ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 175 คลื่นโหมซัดสาด
เซี่ยซิ่งเหยียนคือขุนนางอาวุโสของราชสำนัก แต่เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นแค่ขุนนางชั้นผู้น้อยที่เข้าเมืองหลวงมารายงานตัว แม้แต่ตำแหน่งใหม่ก็ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง ชายหนุ่มจึงต้องคารวะอีกฝ่าย
เสวี่ยหยวนจิ้งโค้งคำนับเซี่ยซิ่งเหยียน แม้ว่าสีหน้าจะดูให้เกียรติอีกฝ่าย แต่ในใจเขากลับไม่ได้อ่อนน้อมถ่อมตนแม้แต่น้อย
“ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าเซี่ย”
เซี่ยซิ่งเหยียนเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ตะลึงงัน ‘นี่เสวี่ยหยวนจิ้งยังไม่ตายหรือ’ เขาคิดในใจ
สามปีที่ผ่านมา เขาไม่อาจตามหาร่องรอยใดๆ ของเซี่ยเทียนเฉิงได้ หากตายก็ต้องเห็นศพ หากเป็นก็ต้องตามตัวพบ เขาจึงมักจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเสวี่ยหยวนจิ้ง ทว่ายังไม่พบหลักฐานสักอย่าง อีกทั้งสถานที่ที่เสวี่ยหยวนจิ้งต้องไปก็อยู่ห่างจากเมืองหลวงเป็นพันลี้ ต่อให้อยากไปคาดคั้นชายหนุ่มถึงที่ก็เป็นไปไม่ได้
กระนั้นเขาก็ไม่อยากปล่อยเสวี่ยหยวนจิ้งไป จึงส่งคนของตนไปสร้างปัญหาให้ชายหนุ่มหลายครั้งหลายครา
ตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งต้องการจะปราบกลุ่มโจรเพื่อให้ชาวบ้านอยู่อย่างสงบสุข เขาก็จงใจไม่ส่งเสบียงหรือทหารไปให้ ชายหนุ่มคิดจะซ่อมแซมชลประทาน เขาก็ไม่ส่งเงินไปให้ ถึงขั้นสั่งให้คนไปจัดการเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างเงียบๆ แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะจัดการปัญหาเหล่านั้นได้…
เมื่อเซี่ยซิ่งเหยียนเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งอีกครั้งในตอนนี้ แม้จะไม่ใช่ศัตรู แต่ในใจเขาก็รู้สึกอึดอัดมิใช่น้อย เขาแค่นเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“เจ้ากลับมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไร”
เสวี่ยหยวนจิ้งตอบอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยกลับมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อวานแล้วขอรับ”
เซี่ยซิ่งเหยียนเกิดความประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะกลับมาเมืองหลวงเลย แต่ถ้านับวันแล้ว ชายหนุ่มคงกลับมาเพื่อรายงานตัว
ขุนนางต่างถิ่นเข้าเมืองหลวงมารายงานตัว เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของกรมพิธีการ และคนที่มีตำแหน่งสูงสุดในกรมพิธีการก็คืออวี๋ซิ่งเสวีย ตาเฒ่าผู้นั้นไม่ลงรอยกับเขามาแต่ไหนแต่ไร เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่มีทางบอกเขาแน่ เมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นเพียงจือเซี่ยน ไม่ใช่ตำแหน่งสำคัญอันใด ย่อมไม่อยู่ในสายตาของเขาเป็นธรรมดา ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าชายหนุ่มกลับมารายงานตัว
แต่ในเมื่อตอนนี้รู้แล้ว เขาย่อมไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มผู้นี้อยู่ในเมืองหลวงอย่างแน่นอน
ทั้งๆ ที่ฐานะของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เซี่ยซิ่งเหยียนมักจะรู้สึกเสมอว่าเสวี่ยหยวนจิ้งอาจกลายเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งในวันข้างหน้า เพราะตอนที่เขาอายุเท่าอีกฝ่าย ท่าทีก็นิ่งสงบสุขุมเช่นนี้
อย่างไรเสียก็ต้องส่งชายหนุ่มไปรับราชการในสถานที่ห่างไกลยิ่งกว่านี้ และสัมผัสกับชีวิตที่ขื่นขมยิ่งกว่าที่ผ่านมา
เมื่อเซี่ยซิ่งเหยียนมาถึงหอสมุดหลวง เขาก็สั่งให้บ่าวรับใช้คนสนิทไปสืบค้นประวัติผลงานที่เสวี่ยหยวนจิ้งทำในสามปีที่ผ่านมานี้อย่างละเอียด
บ่าวรับใช้คนสนิทของเขารับคำสั่งแล้วออกไป เมื่อเซี่ยซิ่งเหยียนกลับถึงจวน บ่าวรับใช้ผู้นั้นก็ไปรายงานอย่างละเอียด
เซี่ยซิ่งเหยียนได้ฟังจบ เขาก็ตกใจมิใช่น้อย
เขารู้ดีว่ายิ่งเป็นสถานที่ห่างไกลมากเท่าไร ก็ยิ่งทำผลงานได้มากเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าในระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา เสวี่ยหยวนจิ้งจะทำงานมากขนาดนี้…
ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง ด้วยผลงานที่ผ่านมาของเสวี่ยหยวนจิ้ง ขุนนางมากความสามารถเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าอาจได้รับตำแหน่งในเมืองหลวง แต่เขาจะยอมให้เสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้เขาจึงสั่งการบ่าวรับใช้คนสนิท “เจ้าไปบอกเฉินเหวินฮั่นว่า ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าให้เสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในเมืองหลวงต่อไป ส่งเขาออกไปยังพื้นที่ห่างไกล ยิ่งไกลเมืองหลวงเท่าไรก็ยิ่งดี”
เฉินเหวินฮั่นได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยฝ่ายขวาในกรมพิธีการ และเซี่ยซิ่งเหยียนเห็นว่าโจวเซ่าจวิน ผู้ช่วยฝ่ายซ้ายในกรมพิธีการอายุมากแล้ว ภายในหนึ่งหรือสองปีนี้ก็คงไม่ได้ทำงานต่อแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ากระดูกเก่าชิ้นนั้นจะยังคงปักแน่นไม่ยอมขยับอยู่บนตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายซ้าย อีกทั้งพฤติกรรมของอีกฝ่ายก็ต่างจากอดีต
โจวเซ่าจวินฉลาดเฉียบแหลมขึ้น อวี๋ซิ่งเสวียก็จัดการงานโดยไม่มีช่องโหว่ใดๆ ทำให้เขาไม่อาจเข้าไปแทรกแซง ส่วนเฉินเหวินฮั่น แม้ว่าจะมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยฝ่ายขวา แต่ก็ไม่มีอำนาจมากพอที่จะแต่งตั้งขุนนางตำแหน่งใหญ่ๆ ได้
เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นเพียงจือเซี่ยนที่เข้าเมืองหลวงมาเพื่อรายงานตัว แม้ว่าจะมีผลงานบ้าง แต่ก็คงไม่ทำให้อวี๋ซิ่งเสวียกับโจวเซ่าจวินให้ความสนใจมากนัก เฉินเหวินฮั่นคงมีอำนาจในเรื่องนี้อยู่กระมัง ไม่อย่างนั้นเซี่ยซิ่งเหยียนจะเก็บเขาไว้เพื่ออะไร
บ่าวรับใช้คนสนิทของเซี่ยซิ่งเหยียนส่งเสียงรับคำ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากประตูไป และพบข่งซิวผิงกับภรรยาของเขากำลังเดินมาพอดี
พวกเขาเพิ่งไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินใหญ่ และตอนนี้ก็กำลังจะเข้าไปคารวะเซี่ยซิ่งเหยียน
บ่าวรับใช้โค้งคำนับคนทั้งสอง จากนั้นก็เดินต่อไป
ข่งซิวผิงกับภรรยาของเขาเดินมาถึงหน้าห้องหนังสือของเซี่ยซิ่งเหยียน บ่าวรับใช้เห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปรายงาน ไม่นานนักก็วิ่งออกมาเชิญพวกเขาเข้าไปด้านใน
ทั้งสองคนเดินเข้าไป ก่อนจะคำนับเซี่ยซิ่งเหยียน เซี่ยซิ่งเหยียนเชิญให้พวกเขานั่งลง และเรียกบ่าวรับใช้ยกชามาต้อนรับ
ภรรยาของข่งซิวผิงมีนามว่าเซี่ยหลัน นางเป็นบุตรสาวของน้องชายเซี่ยซิ่งเหยียน น้องสามของเขาป่วยตายไปตั้งนานแล้ว เซี่ยซิ่งเหยียนจึงเลี้ยงดูเซี่ยหลันจนเติบใหญ่ แม้นางจะเทียบกับบุตรสาวแท้ๆ ของเขาไม่ได้ แต่เขาก็เลี้ยงนางมาอย่างตามใจ จนเซี่ยหลันมีนิสัยเอาแต่ใจและหยิ่งยโส
แม้ว่าเซี่ยหลันจะไม่ได้มีใบหน้างดงาม แต่ตระกูลเซี่ยและตำแหน่งของเซี่ยซิ่งเหยียนก็ทำให้นางเป็นสตรีที่มีบุรุษอยากแต่งงานด้วย ตอนแรกเซี่ยซิ่งเหยียนคิดจะหาลูกหลานในตระกูลใหญ่มาเป็นสามีของเซี่ยหลัน แต่ก็ไม่รู้ว่านางไปถูกใจข่งซิวผิงตั้งแต่เมื่อไร นางกล่าวว่าจะต้องแต่งงานกับเขาให้ได้ เซี่ยซิ่งเหยียนจนปัญญา จึงได้แต่ต้องอนุญาตเท่านั้น
ในสายตาของเซี่ยซิ่งเหยียน แม้ว่าข่งซิวผิงจะมีความสามารถไม่น้อย ทั้งยังดูสุขุมลุ่มลึก แต่ความคิดยังไม่เฉียบแหลม ยากจะสร้างเป็นอาวุธใหญ่ ทว่าในเมื่อหลานสาวของเขาชอบชายหนุ่ม จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใดหากเขาจะ สนับสนุนข่งซิวผิง
ทั้งสามคนนั่งสนทนากัน ท่าทีของข่งซิวผิงนั้นดูนอบน้อมยิ่งนัก ส่วนเซี่ยหลันกลับปล่อยตัวตามสบาย
เซี่ยหลันพูดถึงเฉินอ๋าวเหมย “เมื่อครู่ข้าไปเยี่ยมท่านย่ากับท่านป้าใหญ่ ข้าเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ด้วย นางดูผอมลงมากเมื่อเทียบกับหลายปีก่อน ดูไม่มีชีวิตชีวา ราวกับเสียสติไปแล้วก็ไม่ปาน ท่านย่าพูดกับนาง เรียกนางอยู่หลายครั้งก็ไม่ตอบ”
นางรู้ดีว่าเซี่ยเทียนเฉิงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในสามปีที่ผ่านมา มารดาของเขาย่อมขุ่นเคืองเฉินอ๋าวเหมยลูกสะใภ้ผู้นั้น และรู้สึกว่านางเป็นดาวแห่งความโชคร้าย ไม่อย่างนั้นเซี่ยเทียนเฉิงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นตายไม่อาจรู้เช่นนี้ได้อย่างไรกัน มารดาของเขาจึงปล่อยให้พวกบ่าวรับใช้รังแกเฉินอ๋าวเหมย ไม่ยอมให้นางกลับจวนตระกูลของตน และไม่ยอมให้คนในครอบครัวของนางมาเยี่ยม ดังนั้นตระกูลเฉินจึงไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เฉินอ๋าวเหมยมีชีวิตอย่างไรบ้าง หรือต่อให้รู้ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ พวกเขาไม่อาจล่วงเกินตระกูลเซี่ยได้
เซี่ยซิ่งเหยียนไม่ชอบเฉินอ๋าวเหมยอยู่แล้ว เขาจึงไม่เคยสนใจเรื่องที่ฮูหยินของตนสั่งคนรังแกลูกสะใภ้ ตอนนี้เขาไม่อยากจะเอ่ยถึงนาง จึงเปลี่ยนเรื่องถามเซี่ยหลันแทน
พวกเขานั่งสนทนากันได้สักพัก ข่งซิวผิงกับเซี่ยหลันเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้วจึงลุกขึ้นขอตัวลา เซี่ยซิ่งเหยียนให้คนออกไปส่งพวกเขา
คำพูดของเซี่ยหลันเมื่อครู่นี้ทำให้เซี่ยซิ่งเหยียนนึกถึงบุตรชายของตน และยิ่งโกรธเฉินอ๋าวเหมยมากขึ้น
เขาสั่งให้บ่าวรับใช้เข้ามาแล้วสั่ง “นำคำพูดของข้าไปถ่ายทอด สั่งให้ฮูหยินน้อยย้ายออกไปจากเรือนที่นางอยู่ตอนนี้ ให้ไปอยู่ที่เรือนเล็กมุมตะวันออกเฉียงใต้ของจวน”
แม้ว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา เฉินอ๋าวเหมยจะถูกบ่าวรับใช้รังแก กระนั้นนางก็ยังอยู่ในเรือนของเซี่ยเทียนเฉิงมาโดยตลอด ตอนนี้เซี่ยซิ่งเหยียนตั้งใจกลั่นแกล้งหญิงสาว จึงต้องการให้นางย้ายไปอยู่ที่นั่น
ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจวนมีเรือนอยู่หนึ่งหลัง ทั้งเล็กและไม่แข็งแรง ฤดูร้อนยังพอทนได้ แต่ถ้าถึงฤดูหนาวเกรงว่าคงหนาวเข้าไปถึงกระดูก สามารถนึกถึงรสชาติอันขมขื่นของการใช้ชีวิตได้เลย
บ่าวรับใช้เห็นใจเฉินอ๋าวเหมยเป็นอย่างมาก รู้ว่าการเฉือนเนื้อด้วยมีดทื่อๆ[1] นั้นทรมานที่สุด เกรงว่าคงทรมานมากกว่าความตาย แต่ในเมื่อเซี่ยซิ่งเหยียนได้ลั่นวาจาแล้ว เขาได้แต่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ต่อให้เห็นใจมากเท่าไรก็ไร้ประโยชน์ จึงรีบรับคำแล้วหมุนตัวเดินออกไป
เฉินเหวินฮั่นได้รับคำแนะนำจากเซี่ยซิ่งเหยียน ว่าให้ส่งเสวี่ยหยวนจิ้งออกไปรับตำแหน่งยังพื้นที่รกร้างและห่างไกล ทว่าเป็นเพราะเขาได้รับการสนับสนุนจากเซี่ยซิ่งเหยียน ทำให้ได้เป็นขุนนางประจำพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองทั้งยังมั่งคั่ง เขาไม่รู้จักพื้นที่ที่รกร้างและห่างไกล จึงเรียกขุนนางตำแหน่งหยวนไหว้หลาง[2] เข้ามาสอบถาม
หยวนไหว้หลางเอ่ยชื่อออกมาหลายแห่ง หลังจากรู้ว่าเฉินเหวินฮั่นต้องการส่งตัวเสวี่ยหยวนจิ้งไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เขาก็รีบปฏิเสธ
“ใต้เท้าเฉิน เรื่องนี้… เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้ขอรับ”
เมื่อเฉินเหวินฮั่นถามว่าเป็นเพราะเหตุใด หยวนไหว้หลางก็เอ่ยตอบ “หรือว่าท่านไม่ได้ยินว่าใต้เท้าอวี๋ของพวกเราชื่นชมเสวี่ยหยวนจิ้งผู้นี้เป็นอย่างมาก ทั้งยังจะพาเขาไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ อยากให้เขาได้อยู่ที่เมืองหลวง และฝึกฝนเขาเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้ท่านกลับคิดจะส่งเขาออกไปนอกเมืองหลวง การทำเช่นนั้นจะไม่เป็นการขัดใจใต้เท้าอวี๋หรือขอรับ”
เฉินเหวินฮั่นได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อย เพราะคนหนึ่งคือเซี่ยซิ่งเหยียน อีกคนก็คืออวี๋ซิ่งเสวีย ไม่ว่าคนใดเขาก็ไม่อาจล่วงเกินได้ และไม่รู้ว่าอวี๋ซิ่งเสวียจะทูลอันใดเมื่อไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้
อวี๋ซิ่งเสวียย่อมพูดเรื่องที่เกี่ยวกับเสวี่ยหยวนจิ้ง
เขาไม่รู้ว่าฮ่องเต้หย่งหนิงให้ความสนใจเสวี่ยหยวนจิ้งมานานแล้ว และอยากจะขัดเกลาชายหนุ่มให้กลายเป็นดาบอันแหลมคม เพื่อเป็นผู้ช่วยบุตรชายคนโตของตน อวี๋ซิ่งเสวียเองก็สนใจเสวี่ยหยวนจิ้งไม่น้อยเช่นกัน
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ตำแหน่งเจี้ยหยวนในการสอบระดับมณฑล และฮุ่ยหยวนในการสอบระดับเมืองหลวง ทว่าการสอบต่อหน้าพระที่นั่งเขากลับติดหนึ่งในสามอันดับกลาง อวี๋ซิ่งเสวียรู้สึกเสียดายยิ่งนัก
ขณะเดียวกันเขาอยากเลือกเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นซู่จี๋ซื่อ และอบรมสั่งสอนให้ดี แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะส่งชายหนุ่มออกไปรับตำแหน่งจือเซี่ยนในพื้นที่ห่างไกล ก่อนที่เสวี่ยหยวนจิ้งจะเดินทางไป เขาตั้งใจไปพบอีกฝ่ายแล้วขอให้ยึดมั่นในคุณธรรมและทำผลงานออกมาให้ดี
ในที่สุดเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ผลงานในช่วงเวลาที่ผ่านมาเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก เมื่อสองเดือนก่อนอวี๋ซิ่งเสวียจึงตั้งใจใส่ชื่อของเสวี่ยหยวนจิ้งลงในรายชื่อขุนนางที่กรมพิธีการเลือกให้กลับมารายงานตัวที่เมืองหลวง
เมื่อวานเสวี่ยหยวนจิ้งมารายงานตัวที่กรมพิธีการ วันนี้อวี๋ซิ่งเสวียจึงมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้หย่งหนิง เพราะต้องการเจรจาเรื่องจะแต่งตั้งชายหนุ่มในตำแหน่งใด
[1] หมายถึง ค่อยๆ จัดการ ไม่รีบบรรลุจุดประสงค์
[2] คือขุนนางท้องถิ่นที่นำภาษีอากรมาส่งมอบให้ส่วนกลาง