ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 172 กลับเมืองหลวงอีกครั้ง
หนึ่งร้อยเจ็ดสิบสอง
กลับเมืองหลวงอีกครั้ง
เวลาผ่านพ้นไปสามปี ทางราชสำนักก็เรียกตัวเสวี่ยหยวนจิ้งกลับเมืองหลวง แต่ไม่ได้แจ้งว่าจะให้เขาไปรับตำแหน่งอะไร
ตอนที่พวกเขาเดินทางมาถึงเมืองหลวงเป็นช่วงฤดูร้อนพอดี
เมื่อทั้งสองมาที่เรือนของตน เสวี่ยเจียเยว่ก็หยิบลูกกุญแจจากมือเสวี่ยหยวนจิ้งมาเปิดประตู พบว่าแม่กุญแจสีทองแดงบนประตูใหญ่นั้นขึ้นสนิมจนไม่สามารถเปิดได้ เธอจึงหันกลับไปยัดลูกกุญแจใส่มือชายหนุ่มพลางสั่ง
“ท่านพี่ ท่านมาเปิดดีกว่า”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ทำตาม เพราะเมื่อครู่นี้เขายืนมองเสวี่ยเจียเยว่เปิดประตูก็รู้แล้วว่าเปิดไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปเอื้อมมือจับแม่กุญแจ ใช้แรงเพียงเล็กน้อยก็ได้ยินเสียงดัง ‘แกรก’ แม่กุญแจคลายออกอย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของเขามีมากเพียงใด
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “หากดูเพียงใบหน้าของท่าน ทุกคนต่างก็บอกว่าท่านเป็นเพียงขุนนางที่อ่อนแอ เรี่ยวแรงของท่านคงมีไม่พอแม้แต่จะมัดไก่หนึ่งตัว ใครจะคิดว่าท่านสามารถทำให้แม่กุญแจสีทองแดงเป็นเช่นนี้ได้ในพริบตาเดียว แม้แต่แม่ทัพก็สู้ท่านไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของท่านนั้นหลอกลวงผู้คน”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เคยหงุดหงิดที่ถูกอีกฝ่ายพูดหยอกล้อเช่นนี้ กลับเอื้อมมือไปโอบเอวบางอันอ่อนนุ่ม แล้วดึงหญิงสาวเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาทันที จากนั้นก็ยิ้มและก้มลงเอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนโยนข้างหูภรรยา
“มีแรงเยอะไม่ดีหรือ สามารถอุ้มเจ้านั่งบนตัวข้าได้ มิใช่ว่าเจ้าชอบเช่นนี้หรือ”
หลังจากกล่าวจบ เขายังใช้ริมฝีปากถูกับใบหูอ่อนนุ่มของหญิงสาวเบาๆ
ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่แดงเรื่อ ก่อนจะผลักเขาออกด้วยสองมือพลางถลึงตามอง “ข้าไม่ได้ชอบเสียหน่อย”
สามปีที่ผ่านมา ใบหน้าของหญิงสาวงดงามมากขึ้น และเพราะแต่งงานกันแล้ว ยามที่เสวี่ยเจียเยว่จ้องเขาด้วยสายตาเช่นนี้ นัยน์ตาอีกฝ่ายจะเป็นประกายแวววาว มีความขุ่นเคืองอยู่สามส่วน แต่อีกเจ็ดส่วนกลับเป็นความเขินอาย ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ทำเอาหัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งราวกับถูกบีบแน่น
แม้ว่าจะแต่งงานกันมาสามปีแล้ว เรื่องที่ใกล้ชิดที่สุดระหว่างคนทั้งสองก็เคยทำ แต่ชายหนุ่มไม่เคยเบื่อเรื่องนั้นเลย
เขากัดติ่งหูของภรรยาเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า “จริงหรือ เช่นนั้นวันนี้ก็อย่าขอให้ข้าอุ้มเจ้าล่ะ”
เสวี่ยเจียเยว่อายจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี เธออยากกัดอีกฝ่ายเสียเดี๋ยวนี้
เธอถลึงตามองเสวี่ยหยวนจิ้งครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผลักประตูบานใหญ่
แม้ว่าเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งจะอยู่ที่เรือนนี้ได้ไม่นานนัก กระนั้นที่นี่ก็ยังเป็นเรือนหลังแรกที่พวกเขาซื้อมา ดังนั้นสามปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาจึงไม่ได้ขายออกไป
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เดินเข้าไปในลานเรือน ก็เอื้อมมือไปสัมผัสลวดลายแกะสลักที่นูนออกมาบนกำแพงครู่หนึ่งโดยไม่สนใจฝุ่นละออง จากนั้นจึงเดินผ่านประตูกลาง
ประตูนี้ถูกปิดด้วยกุญแจเช่นกัน เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นเช่นนั้น เธอคิดว่าต้องเปิดไม่ออกแน่ จึงไม่ได้หยิบลูกกุญแจ แต่เรียกเสวี่ยหยวนจิ้งมาเปิดแทน
หลังจากชายหนุ่มคลายแม่กุญแจแล้ว เธอจึงก้าวเท้าเข้าไปยังลานด้านใน
ลานเรือนปูด้วยอิฐสีเขียวซึ่งไม่ได้รับการดูแลมาสามปี ตอนนี้เป็นช่วงฤดูร้อน และเป็นช่วงที่ต้นไม้ใบหญ้าเจริญเติบโต ดังนั้นตามรอยแยกของอิฐจึงมีหญ้าสีเขียวขจีงอกออกมาเป็นจำนวนมาก แม้แต่กระถางต้นเผินจิ่งก็ยังมีหญ้าขึ้นอยู่หลายต้น ส่วนกระถางดอกตู้เจวียน[1] มีใบสีเขียวเข้มกับดอกสีม่วงกลิ่นหอมชื่นใจ
เสวี่ยเจียเยว่หันกลับไปถอนหายใจยาวให้เสวี่ยหยวนจิ้ง “ท่านพี่ ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าเมื่อเวลาผันผ่าน ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา”
แต่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ถอนหายใจยาวเหยียดเช่นนั้น เขาเพียงกุมมือภรรยาพลางกล่าว
“เจ้ากับข้าอยู่ด้วยกันตลอด และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป ส่วนที่นี่ เรากำจัดวัชพืชเหล่านี้และทำความสะอาดทั้งภายในและภายนอก มันก็กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว จะเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาได้อย่างไร”
เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจดี สตรีนั้นอ่อนไหวกว่าบุรุษ ดังนั้นการถอนหายใจยาวเหยียดจึงมีความหมายลึกซึ้งมากกว่าเช่นกัน
ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้ง ตราบใดที่มีเสวี่ยเจียเยว่อยู่ข้างๆ เขาก็จะอุ่นใจ พอใจ ไม่ว่าที่ไหนล้วนเป็นเรือนของตน
เมื่อเลิกคิดเรื่องนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่กล่าวอันใดต่อ เพียงพับแขนเสื้อขึ้น และเตรียมจะลงมือทำความสะอาดทั้งภายนอกเรือนและในเรือน จากนั้นเธอก็สั่งฉ่ายผิงกับกวนเหยียนนำสัมภาระและรถม้าเข้ามา
กวนเหยียนเป็นบ่าวรับใช้ที่เสวี่ยหยวนจิ้งซื้อมาตอนไปรับราชการ เดิมทีครอบครัวของเขามีฐานะยากจน มีพี่น้องในเรือนหลายคน บิดามารดาไม่อาจรับภาระได้อีกแล้วจึงคิดจะขายเขา เสวี่ยหยวนจิ้งรู้เข้าก็รับซื้อเขาไว้ เขาเป็นคนขยันและเฉลียวฉลาด
ฉ่ายผิงกับกวนเหยียนส่งเสียงรับคำสั่ง จากนั้นฉ่ายผิงก็ยุ่งอยู่กับการเช็ดทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ในเรือน กวนเหยียนกำจัดวัชพืชในลาน เสวี่ยเจียเยว่จัดสิ่งของที่นำกลับมาด้วย มองเห็นดวงอาทิตย์ด้านนอกจึงเรียกให้เสวี่ยหยวนจิ้งนำผ้าห่มออกไปผึ่งแดดในลาน
แม้ว่านายบ่าวทั้งสี่คนจะร่วมมือกันทำงาน แต่ทั้งเรือนมีห้องอยู่ทั้งหมดสิบกว่าห้อง ทำความสะอาดทั้งด้านในด้านนอกจึงใช้เวลาไปเกือบหนึ่งวัน
เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลง เสวี่ยเจียเยว่เรียกฉ่ายผิงให้ไปทำอาหาร จากนั้นก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูลานเรือน
วันนี้พวกเขาเพิ่งกลับมาเมืองหลวง เหตุใดถึงได้มีคนมาหาทันที จะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย
เสวี่ยเจียเยว่หันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยความตื่นตระหนก
เสวี่ยหยวนจิ้งใช้สายตาบอกว่าอย่าเพิ่งร้อนใจ จากนั้นก็สั่งกวนเหยียน “เจ้าไปเปิดประตูที ถามว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”
กวนเหยียนรับคำสั่งแล้วเดินไปเปิดประตู ไม่นานนักก็กลับมา และมีคนผู้หนึ่งเดินตามหลังมาด้วย
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีเขียวปักลายไก่ฟ้าสีขาว มีเข็มขัดรัดระหว่างเอว ใบหน้าหล่อเหลา ท่วงท่าการเดินสง่างาม คนผู้นั้นก็คือตันหงอี้
สามปีที่ไม่ได้พบกัน เขาดูสุขุมมากยิ่งขึ้น
เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นตันหงอี้ อีกอย่าง… ดูจากการแต่งตัวแล้วเหมือนเพิ่งกลับมา แม้แต่ชุดขุนนางก็ยังไม่ได้เปลี่ยน
เสวี่ยหยวนจิ้งก้าวไปข้างหน้า ประสานมือคารวะอีกฝ่าย
ตันหงอี้ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งกลับมาก็ได้ยินคนเฝ้าประตูบอกว่ามีคนเข้าออกประตูเรือนฝั่งตรงข้าม ข้ารู้ทันทีว่าพวกเจ้ากลับมาแล้ว ดังนั้นจึงได้มาเยี่ยม ไม่ได้พบกันสามปี สหายเสวี่ยเป็นอย่างไรบ้าง”
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ตันหงอี้กับเสวี่ยหยวนจิ้งติดต่อกันผ่านจดหมายเป็นบางครั้ง เสวี่ยเจียเยว่จึงรู้ว่าตันหงอี้ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยฝ่ายขวาของผู้พิพากษาสูงสุดแห่งศาลต้าหลี่ เป็นขุนนางขั้นห้า
ปีนั้นเขาสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน และเป็นผู้มีความสามารถ ย่อมเป็นบุคคลสำคัญในราชสำนักแน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่มองเสวี่ยหยวนจิ้งทักทายตันหงอี้ พลางถอนหายใจอย่างเงียบๆ พวกเขาสองคนกลายเป็นสหายกัน เรื่องนี้เธอคิดไม่ถึงจริงๆ แต่นี่ก็เป็นเรื่องดี
คนทั้งสองล้วนเป็นบุรุษหนุ่มที่หล่อเหลาและมีความสามารถ คาดว่าในราชสำนักจะต้องสนับสนุนพวกเขาทั้งสองคนอย่างแน่นอน
ตันหงอี้กับเสวี่ยหยวนจิ้งพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเสร็จแล้ว ตอนนี้ราวกับพวกเขาเพิ่งสังเกตเห็นเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่ปาน
ตันหงอี้พยักหน้าให้เสวี่ยเจียเยว่ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ไม่พบกันเสียนาน”
อันที่จริงเขาเห็นเสวี่ยเจียเยว่ทันทีที่เดินเข้ามาแล้ว หญิงสาวสวมเสื้อสีชมพูปักลายเสาเย่า กระโปรงจีบสีขาว รูปร่างอรชรยืนสง่าอยู่ตรงนั้น เหมือนกับดอกเสาเย่าสีชมพูที่กำลังแบ่งบาน งดงามมีเสน่ห์ยิ่งนัก
หัวใจของเขายังสัมผัสได้เสมอ แต่มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ไหนเลยจะได้ทุกอย่างที่ปรารถนา อีกอย่าง… ตอนนี้เขาก็แต่งงานแล้ว…
ช่างเถิด ต่อให้หัวใจปรารถนามากเพียงใด ก็ทำได้เพียงข่มมันไว้เท่านั้น
เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าให้เขา แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่พบกันนานเลย”
เธอรู้ว่าตันหงอี้แต่งงานแล้ว แต่ไม่ใช่บุตรสาวขุนนางคนใด เป็นลูกสาวของคนที่บิดาเขารู้จัก ตระกูลนางก็ทำการค้าขายเช่นกัน
อันที่จริงด้วยรูปลักษณ์และความสามารถของตันหงอี้ ต้องมีสตรีชั้นสูงในเมืองหลวงอยากแต่งงานด้วยอย่างแน่นอน ด้วยวิธีนี้ก็จะมีกำลังช่วยเหลือจากครอบครัวภรรยา และหน้าที่การงานของเขาในภายภาคหน้าจะราบรื่นยิ่งขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากทำเช่นนั้น จึงยอมแต่งงานกับลูกสาวพ่อค้า
ตันหงอี้เอ่ยขึ้นมาอีก “วันนี้พวกเจ้าเพิ่งกลับมา ข้าต้องจัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเจ้าแน่ ข้าจะสั่งให้คนของข้าเตรียมอาหารและสุราไว้”
เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งมีท่าทีจะปฏิเสธ ตันหงอี้ก็รีบดึงแขนอีกฝ่ายแล้วกล่าวต่อ “ข้ากับเจ้าไม่ได้พบกันมาสามปี เจ้าจะไม่ดื่มสุรารำลึกความหลังกันหน่อยหรือ ถ้าเจ้าปฏิเสธ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูด ข้าจะหันหลังจากไปทันที”
พอเขาโกรธขึ้นมา นิสัยก็ยังคงเหมือนเมื่อก่อน เสวี่ยเจียเยว่เม้มริมฝีปากก่อนจะยิ้ม
เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งกลับมาเมืองหลวง เจ้าก็คิดจะเชิญข้าไปดื่มสุรารำลึกความหลังแล้ว หากขุนนางคนอื่นๆ รู้เข้า เกรงว่าพวกเขาคงพูดกันว่าเจ้าจะดึงข้าเข้าพวก ข้ากลัวว่าจะกระทบต่อหน้าที่การงานของเจ้า”
ตันหงอี้มีท่าทีไม่สนใจสิ่งใด “ข้าขอบอกเจ้าตามตรง ข้าเป็นขุนนางมาหลายปี ข้ารู้สึกว่าถูกควบคุมมากเกินไป ในใจก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับการเป็นขุนนางมาตั้งนานแล้ว มิสู้กลับไปทำการค้าขายดีกว่า ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเป็นอิสระ ดังนั้นข้าจึงไม่กลัวขุนนางเหล่านั้น แล้วเจ้าล่ะ กลัวหรือไม่ หากกลัว เช่นนั้นก็ช่างเถิด”
เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปเอ่ยกับเสวี่ยเจียเยว่ “ดูท่าวันนี้พวกเราคงไม่ต้องเสียเวลาทำอาหารเย็น รีบมาเถอะ พวกเราควรไปกินอาหารเย็นที่เรือนของสหายตัน”
เสวี่ยเจียเยว่เดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองเดินตามตันหงอี้ไปข้างนอก โดยมีฉ่ายผิงกับกวนเหยียนตามไปด้วย
เมื่อมาถึงเรือนของตันหงอี้ ชายหนุ่มก็เชิญพวกเสวี่ยหยวนจิ้งไปนั่งที่ห้องโถงใหญ่ ส่วนตนเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องส่วนตัว
ในช่วงนี้ต้นการบูรในลานเรือนมีดอกสีขาวอมเหลืองแบ่งบาน เมื่อลมพัดผ่านก็จะส่งกลิ่นหอมชื่นใจ
เสวี่ยเจียเยว่ชี้ไปที่ต้นการบูรข้างระเบียงทางเดินหน้าห้องโถง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังจำตอนนั้นได้ ท่านยืนอยู่ตรงนั้น มองมาที่ข้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ตอนนั้นข้ากลัวจึงคิดจะวิ่งหนีไป หากวันนั้นข้าหนีไปจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกเราจะเป็นอย่างไรกันบ้าง”
เสวี่ยหยวนจิ้งจดจำเรื่องนั้นได้ดี ตอนนั้นเสวี่ยเจียเยว่หนีออกจากเรือน เขาทั้งเดือดดาลและกระวนกระวาย ต่อมาก็เห็นว่าหญิงสาวอยู่ในเรือนของตันหงอี้ เขายิ่งโกรธมากขึ้น
แต่โชคดีที่สุดท้ายแล้วเสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้หนีไป ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าตนจะเป็นอย่างไร
“ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าหนีไปจากข้า” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับมือของเสวี่ยเจียเยว่ มองหญิงสาวด้วยแววตามุ่งมั่นและนิ่งสงบ ก่อนจะเอ่ยอย่างเด็ดขาด “ไม่มีวัน”
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ จากนั้นจึงจับมืออีกฝ่าย ทั้งสองคนกุมมือกันแน่น
“อือ ข้าไม่มีวันไปจากท่าน”
[1] คือดอกกุหลาบพันปี