ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 173 หลังแยกจาก
หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสาม
หลังแยกจาก
ตันหงอี้กับภรรยาของเขาเดินออกมาพร้อมกัน
ภรรยาของเขาแซ่เจียง ชื่อฉงอวี้ ใบหน้านางงดงามและดูอ่อนโยน
ทั้งสองฝ่ายทักทายกัน เจียงฉงอวี้เชิญเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปยังห้องด้านใน แน่นอนว่ามีงานเลี้ยงต้อนรับหญิงสาวโดยเฉพาะ ส่วนตันหงอี้กับเสวี่ยหยวนจิ้งก็ดื่มสุราพูดคุยกันอยู่ในห้องโถง
ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว บ่าวรับใช้เข้ามาจุดเทียนในเรือน โคมไฟด้านนอกก็สว่างขึ้น เมื่อลมพัดแสงไฟจึงวูบไหวไปตามลม
บุรุษทั้งสองดื่มสุราพลางเล่าเรื่องราวหลังแยกจากกัน ตันหงอี้ลุกขึ้นเดินไปผลักหน้าต่างซึ่งอยู่ด้านข้างออก เพื่อชมดอกไม้ด้านนอก จากนั้นก็หันกลับไปหาเสวี่ยหยวนจิ้ง
“ตอนแรกข้าคิดผิด ข้าคิดว่าต้องเรียนรู้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาถึงจะได้รับตำแหน่งขุนนาง ได้ทำเรื่องดีๆ ในภายภาคหน้า แต่หลายปีที่ข้าอยู่ในเมืองหลวง ไหนเลยจะเคยทำอย่างที่คิด ท่ามกลางกลอุบายต่างๆ ในราชสำนัก ไม่เพียงต้องระวังตัวไม่ให้ขุนนางคนอื่นลอบป้ายความผิดเท่านั้น ยังต้องคอยป้องกันไม่ให้ขุนนางอาวุโสขุ่นเคืองใจ จากนั้นยังต้องใช้อำนาจสร้างความลำบากให้คนอื่น ช่างเป็นเรื่องที่ลำบากจริงๆ
“แต่ดูเจ้าสิ แม้ว่าจะออกไปรับตำแหน่งจือเซี่ยนในพื้นที่ห่างไกล ก็ยังโชคดีได้ทำประโยชน์ให้แก่ชาวบ้าน ซ่อมแซมเขื่อน สังหารพวกโจร พัฒนาที่ดินอันรกร้าง ความสำเร็จเหล่านี้ของเจ้า ทางราชสำนักต่างก็รับรู้ ได้ยินว่าใต้เท้าอวี๋กรมพิธีการชื่นชมเจ้าต่อหน้าฮ่องเต้ เขาเองก็อยากให้เจ้ามารับราชการที่เมืองหลวง จากนี้เจ้าก็จะได้อยู่ที่เมืองหลวงแล้ว”
เขาเงยหน้ายกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมดก่อนจะกล่าวต่อ “แต่ก็อย่างที่ข้าพูด เรื่องนี้อาจไม่ใช่ความโชคดี เจ้าเองก็รู้ว่าในราชสำนักตอนนี้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือพรรคพวกของใต้เท้าอวี๋ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็คือคนของเซี่ยซิ่งเหยียน ทั้งสองเป็นดั่งน้ำกับไฟที่ใกล้กันไม่ได้
“เรื่องของเซี่ยเทียนเฉิงในตอนนั้น แม้ว่าเซี่ยซิ่งเหยียนจะหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเจ้าไม่ได้ แต่ในใจเขาต้องเกลียดเจ้ามาก ไม่แน่ในภายภาคหน้าเขาอาจจะแอบขึงเชือกให้เจ้าเดินสะดุดก็เป็นได้ ดังนั้นสิ่งที่ข้าจะบอกก็คือ การที่เจ้ากลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ ชีวิตของเจ้าแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว”
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบาง และเขย่าจอกสุราลายครามสีขาวในมือเบาๆ
เซี่ยซิ่งเหยียนย่อมเกลียดชังเขาเป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่าสามปีมานี้เขาจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล แต่ขุนนางผู้นั้นก็คอยลอบสร้างปัญหาให้เขาไม่หยุด โชคดีที่เขาสามารถแก้ไขได้ ส่วนการกลับมาเมืองหลวงในครานี้…
“หากเขาเกลียดข้า ต่อให้ข้าหนีไปสุดหล้าเขาก็ไม่ปล่อยข้าไปหรอก กลับเมืองหลวงมาเผชิญหน้ากับเขาดีกว่าหลบเลี่ยงไปตลอดชีวิต ชัยชนะตกอยู่ที่ใครก็ยังบอกได้ยาก”
เมื่อตันหงอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา “เมื่อก่อนข้าไม่เคยยอมรับเจ้า แต่ตอนนี้กลับนับถือเจ้ายิ่งนัก เรื่องแบบนี้ข้าคงไม่มีทางตัดสินใจเช่นเจ้า เมื่อได้เห็นด้านมืดของราชสำนัก หากไม่ระวังก็อาจจะหาเรื่องใส่ตัวได้ ข้าจึงไม่เคยคิดอยากเผชิญหน้ากับใครโดยตรง คิดเพียงอยากจะลาออกจากการเป็นขุนนางแล้วกลับบ้านเกิด ทำการค้ากับท่านพ่อของข้า ชีวิตคงดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่านิสัยของตันหงอี้ในอดีตคือไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่หลังจากได้ฟังอีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ ในคำพูดนั้นเต็มไปด้วยแง่ลบ จึงคิดว่าสามปีที่ผ่านมานี้ตันหงอี้คงพบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในเมืองหลวง ไม่เช่นนั้นคงไม่คิดจะถอดใจเช่นนี้
หลังจากดื่มสุราในจอกจนหมดแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็ถามถึงข่งซิวผิงกับลู่ลี่เซวียน
ในการสอบต่อหน้าพระที่นั่งครานั้น ข่งซิวผิงสอบได้อันดับสอง ตามด้วยลู่ลี่เซวียนที่ได้อันดับสาม ข่งซิวผิงอยู่รับราชการตำแหน่งซู่จี๋ซื่อในเมืองหลวง ส่วนลู่ลี่เซวียนเป็นจือเซี่ยนประจำเมืองเจียงซูซึ่งเป็นพื้นที่เจริญรุ่งเรือง
ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นสหายร่วมห้องเรียนกันมาหลายปี ย่อมมีความผูกพันกันอยู่บ้าง การต่อสู้เพียงลำพังคงไม่ไหวอย่างแน่นอน จึงต้องมีคนของตัวเองอยู่ในราชสำนักบ้าง
“แม้ว่าข้าจะติดต่อกับลู่ลี่เซวียนทางจดหมายสองสามครั้ง แต่รายละเอียดเป็นอย่างไรข้าไม่ค่อยแน่ใจ ได้ยินว่าในเมืองเจียงซูนั้น เศรษฐีร่ำรวยและขุนนางหลายคนต่างก็เป็นคนของเซี่ยซิ่งเหยียน เขาคิดจะครอบครองท้องฟ้าเพียงผู้เดียว แต่อ่านจากจดหมายของลู่ลี่เซวียน ดูเหมือนเขาเองก็ไม่ค่อยพอใจกับการกระทำของฝ่ายเซี่ยซิ่งเหยียนเท่าไรนัก ตอนนี้เขาเองก็อยากกลับมารับราชการที่เมืองหลวง”
ตันหงอี้ยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นจึงกล่าวต่อ “ส่วนข่งซิวผิงเป็นคนที่จริงจังกับหน้าที่มาก หลังจากสอบต่อหน้าพระที่นั่งแล้วก็เข้ารับตำแหน่งซู่จี๋ซื่อ จากนั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสู่ขอหลานสาวคนหนึ่งของเซี่ยซิ่งเหยียนแต่งงาน กลายเป็นคนของฝ่ายเซี่ยซิ่งเหยียนโดยสมบูรณ์ เขาได้รับการสนับสนุนจากเซี่ยซิ่งเหยียน ตอนนี้รับตำแหน่งหลางจง[1] ในกรมพิธีการ ตราบใดที่เซี่ยซิ่งเหยียนไม่ล้ม เส้นทางขุนนางของเขาต้องยาวไกลแน่นอน”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา “หลังจากแต่งงานได้ไม่นาน เขาชวนข้าและขุนนางอีกสองสามคนไปกินข้าวด้วยหนึ่งครั้ง ข้าได้เห็นใบหน้าของหลานสาวเซี่ยซิ่งเหยียน ไม่เพียงมีหน้าตาอัปลักษณ์เท่านั้น แต่ผิวนางยังดำและมีรูปร่างอ้วน ได้ยินว่านิสัยก็ไม่ค่อยดีนัก ขี้อิจฉา หากสาวใช้คนไหนมีหน้าตาพอใช้ นางก็จะไล่ออกจากเรือนทันที สาวใช้ต้องมีใบหน้าที่อัปลักษณ์กว่านาง เพื่อที่นางจะได้ไม่ดูน่าเกลียด ชีวิตของข่งซิวผิงในหลายปีมานี้เกรงว่าคงย่ำแย่อยู่ไม่น้อย”
เสวี่ยหยวนจิ้งเองก็หัวเราะเช่นกัน
สุราในไหหมดไปแล้ว บ่าวรับใช้จึงนำไหใหม่มาส่งให้ จากนั้นบุรุษทั้งสองก็ดื่มเหมือนพบสหายรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังคิดว่าน้อย สุดท้ายก็ดื่มกันจนเมาถึงได้แยกย้าย
เสวี่ยเจียเยว่กับเจียงฉงอวี้กินข้าวเย็นเสร็จไปนานแล้ว ทั้งสองนั่งพูดคุยกันขณะรอสามีของตนอยู่บนเตียงไม้ข้างหน้าต่างทางทิศใต้
เจียงฉงอวี้มองลายปักดอกเสาเย่าบนเสื้อของเสวี่ยเจียเยว่อย่างละเอียด พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ลายปักของเจ้าช่างงดงามจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ปักได้ประณีตยิ่งนัก ราวกับว่ามันเป็นดอกเสาเย่าจริงๆ”
เสวี่ยเจียเยว่ก้มหน้ามองชายเสื้อของตัวเอง จากนั้นจึงตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“ข้าวาดมันออกมาตอนไม่มีอะไรทำ ถ้าเจ้าชอบ ข้ายังมีแบบอื่นอีกหลายแบบ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งมาให้เจ้าดู”
เมื่อครู่ที่กินข้าวด้วยรอยยิ้มและได้พูดคุยกันนั้น เสวี่ยเจียเยว่พบว่าเจียงฉงอวี้เป็นคนนิสัยดี พูดจานุ่มนวลอ่อนโยน เธอชอบคุยกับนางมาก
“เช่นนั้นก็ขอบใจเจ้าล่วงหน้า” เจียงฉงอวี้ยิ้มบางแล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งจึงถามเสวี่ยเจียเยว่ “ข้าได้ยินว่าในเมืองผิงหยางมีร้านตัดชุดชื่อซู่ยวี่เซวียน ชุดและเครื่องประดับที่ทำไม่มีขายในร้านอื่น เจ้าของร้านนั้นก็เป็นของฮูหยินเสวี่ยใช่หรือไม่”
หลายปีมานี้ แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้ทำกิจการอีก แต่ร้านซู่ยวี่เซวียนก็ยังเปิดอยู่ พอผ่านไปสักระยะเธอถึงได้จ้างคนนำแบบชุดและเครื่องประดับที่ตนวาดใหม่ไปส่งให้ป้าเฝิง กิจการที่นั่นก็ดีมากมาโดยตลอด
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “นั่นก็ยังเป็นตอนที่ข้าไม่มีอะไรทำจึงเปิดร้านนั้นขึ้นในเมืองผิงหยาง คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จัก”
เธอรู้ว่าเจียงฉงอวี้ไม่ใช่คนเมืองผิงหยาง แต่เป็นคนในเมืองละแวกนั้น
“จะไม่รู้ได้อย่างไร สตรีหลายคนต่างตั้งใจไปซื้อชุดกับเครื่องประดับที่ร้านซู่ยวี่เซวียน ข้าเองก็เคยไป ตอนที่พ่อข้าพาไปพบท่านลุงตันในเมืองผิงหยางเมื่อสองปีก่อน”
สองปีก่อน บิดาพานางไปที่เมืองผิงหยาง และได้รับคำเชิญไปพักอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลตัน บิดาของตันหงอี้เห็นว่าบุตรชายยังไม่แต่งงาน เร่งเร้าเขาหลายครั้งก็ไร้ประโยชน์ เมื่อเห็นเจียงฉงอวี้มีใบหน้างดงาม อีกทั้งนิสัยก็ดี จึงตัดสินใจเจรจาสู่ขอ จากนั้นจึงส่งจดหมายถึงตันหงอี้ ยกเรื่องความอกตัญญูมากดดันชายหนุ่ม ซึ่งความอกตัญญูที่สุดก็คือการไร้ทายาทสืบสกุล
ตันหงอี้ทำได้เพียงต้องยอมทำตาม สองเดือนต่อมาทั้งสองก็แต่งงานกัน หลังจากแต่งงานพวกเขาต่างเคารพและให้เกียรติกัน
กระนั้นเจียงฉงอวี้ก็รู้สึกเสมอว่าในใจของตันหงอี้นั้นไม่มีนางอยู่เลย
แม้ว่าเขาจะดีกับนางมาก แต่ก็สุภาพเกินไป สามีภรรยาสมควรสนิทสนมกันไม่ใช่หรือ อีกอย่าง… ไม่รู้ว่านางคิดมากเกินไปหรือไม่ นางมักจะรู้สึกว่าหัวใจของตันหงอี้เหมือนมีใครบางคน…
เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าเจียงฉงอวี้กำลังคิดอะไรอยู่ จึงถามอย่างกระตือรือร้นว่านางชอบชุดและเครื่องประดับแบบใด หากตนว่างจะออกแบบชุดให้
เมื่อเจียงฉงอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจมาก ทั้งสองจึงพูดคุยกันถึงลวดลายของชุด
หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่า งานเลี้ยงดื่มสุราที่ห้องโถงด้านหน้าได้เลิกราแล้ว ใต้เท้าเสวี่ยกำลังรอฮูหยินกลับเรือนพร้อมกับเขา
เสวี่ยเจียเยว่กังวลอยู่ตลอดเวลาว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะดื่มสุรามากเกินไป เมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอจึงลุกขึ้นบอกลาเจียงฉงอวี้ เจียงฉงอวี้ก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามไปส่งเสวี่ยเจียเยว่ที่ห้องโถงด้านหน้า
เมื่อหญิงสาวทั้งสองคนเดินมาถึงห้องโถง ก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกับตันหงอี้กำลังนั่งดื่มชากัน
พอเห็นเสวี่ยเจียเยว่ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปหาหญิงสาว ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือภรรยา
ทั้งสองคนมองหน้ากัน แม้ว่าจะไม่กล่าวอันใด แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรักที่อีกฝ่ายมีให้
ตันหงอี้นั่งมองอยู่บนเก้าอี้ด้วยหัวใจที่สับสน เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งสนิทสนมกันเช่นนี้ เขารู้สึกดีใจกับหญิงสาว แต่ลึกๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่หลายส่วน
ถ้าบุรุษในใจของเสวี่ยเจียเยว่เป็นเขา และพวกเขาได้อยู่ด้วยกัน ตอนนี้เขาคงปฏิบัติต่อหญิงสาวเป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่มีคำว่า ‘ถ้า’
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน เมื่อเจียงฉงอวี้เห็นใบหน้าของเขาแดงเรื่อ ก็นึกว่าสามีคงเมามากแล้วจริงๆ นางจึงรีบไปพยุงแขนเขาแล้วเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“ท่านพี่ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
ตันหงอี้ส่ายหน้าให้นาง จากนั้นเขาก็หันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งแล้วหัวเราะออกมา
“เสวี่ยหยวนจิ้ง” เวลานี้เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มผู้เอาแต่ใจในอดีตคนนั้น “เจ้าแพ้แล้ว ในที่สุดข้าก็เอาชนะเจ้าได้สักครั้ง”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่พวกเขาสนทนากันเมื่อสามปีก่อน เสวี่ยหยวนจิ้งก็มองตันหงอี้ แล้วมองไปที่เจียงฉงอวี้ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วย”
เสวี่ยเจียเยว่รู้เรื่องความบาดหมางระหว่างตันหงอี้กับเสวี่ยหยวนจิ้งในอดีต จึงรู้ว่าเขาอยากเอาชนะเสวี่ยหยวนจิ้งให้ได้สักครั้ง แต่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มเอาชนะได้ด้วยเรื่องอะไร
ทว่าเจียงฉงอวี้ไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่น้อย หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่จากไป นางจึงเอ่ยถามตันหงอี้
“ท่านพี่ คำพูดของท่านกับใต้เท้าเสวี่ยเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไร”
ตันหงอี้ไม่ตอบ เขาเพียงจับจ้องไปที่หน้าท้องของนาง
เมื่อไม่กี่วันก่อนหมอเข้ามาตรวจชีพจรของนาง และบอกว่านางตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว
สองเดือน… เป็นช่วงเวลาที่ครรภ์ยังไม่แข็งแรง ดังนั้นเขาจึงถามนางด้วยความห่วงใย
“เจ้ามาที่นี่ทำไม แม้ว่าตอนนี้จะเข้าฤดูร้อนแล้ว แต่ตอนกลางคืนก็ยังหนาว ทั้งยังไม่สวมเสื้อคลุมอีก หากไม่สบายขึ้นมาจะทำอย่างไร”
จากนั้นเขาก็เรียกสาวใช้ให้ไปหยิบเสื้อคลุมมาหนึ่งตัว
เจียงฉงอวี้เห็นตันหงอี้ห่วงใยนางเช่นนี้ย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา เพราะเมื่อครู่นี้นางพูดคุยกับเสวี่ยเจียเยว่ตอนกินข้าวด้วยกัน นางได้ฟังเรื่องราวของหญิงสาวกับสามีแล้วนึกชื่นชม
“ฮูหยินเสวี่ยนางเป็นคนอารมณ์ดี นางชอบยิ้มเสมอ เมื่อครู่ที่ข้าคุยกับนาง นางก็เล่าเรื่องที่น่าสนใจให้ข้าฟังมากมาย ที่แท้ตอนที่นางติดตามใต้เท้าเสวี่ยไปรับราชการ สามีนางไม่ได้ให้นางอยู่แต่ในเรือน แต่ยังพานางไปด้วยทุกที่”
ตันหงอี้ส่งเสียงอือ แต่ไม่ได้กล่าวอันใด
เขารู้อยู่แล้วว่าเสวี่ยเจียเยว่เป็นคนอารมณ์ดี ทั้งยังชอบแยกเขี้ยวยิงฟัน เขามักจะถูกนางถลึงตาด่าอยู่บ่อยครั้ง…
เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต มุมปากของตันหงอี้ก็ยกขึ้น ดวงตาเป็นประกายราวกับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เจียงฉงอวี้เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยถาม “ท่านพี่ เหตุใดคืนนี้ท่านดูมีความสุขยิ่งนัก”
ตั้งแต่นางกับตันหงอี้แต่งงานกันมา แม้ว่านางจะเคยเห็นเขายิ้ม แต่ก็มีน้อยครั้งที่เขาจะยิ้มเช่นนี้ ไม่เพียงมุมปากยกขึ้นเท่านั้น แต่ในดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อีกอย่าง… ดูอ่อนโยนกว่าเดิมมาก
นางคิดอยู่ในใจ… ดูท่าสามีนางกับใต้เท้าเสวี่ยจะสนิทสนมกันจริงๆ ไม่ได้ดื่มสุราด้วยกันมานาน คืนนี้จึงดื่มมากหน่อย ทำให้สามีนางยิ้มอย่างมีความสุขเช่นนี้…
ตันหงอี้ส่งเสียงอือ จากนั้นก็เอ่ยออกมา “คืนนี้ข้ามีความสุขมาก”
เพราะเสวี่ยเจียเยว่กลับมาแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ได้เห็นหญิงสาวมีความสุข เขาเองก็มีความสุขเช่นกัน
[1] หมายถึง เจ้าหน้าที่ที่ดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ในกรม