ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 1934 ถูกลักพาตัวไปแล้ว
“ถึงจะเป็นเรื่องจริงที่การโจมตีของข้าใช้กับเจ้าไม่ได้ผล แต่การโจมตีของเจ้าสำหรับข้า ก็ไม่ได้ผลเช่นกัน!”
พรวด พรวด พรวด!
และในเวลานี้ แมงมุมเหล่านั้นก็กำลังพันรอบตัวเขาอยู่
เขาที่บาดเจ็บอยู่แล้วยิ่งบาดเจ็บขึ้นไปอีก และสุดท้ายเขาก็สิ้นใจลง
คนของสำนักเจี้ยนเหมินยังคงออมมือต่อพวกเขาบ้าง เพราะต่อสู้แค่เพียงให้ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่หากมู่เฉินซีเป็นคนลงมือแล้วละก็ พวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
ทั้งตายและบาดเจ็บ ถึงอย่างไรสำนักเจี้ยนเหมินก็เข้าข้างมู่เฉินซีอย่างเต็มที่ และทำให้พวกเขาได้รู้ว่าการต่อสู้ในวันนี้เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
อีกทั้งยังถูกมู่เฉินซีใช้วิธีการที่ต่ำช้าสังหารผู้บำเพ็ญภูตพลังขั้นภูตศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาไปหลายคนแล้วด้วย
เจ้าสำนักเจี้ยนกล่าวว่า “ทุกท่าน เชิญกลับไปเถอะ! หากยังพอฉลาดอยู่บ้าง น่าจะไม่ทำเรื่องที่นำความอัปยศมาสู่ตนเช่นนี้อีก”
สีหน้าคนของสำนักหลางซิงและผู้นำตระกูลเซี่ยโหวบึ้งตึงเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายก็ร้องคำรามว่า “หยุด!”
พวกเขาจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินซี และอยากที่จะหั่นมู่เฉินซีออกเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ชิ้นจนแทบทนไม่ไหวแล้ว
“มู่เฉินซี ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะอยู่ในสำนักเจี้ยนเหมินตลอดไปได้! เมื่อไรที่เจ้าออกไปจากสำนักเจี้ยนเหมิน เมื่อนั้นเจ้า…”
“ฉึก!” มีเสียงของเนื้อที่ถูกดาบแทงเข้าไป และคนที่กล่าวเตือนมู่เฉินซีก่อนหน้านี้ ในตอนนี้กลับล้มลงไปนอนจมอยู่บนกองเลือดแล้ว
ทันใดนั้นก็มีชายชุดดำจำนวนนับไม่ถ้วนลอยลงมาจากกลางอากาศ และหนึ่งในนั้นก็ได้พุ่งเข้าไปหามู่เฉียนซีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยิบกำไลข้อมือขนาดเล็กออกมาแล้วสวมลงไปบนข้อมือของมู่เฉียนซีทันที
“คุณชายอย่างข้าต้องการคนผู้นี้! ส่วนพวกเจ้า ก็ไปตายกันเสียให้หมด!” เสียงที่เย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน?” คนของสำนักหลางซิงและเจ้าตระกูลเซี่ยโหวตื่นตกใจเป็นอย่างมาก
และในเวลานั้นเองก็มีคนกล่าวอย่างตื่นตะลึงว่า “นะ..นั่นคือคุณชายฉงหมิง!”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเขาจริง ๆ!”
“……”
พวกของสำนักหลางซิงมาเพื่อตามไล่ล่ามู่เฉินซี แต่ผลกลับกลายเป็นว่าต้องมาเผชิญหน้ากับการไล่ล่าของคนลึกลับกลุ่มหนึ่งเสียได้
กำไลข้อมือเส้นนั้นผนึกพลังวิญญาณของมู่เฉียนซีเอาไว้ และหลังจากที่พวกเขาจัดการคนเหล่านั้นอย่างเฉียบขาดและรวดเร็วจนหมดสิ้นแล้ว เขาก็ได้พานางจากไป
“แม่สาวน้อยมู่!”
ผู้นำสมาคมและพรรคพวกเตรียมที่จะไปช่วยนาง แต่ทว่าด้วยความที่พวกเขาจู่โจมเข้ามาอย่างคาดไม่ถึง และหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ไล่ตามไปไม่ทัน และทำได้เพียงมองมู่เฉินซีที่ถูกพาตัวไปเท่านั้น
“ให้ตายเถอะ! เหตุใดเขาถึงเข้ามายุ่งเช่นนี้ได้กัน” ผู้นำสมาคมให้คนไล่ตามไปอย่างโกรธเคือง
เจ้าสำนักเจี้ยนกล่าวว่า “อย่าได้กังวลไปเลย แม่สาวน้อยผู้นั้นมีพรสวรรค์ในการหลอมอาวุธสูงขนาดนี้ เขาจะต้องไม่ฆ่านางอย่างแน่นอน! ท่านผู้นำสมาคมต่างก็รู้ดีว่าคุณชายฉงหมิงนั้นทำอะไรมิใช่หรือ?”
“แน่นอนว่าข้ารู้ดีอยู่แล้ว และที่เขามาลักพาตัวแม่สาวน้อยมู่ไป น่าจะเป็นเพราะชอบความสามารถในการหลอมอาวุธของแม่สาวน้อยมู่ แต่ข้าก็ไม่อาจที่จะปล่อยปละละเลยไปเช่นนี้ได้!”
ฉินเฟิงจู่กล่าวว่า “ขอเพียงแค่ไม่มีอันตรายถึงชีวิตก็เพียงพอแล้ว แม่สาวน้อยผู้นั้นมีความสามารถถึงเพียงนี้ ไม่แน่ว่าผ่านไปไม่กี่วันก็หาทางหนีออกมาจนได้นั่นแหละ”
“ไอ้เฒ่านี่ คราวนี้โรงหลอมอาวุธขั้นสุดยอดของเจ้าพ่ายแพ้แล้ว ไปเอารางวัลมาเดี๋ยวนี้! ข้าจะรอให้แม่สาวน้อยมู่กลับมาแล้วจะมอบให้นางเอง”
“ข้าลงมือไปอย่างยุติธรรมแล้ว แต่ตาแก่เช่นเจ้ายังมาข่มขู่ข้าอีก ช่างอุกอาจเกินไปแล้ว!”
“นี่มันเป็นคนละเรื่องกัน รีบไปเอาของออกมาเร็วเข้า! ข้าจะต้องรีบกลับไปที่สมาคมนักหลอมอาวุธเพื่อส่งคนออกไปตามหาแม่สาวน้อยมู่อีกนะ! เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว” ผู้นำสมาคมกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ฉินเฟิงจู่นำสิ่งของออกมามอบให้เขาอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก นี่คือหินแร่ล้ำค่าอันเป็นของรักของหวงของเขามาเป็นเวลานานแล้ว อีกทั้งยังใช้ในการหลอมอาวุธมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ครึ่งเทพอีกด้วย
เมื่อได้รับสิ่งของมาแล้ว ผู้นำสมาคมก็รีบพาคนจากไปอย่างรวดเร็วทันที
และคนอื่น ๆ ก็ค่อย ๆ ทยอยจากไป วันนี้ผ่านไปอย่างยากลำบากทีเดียว! แต่ก็ถือว่าไม่เสียเปล่าเช่นกัน!
เรื่องที่ได้เห็นการต่อสู้ของนักหลอมอาวุธอัจฉริยะในสถานที่แห่งนี้นั้นไม่เท่าไร และยังได้เข้ามาเห็นการต่อสู้ของยอดฝีมือของกองกำลังระดับสี่อีกด้วย
สำนักหลางซิงและตระกูลเซี่ยโหวอาจจะคาดไม่ถึง ว่าการที่มองเห็นแต่สิ่งที่จะได้อยู่ข้างหน้า แต่หารู้ไม่ว่ายังมีภัยมหันต์กำลังตามมาด้วยนั้น ไม่เพียงแต่จะสังหารมู่เฉินซีไม่ได้ แต่กลับถูกคนกลุ่มอื่นสังหารจนสิ้นตั้งแต่ครึ่งทางอย่างไม่คาดคิดอีกด้วย
เจ้าสำนักเจี้ยนกล่าวว่า “ส่วนคนเหล่านี้มาจากทางไหน ก็ส่งกลับไปทางนั้นเสีย! เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก็ต้องรายงานไปตามจริง”
“ขอรับ ท่านเจ้าสำนัก!”
เมื่อร่างไร้วิญญาณเหล่านี้ถูกส่งกลับไป คนของสำนักหลางซิงและตระกูลเซี่ยโหวก็โกรธเคืองขึ้นมาอีกครั้ง “ใครบังอาจ? สำนักเจี้ยนเหมินเป็นคนทำรึ? พวกเขากล้าดีอย่างไร”
“ไม่ใช่สำนักเจี้ยนเหมินขอรับ แต่เป็นคุณชายฉงหมิง และเขาก็ได้เอาตัวมู่เฉินซีไปด้วย และตอนนี้ก็ไม่ชัดเจนว่ามู่เฉินซีอยู่ที่ใดขอรับ!”
“คุณชายฉงหมิง ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะกล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกเรา ข้าจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว! ไปตรวจสอบมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ว่าเขาอยู่ที่ใด? กล้ามาฆ่าคนของข้า ใจกล้าไม่น้อยเลยทีเดียว!”
“ขอรับ!”
มู่เฉียนซีถูกลักพาตัวไปแล้ว นางได้ออกมาจากสำนักเจี้ยนเหมิน และถูกปิดตาทั้งสองข้างเอาไว้
และเมื่อนางสามารถมองเห็นได้อีกครั้ง นางก็ค้นพบว่าตนเองอยู่ในป้อมปราการที่แน่นหนาแห่งหนึ่ง
“เจ้าไม่กลัวบ้างเลยหรืออย่างไร?” เสียงที่ทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ข้ายุ่งวุ่นวายมาทั้งวันแล้ว ข้าหิว พวกท่านจะเริ่มกินข้าวกันเมื่อไรหรือ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
ไม่ใช่ว่าไม่กลัวบ้าง แต่ไม่กลัวเลยแม้แต่น้อยต่างหาก
และเมื่อเขาเห็นว่านางไม่มีท่าทีแยแสใด ๆ เลย น้ำเสียงของฉงหมิงก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าเจ้าหรือไร”
“หากเจ้าต้องการที่จะฆ่าข้า ตอนที่อยู่สำนักเจี้ยนเหมินก็สามารถลงมือได้อย่างง่ายดายแล้ว เหตุใดต้องทำเรื่องยุ่งยากอย่างการพาข้ามาที่ฐานลับของพวกเจ้าเช่นนี้ด้วย!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างสงบนิ่งมาก
“แน่นอนว่าตอนนั้นข้าไม่ได้อยากฆ่าเจ้า แต่ทว่าตอนนี้ ข้ากลับอยากจะฆ่าเจ้าขึ้นมาแล้ว!” จิตสังหารที่เย็นยะเยือกระเบิดออกมา เขาอยากที่จะเห็นร่องรอยแห่งความหวาดกลัวปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเล็ก ๆ นั่น
ด้วยเหตุนี้มู่เฉียนซีจึงกล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “มีจิตสังหารที่อ่อนแอถึงเพียงนั้นก็อย่าได้มาโอ้อวดต่อหน้าข้าเลย เจ้าไม่รู้หรือว่ามันน่าอายมากน่ะ?”
ดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นจ้องเขม็งมาที่มู่เฉียนซีราวกับภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุออกมาอย่างไรอย่างนั้น และมันยังเหมือนกลับราชสีห์อัคคีที่กำลังเกรี้ยวกราดก็มิปาน อีกทั้งยังมีความคิดที่อยากจะพุ่งกระโจนเข้าใส่มู่เฉียนซีเพื่อฝังเขี้ยวลงไปบนคอของนางเสียเหลือเกินอีกด้วย
“ท่านพี่ อย่าพูดจาไร้สาระมากไปนักเลย! รีบตั้งสำรับอาหารเถอะ เมื่อข้าอิ่มหนำสำราญแล้ว ตอนนั้นท่านอยากให้ข้าทำสิ่งใด? ทุกอย่างก็จะคุยกันได้อย่างง่ายดายขึ้น” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ารู้ว่าข้าต้องการให้เจ้าทำอะไรอย่างนั้นหรือ?” ฉงหมิงกล่าวถาม
“ข้าต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว! ดูท่าทางของเจ้าแล้ว ก็เป็นเหมือนโจรคนหนึ่งที่ฉุดคนมาโดยที่ไม่ถามความยินยอมของข้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าน่าจะเห็นว่าข้าเติบโตมาอย่างงดงามจึงคิดที่จะฉุดข้ามาให้เป็นนายหญิงของป้อมปรากการนี้สินะ! แต่ว่าข้าไม่ได้ชอบเจ้า ฉะนั้นเจ้ารีบปล่อยข้าไปซะเถอะ! การฝืนใจผู้อื่นย่อมไม่ได้ผลที่ดีหรอก”
“เจ้าพูดจาไร้สาระอะไรน่ะ!” ฉงหมิงรู้แล้วว่าตนเองนั้นกำลังถูกหยอกล้ออยู่ และตอนนี้เขาก็สุดจะทนแล้ว
เขาอยากที่จะบีบคอหญิงสาวผู้นี้เสียจริง ๆ เขาทนไม่ไหวจนเริ่มอยากลงมือขู่ให้มู่เฉียนซีหวาดกลัวแล้ว และเขาก็ได้ลงมือกับมู่เฉียนซีจริง ๆ
มู่เฉียนซีหลบหลีกอย่างรวดเร็ว และไม่ยอมปล่อยให้เขาทำมันได้สำเร็จ
เขามองไปทางมู่เฉียนซีอย่างประหลาดใจเล็กน้อย ถึงพลังวิญญาณจะถูกผนึกเอาไว้แล้ว แต่การดอบสนองก็ยังคงรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้อยู่ดี
“ถูกปฏิเสธก็โกรธ จะมีผู้ชายที่ไหนขี้น้อยใจเช่นเจ้าบ้าง! ข้าเป็นหญิงสาวที่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าต้องปฎิเสธเจ้า! แต่หากเจ้าถอดหน้ากากออกจนเผยให้เห็นใบหน้านั้น แล้วหากหล่อเหลากว่าผู้ชายของข้าละก็ ข้าจะลองคิดดูอีกทีเป็นอย่างไร?”
เส้นเลือดของฉงหมิงกระตุกจนเจ็บไปหมด และเขาก็พุ่งเข้าไปคว้าตัวมู่เฉียนซีอีกครั้ง คราวนี้มู่เฉียนซีที่ไม่มีพลังวิญญาณ ถึงจะมีการตอบสนองที่เร็วแค่ไหนก็ถูกเขาคว้าแขนเอาไว้จนได้อยู่ดี
“มาผนึกพลังวิญญาณของข้า ส่วนตนเองใช้พลังวิญญาณมารังแกคนอื่น เจ้ายังถือว่าเป็นสุภาพบุรุษได้อีกหรือ! หากมีความกล้าละก็ เช่นนั้นก็มาแข่งกับข้าโดยที่ไม่ใช้พลังวิญญาณสิ!” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างยั่วยุ
เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อถูกกระตุ้นเช่นนี้ เขาก็ถอนพลังวิญญาณออกเช่นกัน และมู่เฉียนซีก็ฉวยโอกาสนี้ในการโจมตี เขาด้วยการยกขาแล้วใช้เข่ากระแทกเข้าใส่เขา ฉงหมิงได้รับความเจ็บปวดจนคลายการจับกุมออก จากนั้นมู่เฉียนซีก็ได้รับอิสระกลับมาได้อย่างราบรื่น และฉงหมิงที่กำลังเกรี้ยวกราดในเวลานี้ก็พุ่งเข้าจู่โจมนางราวกับราชสีห์อัคคีตัวหนึ่งก็มิปาน
.