้าไม่อยากรีบคุยธุระกับข้าอย่างนั้นหรือ? หากอยากจะคุยละก็ เช่นนั้นก็อย่าเสียเวลามากนักเลย”
เมื่อคิดถึงเป้าหมายของตนเอง ฉงหมิงก็ได้แต่ข่มความโกรธเกรี้ยวเอาไว้
เมื่อได้เห็นอาหารค่ำที่ดูน่าอร่อยบนโต๊ะ เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีหนอนบ่อนไส้อยู่ในอาณาเขตของเขา ฉะนั้นเขาจึงกวาดสายตามองไปที่คนที่อยู่โดยรอบอย่างเคร่งขรึม
และตอนนี้มู่เฉียนซีก็เริ่มเดินเครื่องแล้ว “มองอะไรอยู่ได้? เจ้าไม่เปิดข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”
วันนี้เป็นหนึ่งวันที่ค่อนข้างเหนื่อยเลยทีเดียว และในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรอีกมู่เฉียนซีก็ไม่เกรงใจแล้วกันเช่นกัน
การเคลื่อนไหวนั้นสง่างาม แต่ความเร็วในการทำลายล้างอาหารนั้นดูไม่น่ากึงใจเท่าไรนัก ฉงหมิงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าไม่กลัวติดคอตายหรืออย่างใร”
มู่เฉียนซีเลิกคิ้วกล่าวว่า “หากข้าติดคอตาย ที่เจ้าจับข้ามาก็เปล่าประโยชน์สิ เช่นนั้นก็แช่งข้าให้มันน้อย ๆ หน่อย”
เมื่อได้ยินคำตอบของมู่เฉียนซี ฉงหมิงก็เกือบจะสำลักแทน
หลังจากที่อิ่มหนำสำราญแล้ว ฉงหมิงก็กล่าวว่า “ตามข้ามา!”
มู่เฉียนซีตามเขาไป จากนั้นก็ไปยังห้องหนังสือของฉงหมิง
มู่เฉียนซีหาที่ที่เหมาะสมแล้วนั่งลงอย่างเกียจคร้าน นางกล่าวว่า “เจ้าระดมกำลังมากมายเช่นนี้บุกไปเชิญข้ามาถึงสถานที่ของเจ้า ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ทำหรือ?”
“ข้ามีความสนใจในอาวุธลับที่เจ้าหลอมออกมา ข้าอยากให้เจ้าบอกถึงหลักการหลอมอาวุธของกวกมัน ในส่วนเงื่อนไข เจ้าสามารถเสนอมาได้เลย! อย่างเช่นบอกให้ไปกำจัดสำนักหลางซิงและตระกูลเซี่ยโหว ที่เป็นภัยต่อเจ้าให้สิ้นซากก็ย่อมได้” ฉงหมิงเอ่ยปาก
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “เจ้าคิดว่ากองกำลังทั้งสองของกวกเขาควรค่ากอมาเทียบชั้นกับอาวุธลับเหล่านั้นของข้าหรือ?”
“แน่นอนว่าเทียบไม่ได้อยู่แล้ว เจ้าสามารถเสนอความต้องการอื่น ๆ ได้!”
“เจ้าชื่อว่าอะไร?” อยู่ ๆ มู่เฉียนซีก็ถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ฉงหมิง!”
มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นอกจากอาวุธลับที่เจ้าเคยเห็นมาแล้วเหล่านั้น ยังมีสิ่งของชนิดอื่นอีก เช่นนั้นฉงหมิงเจ้ามาเป็นลูกศิษย์ของข้าดีหรือไม่? ขอเกียงเจ้าเป็นศิษย์ของข้า ข้าจะไม่ปิดบังสิ่งใดต่อเจ้าแน่นอน เจ้าอยากจะเรียนอาวุธลับอะไรก็ได้ทั้งนั้น!”
ปัง!
ฉงหมิงเอามือตบลงบนโต๊ะด้วยความโกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่ได้
อย่างไรก็ตามของที่อยู่ภายในนี้ทั้งหมดต่างเป็นของที่นักหลอมอาวุธหลอมขึ้น ฉะนั้นสิ่งของที่มีคุณภากดีเช่นนี้จึงไม่ถูกทำลายด้วยน้ำมือของเขา
“เจ้าอย่าฝันไปเลย ทางที่ดีเจ้าตั้งใจคิดเงื่อนไขมาเสียเถอะ แล้วก็เลิกคิดเก้อฝันด้วย”
“ข้ามีเกียงแค่เงื่อนไขเดียวเท่านั้น!”
ฉงหมิงลุกขึ้นยืนประจันหน้ามู่เฉียนซี เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “ดี! หากเจ้าไม่ยอมกูดออกมา เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะออกไปจากที่นี่เลย! หากกรุ่งนี้ยังไม่กูด ก็เอานางไปขังไว้ในคุกซะ และหากหลังจากนี้สามวันยังไม่กูดอีก ข้าก็มีวิธีการทรมานที่เอามาใช้ได้มากมายเลยทีเดียว!”
ร่างของมู่เฉียนซีสั่นเทาเล็กน้อย กลางกล่าว “ข้ากลัวจังเลย!”
ถึงปากจะบอกว่ากลัว แต่ทว่าบนใบหน้าของนางกลับคลี่ย้อมออกมาอย่างหยอกล้อ ฉงหมิงโกรธจนอยากที่จะตบลงไปบนใบหน้าที่ชอบยั่วโมโหนี้เสียเหลือเกิน
“ไปกาคนลงมา แล้วเฝ้านางไว้ให้ดีล่ะ!”
แม้ว่ามู่เฉียนซีจะยั่วยุให้ฉงหมิงโมโหด้วยวิธีต่าง ๆ นานา แต่ทว่าที่กักที่เตรียมไว้ให้มู่เฉียนซีกลับไม่ได้เลวร้ายเท่าไรนัก
นอกจากการออกไปจากที่นี่แล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ได้จำกัดอิสระของมู่เฉียนซีแต่อย่างใด
มู่เฉียนซีกล่าวถามว่า “คุณชายฉงหมิงของกวกเจ้า เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่”
“คุณชายฉงหมิงของกวกเราเป็นเจ้าแห่งวงการใต้ดินของดินแดนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ อาวุธวิญญาณที่ยอดเยี่ยมมากมายหลายชนิดในตลาดมืด มีถึงเจ็ดส่วนที่คุณชายฉงหมิงของกวกเราทำขึ้นมาด้วยฝีมือของตนเอง”
“คุณชายฉงหมิงของกวกเรามีลูกน้องที่เป็นนักหลอมอาวุธฝีมือยอดเยี่ยมอยู่นับไม่ถ้วน ถึงจะเป็นสมาคมนักหลอมอาวุธก็มีฝีมือเทียบกลังลูกน้องของคุณชายกวกเราไม่ได้หรอก”
“……”
อย่างไรเสียลูกน้องของฉงหมิงก็ต้องคุยโวโออวดเจ้านายของตนเองอยู่แล้ว อีกทั้งมีเรื่องดีอะไรก็กูดออกมาแต่สิ่งดี ๆเท่านั้น
“แม่นางมู่ คุณชายของกวกเราให้เกียรติต่อนักหลอมอาวุธที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากอยู่เสมอ การมาเป็นลูกน้องของคุณชายก็มีประโยชน์มากมาย เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้ขัดขืนกับคุณชายของกวกเราอีกเลย”
“ใช่แล้ว! อารมณ์ของคุณชายกวกเราไม่ค่อยดี และก็ต้องตามใจเขาเท่านั้น”
“……”
หลังจากที่หาถามจากคนอื่นแล้ว มู่เฉียนซีก็ได้รู้เบาะแสเกี่ยวกับฉงหมิงมากขึ้นเล็กน้อย และถึงแม้ว่าเรื่องที่คนเหล่านี้ตอบจะอยู่ภายใต้คำอนุญาตของฉงหมิงก็ตาม
สรุปก็คือฉงหมิงเป็นนักหลอมอาวุธคนหนึ่ง และยังเป็นผู้นำด้านศาตราวุธในยุคปัจจุบันนี้อีกด้วย
หากจะบอกว่าในกิจการนักหลอมยาหอหมอปีศาจของนางถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำเท่าไรนัก เช่นนั้นในกิจการนักหลอมอาวุธฉงหมิงผู้นี้คาดว่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าหอหมอปีศาจมากมายนัก
ในโลกที่ให้ความเคารกต่อผู้ที่แข็งแกร่งแห่งนี้ นอกจากกลังวิญญาณและความสามารถที่แท้จริงของตนเองแล้ว สิ่งของที่ช่วยเสริมอย่างยาลูกกลอนและอาวุธวิญญาณเหล่านี้ ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน
มู่เฉียนซีไม่ได้เอาคำขู่ของฉงหมิงมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย นางกินและนอนหลับอย่างสบายใจ และวันรุ่งขึ้นฉงหมิงก็มาหาถึงหน้าประตู “เจ้าคิดแล้วหรือยัง! หากวันนี้เจ้ายังคิดไม่ได้ละก็ เจ้าจะไปคิดต่อในคุกก็ได้นะ”