ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 169 มาเอาผิดถึงที่
หนึ่งร้อยหกสิบเก้า
มาเอาผิดถึงที่
การสอบจัดขึ้นหน้าพระที่นั่งเป่าเหอ[1] โดยหลายวันก่อนหน้านี้ได้มีการเรียกตัวบัณฑิตก้งซื่อทุกคนเข้ามาพักในกวนเซ่อแล้ว
เริ่มมีการสอบในตอนเช้าตรู่ และส่งกระดาษคำตอบในตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน หลังจากสอบเสร็จแล้ว ฮ่องเต้หย่งหนิงมีราชโองการลงมาอีกหนึ่งฉบับ บอกว่าอย่างไรเสียความฝันของพระองค์ก็เกี่ยวพันกับบรรดาบุรุษที่เปรียบเสมือนเสาหลักของแคว้น จึงทรงเป็นกังวลมิใช่น้อย หลังสอบเสร็จแล้วพระองค์อยากให้บัณฑิตทุกคนพักอยู่ที่กวนเซ่อต่อไปจนกว่าจะประกาศผลสอบ
เหล่าบัณฑิตต่างซาบซึ้งในความเป็นห่วงของฮ่องเต้ และส่งเสียงขอให้พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นๆ ปี
ตันหงอี้มองใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายนิ่งสงบไม่ต่างจากเวลาปกติ เขาก็เบนสายตาไปอีกทาง
เขาอาจจะคิดมากเกินไป ทุกอย่างอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่ถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าฮ่องเต้คอยปกป้องเสวี่ยหยวนจิ้ง…
หลังจากผู้ตรวจสอบตรวจกระดาษคำตอบของบัณฑิตทุกคนเสร็จแล้ว เขาก็ส่งให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร ฮ่องเต้หย่งหนิงอ่านบทความอันยอดเยี่ยมจากบัณฑิตทั้งแปดคน ทว่าไม่พบชื่อของเสวี่ยหยวนจิ้ง
เขาหากระดาษคำตอบของเสวี่ยหยวนจิ้งจนพบ หลังจากอ่านจบแล้ว รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนมุมปากและส่งไปถึงดวงตา
หลายวันที่ผ่านมา เขาคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนมีความสามารถ จึงอยากให้ชายหนุ่มอยู่รับใช้บุตรชายของโจวฮองเฮา แต่ตอนนี้เหล่าขุนนางในราชสำนักกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด หากให้เสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในเมืองหลวง เกรงว่าชายหนุ่มจะต้องเข้าร่วมในการต่อสู้แย่งชิงเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นคงใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อีกแล้ว
ส่วนเรื่องของเซี่ยเทียนเฉิง ยังต้องคอยระวังเซี่ยซิ่งเหยียนลอบหาเรื่องทำให้เสวี่ยหยวนจิ้งลำบาก มิสู้ส่งชายหนุ่มออกไปเป็นขุนนางนอกเมืองหลวงก่อนชั่วคราว ให้เรียนรู้การทำงานสักสองสามปีแล้วค่อยกลับมา ทำเช่นนี้เสวี่ยหยวนจิ้งก็จะไม่ต้องอยู่ท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ นั่นล้วนเป็นเรื่องที่ดี
ฮ่องเต้หย่งหนิงคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะคิดเช่นเดียวกับเขา
ตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งสอบระดับมณฑล ฮ่องเต้ก็เคยอ่านกระดาษคำตอบมาแล้ว ชายหนุ่มเขียนกฎเกณฑ์ชัดเจน มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผลงานอันยอดเยี่ยมหาได้ยาก แต่บทความที่เขียนในการสอบต่อหน้าพระที่นั่งครั้งนี้ แทบไม่เหมือนตัวชายหนุ่มเขียนเองเลย
ฮ่องเต้หย่งหนิงคิดว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจงใจทำเช่นนี้ เพราะไม่ต้องการจะอยู่ในเมืองหลวงเป็นการชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงภัยคุกคามจากเซี่ยซิ่งเหยียน รอจนแข็งแกร่งพอแล้วค่อยกลับมา
คนทั้งสองคิดเหมือนกัน ฮ่องเต้หย่งหนิงเริ่มสนใจบุรุษผู้นั้นขึ้นมาเสียแล้ว
เมื่อถึงวันประกาศผลสอบ เสวี่ยหยวนจิ้งติดหนึ่งในสามอันดับกลาง[2] แม้ว่าขุนนางบางส่วนจะบอกว่าเขาคือคนที่สอบได้อันดับหนึ่งของการสอบระดับมณฑลและระดับเมืองหลวง การสอบต่อหน้าพระที่นั่งในครานี้ต้องไม่มีเรื่องผิดพลาดอย่างแน่นอน และพวกเขาจะเสนอให้ชายหนุ่มเข้ารับตำแหน่งซู่จี๋ซื่อ[3] รอดูความสามารถของเขาในภายภาคหน้า ทว่าฮ่องเต้กลับปฏิเสธ แล้วส่งเขาไปรับตำแหน่งจือเซี่ยน[4] ในพื้นที่ห่างไกล
เสวี่ยหยวนจิ้งรับราชโองการแล้วออกจากวัง ก่อนจะกลับเรือนเพื่อเก็บข้าวของ
ตันหงอี้เข้ามาเยี่ยมเสวี่ยหยวนจิ้งที่เรือน ครั้งนี้เขาสอบได้อันดับสูงสุดคือจ้วงหยวน เข้ารับตำแหน่งซิวจ้วนในสำนักฮั่นหลิน แต่พอเห็นอีกฝ่าย สีหน้าของเขากลับไม่ได้พอใจนัก
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นดังนั้นจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าอยากเอาชนะข้ามาตลอดไม่ใช่หรือ ครั้งนี้เจ้าชนะแล้ว”
หลังจากผ่านเรื่องของเซี่ยเทียนเฉิงมานั้น เสวี่ยหยวนจิ้งกับตันหงอี้ก็เห็นอกเห็นใจกันขึ้นมาหลายส่วน ไม่ได้แยกเขี้ยวยิงฟันใส่กันเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยากไปจากเมืองหลวงชั่วคราว ดังนั้นในการสอบต่อหน้าพระที่นั่งเจ้าจึงตั้งใจทำเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นบัณฑิตผู้มีพรสวรรค์เช่นเจ้าจะสอบได้แค่หนึ่งในสามอันดับกลางได้อย่างไร ตำแหน่งจ้วงหยวนควรเป็นของเจ้าตั้งแต่แรก ข้าไม่ได้ชนะเจ้าเลย”
ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นชุดแต่งงานที่อยู่ในห่อจึงถามอีกฝ่าย “เจ้ากับแม่นางเสวี่ยจะแต่งงานกันหรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้า “ใช่ เดิมทีอยากเชิญเจ้ามาดื่มสุราแสดงความยินดี แต่ข้าต้องไปประจำการที่นอกเมืองหลวง ดังนั้นงานนี้ข้าจึงเชิญเจ้ามาร่วมไม่ได้”
ตันหงอี้เพียงยิ้มบาง ความจริงแล้วการดื่มสุราแสดงความยินดีกับเสวี่ยหยวนจิ้งและเสวี่ยเจียเยว่นั้น เขาเองก็ไม่อยากดื่มเท่าไรนัก
เขาคิดว่าตนสามารถปล่อยวางอดีตได้บ้างแล้ว แต่เมื่อเห็นสตรีที่เป็นรักครั้งแรกของเขากำลังจะแต่งงานกับชายอื่น ตันหงอี้ย่อมไม่สบายใจแน่นอน จึงคิดว่าไม่ดื่มจะดีกว่า
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็หัวเราะ “เจ้าแต่งงานก่อนข้า เรื่องนี้ข้าเองก็เอาชนะเจ้าไม่ได้ แต่บางทีข้าอาจจะมีลูกก่อนเจ้าได้ เช่นนี้ถึงจะถือว่าข้าชนะเจ้า”
เสวี่ยหยวนจิ้งหัวเราะเช่นกัน “ได้ ถ้าเจ้ามีลูกเมื่อไร บอกข้า ข้าจะต้องมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้อย่างแน่นอน”
ขณะที่ตันหงอี้กำลังจะพูดบางอย่าง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูลานเรือน ฟังแล้วไร้มารยาทเป็นอย่างมาก
เสวี่ยหยวนจิ้งเดินไปเปิดประตู ก็เห็นองครักษ์หลายคนยืนอยู่ข้างนอก ล้อมรอบคนผู้หนึ่งไว้ตรงกลาง
เซี่ยซิ่งเหยียน โส่วฝูในเน่ยเก๋อแห่งราชสำนัก
ตันหงอี้กับเสวี่ยหยวนจิ้งเคยพบเซี่ยซิ่งเหยียนในงานเลี้ยงของพวกขุนนาง เมื่อเห็นขุนนางผู้นั้นอยู่ตรงหน้า พวกเขาจึงโค้งคำนับทันที
เซี่ยซิ่งเหยียนเดินเข้าใกล้ชายหนุ่มทั้งสอง สายตาจับจ้องเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างเคร่งขรึม
เขายังคงตามหาเซี่ยเทียนเฉิงไม่หยุด โดยสิ่งเดียวที่มีคือคำพูดของเฉินอ๋าวเหมย แต่หลังจากเขาส่งคนมาตรวจดูที่เรือนหลังนี้ ก็ไม่พบร่องรอยของบุตรชายแม้แต่น้อย ต่อมาเขาอยากเข้าไปสอบถามเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่หลายครั้ง แต่เพราะอีกฝ่ายอยู่ในกวนเซ่อ ทั้งภายในและภายนอกล้วนมีองครักษ์เฝ้าอยู่ เขาไม่อาจขัดคำสั่งของฮ่องเต้ได้ จึงได้แต่ปล่อยผ่านไปก่อน
ทันทีที่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาที่เรือน เขาก็รีบเดินทางมาพบชายหนุ่ม
แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งสูง แต่ยามนี้เป็นเพียงบิดาผู้หนึ่งที่ไม่รู้ว่าบุตรชายของตนเป็นหรือตาย เดิมทีเขาก็ไม่ชอบเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่แล้ว แค่ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาในเส้นทางขุนนาง ตำแหน่งก็เป็นเพียงจือเซี่ยนในพื้นที่ห่างไกลเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดทักทายเสวี่ยหยวนจิ้งมากนัก ทว่าถามออกมาตรงๆ
“ลูกชายของข้า เซี่ยเทียนเฉิง เจ้าพบเขาหรือไม่”
น้ำเสียงที่ถามนั้นค่อนข้างแข็งกร้าว คล้ายกำลังสอบถามคนที่ทำความผิดมา
ตันหงอี้รู้เรื่องนี้ดี และเขาก็รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนรอบคอบ จึงคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะจัดการกับเซี่ยเทียนเฉิงจนแม้แต่ผีหรือเทพเจ้าก็หาร่างไม่พบ
ในใจเขารู้สึกกระวนกระวาย ก่อนจะชำเลืองมองเสวี่ยหยวนจิ้ง
เขาเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายนิ่งสงบ จากนั้นชายหนุ่มก็ยกมือประสานคารวะเซี่ยซิ่งเหยียน แล้วเอ่ยตอบอย่างไม่รีบร้อน
“เรียนใต้เท้าเซี่ย ข้าน้อยมีฐานะต่ำต้อยทั้งด้อยวาสนา จะพบคุณชายผู้สูงศักดิ์ได้เยี่ยงไร แต่ในทางกลับกันข้าน้อยอยากพบเขามาก ไม่ทราบว่าคุณชายเซี่ยมีเวลาว่างเมื่อไรหรือ ข้าน้อยจะได้ไปคารวะ”
เซี่ยซิ่งเหยียนหรี่ตามองเสวี่ยหยวนจิ้ง ราวกับกำลังพิจารณาว่าเขาโกหกหรือไม่
สีหน้าของชายหนุ่มไม่แปรเปลี่ยน และยังคงหลุบตามองพื้น ปล่อยให้เขามองพิจารณาอยู่เช่นนี้
เซี่ยซิ่งเหยียนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ในวันที่สิบเดือนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน”
วันที่สิบเดือนนี้… คือวันที่เกิดเรื่อง
เสวี่ยหยวนจิ้งยังไม่ทันได้ตอบ ก็ได้ยินตันหงอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
“เรียนใต้เท้าเซี่ย หากเป็นเรื่องเมื่อวันที่สิบ ข้าน้อยยังจำได้ดีไม่ลืม วันนั้นข้าน้อยส่งบัตรเชิญใต้เท้าเสวี่ยมาดื่มชาเล่นหมากรุกในเรือนของข้าน้อย ใต้เท้าเสวี่ยอยู่เล่นกับข้าน้อยทั้งวัน จนเวลาพลบค่ำถึงจะกลับ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองตันหงอี้ เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังช่วยเหลือ เขาจึงต้องแสร้งพยักหน้าตามไปด้วย
ทันใดนั้นเซี่ยซิ่งเหยียนก็มองไปที่ตันหงอี้ ชายหนุ่มสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวนในขณะที่อายุยังน้อย เส้นทางขุนนางในภายภาคหน้าต้องก้าวหน้าอย่างแน่นอน เขาเองก็คิดจะดึงอีกฝ่ายมาเป็นพวก ดังนั้นเซี่ยซิ่งเหยียนจึงมองตันหงอี้ดีกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่น้อย
“ที่แท้ก็ตันจ้วงหยวนนี่เอง เจ้าอาศัยอยู่ที่ไหนเล่า เจ้าจำเหตุการณ์ในวันที่สิบได้เช่นนั้นหรือ”
ตันหงอี้ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เรือนข้าน้อยอยู่ฝั่งตรงข้ามนี้ขอรับ ส่วนที่ว่าเหตุใดข้าน้อยถึงจำเหตุการณ์ในวันที่สิบได้นั้น พูดไปก็ละอายใจ ข้าน้อยเล่นหมากรุกสู้ใต้เท้าเสวี่ยไม่ได้ วันนั้นข้าน้อยแพ้จนเสียเงินไปไม่น้อย แต่ในใจไม่เคยยอมแพ้ พอเห็นว่าใต้เท้าเสวี่ยจะออกจากเมืองหลวงไปรับราชการ และไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไร วันนี้ข้าน้อยจึงตั้งใจมาเชิญไปเล่นหมากรุกกันอีกครั้ง เพราะอยากลบล้างความอัปยศในวันนั้นขอรับ”
เรื่องที่เซี่ยเทียนเฉิงมาที่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเซี่ยซิ่งเหยียนเท่านั้น อันที่จริงแล้วเขาเองก็หาหลักฐานที่แน่ชัดไม่ได้ และยิ่งมีคนอย่างตันหงอี้เป็นพยาน ชั่วขณะนั้นเซี่ยซิ่งเหยียนจึงอับจนหนทาง
แต่เมื่อคิดดูแล้วเขาก็เอ่ยถามอีก “ได้ยินว่าเจ้าแต่งงานแล้ว เหตุใดไม่เห็นภรรยาของเจ้าเล่า”
หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งสั่นสะท้าน แต่ยังคงเอ่ยตอบด้วยความนอบน้อม “ตอนที่ข้าน้อยเข้ามาเมืองหลวง ภรรยาของข้าน้อยได้ขอพรต่อหน้าเทพเจ้าที่วัดต้าเซียงกั๋ว ว่าหากข้าน้อยสอบผ่าน นางจะถวายเงินจำนวนมากให้ทางวัด ดังนั้นวันนี้ภรรยาของข้าน้อยจึงกลับไปที่วัดต้าเซียงกั๋ว อีกประเดี๋ยวข้าน้อยก็จะไปรับนางกลับมาที่เรือนขอรับ”
เซี่ยซิ่งเหยียนอับจนหนทางเสียแล้ว ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าบุตรชายยังมีชีวิตแต่ไม่พบตัว หรือตายแล้วแต่ยังไม่พบศพ ทั้งยังไม่มีใครเป็นพยานได้ว่าเซี่ยเทียนเฉิงมาที่เรือนของเสวี่ยหยวนจิ้งจริงหรือไม่ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับไปถามเฉินอ๋าวเหมยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
คิดได้ดังนั้นเซี่ยซิ่งเหยียนก็หันหลังกลับอย่างไม่สบอารมณ์
เสวี่ยหยวนจิ้งกับตันหงอี้ส่งเขาออกจากประตู จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ปิดประตูใหญ่ แล้วหันไปมองตันหงอี้อย่างเงียบงันครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็คำนับอีกฝ่ายพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“เมื่อครู่นี้ ขอบคุณเจ้ามาก”
หากไม่ใช่เพราะคำพูดของตันหงอี้เมื่อครู่นี้ เขาคงไม่สามารถหลอกเซี่ยซิ่งเหยียนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
การที่เสวี่ยหยวนจิ้งมีมารยาทกับเขาและยังเอ่ยขอบคุณเช่นนี้ ทำให้ตันหงอี้รู้สึกสบายใจไม่น้อย
เขาประสานมือสองข้างอยู่ในแขนเสื้อ แล้วพยักหน้าให้เสวี่ยหยวนจิ้งพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากับข้าเป็นเหมือนกับคำที่ว่า หากไม่ทะเลาะกันคงไม่รู้จักกันใช่หรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มบาง “หากเอ่ยถึงเรื่องนี้ เจ้าไม่เคยชนะข้า”
ในอดีตพวกเขาเคยประมือกันอยู่หลายครั้ง และทุกครั้งก็ล้วนแต่เป็นตันหงอี้ที่เสียเปรียบ
ตันหงอี้ถอนหายใจ “ดังนั้นข้าจึงบอกเสมอว่าข้าต้องชนะเจ้าให้ได้สักครั้ง ไม่อย่างนั้นข้าไม่ยอมเด็ดขาด”
เมื่อกล่าวจบเขาก็ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วถอดเข็มขัดที่เอวของตน ถ้ามองจากภายนอกมันเป็นเพียงเข็มขัดเงินธรรมดา แต่เมื่อตันหงอี้แตะบางอย่างที่อยู่หลังเข็มขัดเบาๆ ทันใดนั้นก็มีกระบี่ปลายอ่อนโผล่ออกมา
ตัวกระบี่ยาวบางเหมือนกระดาษ แสงอาทิตย์ตกกระทบจนกระบี่ส่องประกายเยือกเย็น
ตันหงอี้โบกกระบี่ในมือไปมา โบกไปทางกิ่งหนาของต้นท้อราวกับว่ามันเป็นแขนของคน จากนั้นกิ่งท้อก็ขาดออกในคราวเดียว รอยตัดเรียบเนียนแสดงให้เห็นถึงความคมกริบของกระบี่
“นี่คือกระบี่ที่ท่านพ่อของข้าจ้างให้ช่างฝีมือมีชื่อเสียงทำให้ข้าเพื่อใช้ป้องกันตัว ข้าได้ยินมาว่าสถานที่ที่เจ้าจะไปรับราชการนั้นเป็นดินแดนแห้งแล้ง ชาวบ้านที่นั่นล้วนเป็นพวกไม่มีมนุษยธรรม มีโจรมากมาย กระบี่นี้ข้าขอมอบให้เจ้า เจ้าเอาไว้ใช้ป้องกันตัวเถอะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งปฏิเสธ แต่ตันหงอี้กลับยัดด้ามกระบี่ใส่มือเขา “เจ้าดูแลตัวเองและแม่นางเสวี่ยให้ดี”
เขาเหลือบมองชุดแต่งงานสีแดงที่ห่ออย่างเรียบร้อย เห็นลวดลายก้อนเมฆกับดอกโบตั๋นพร้อมทั้งหงส์สีทองอันงดงาม จากนั้นก็พยักหน้าให้เสวี่ยหยวนจิ้งแล้วหมุนตัวเดินจากไป
‘เจ้าเลือกในสิ่งที่ชอบ ข้าก็มีเพียงคำอวยพรให้ การไปบุกน้ำลุยไฟในครานี้ ไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกเมื่อไร ข้ามีเพียงความปรารถนาเดียวคือเจ้าจะสามารถปกป้องชีวิตของเจ้าเองและดูแลภรรยาของเจ้าให้มีความสุข’
[1] หนึ่งในสามพระที่นั่งในเขตวังชั้นกลางของวังต้องห้าม
[2] อันดับรองจากสามอันดับแรก
[3] หมายถึง ตำแหน่งบัณฑิตทดลองปฏิบัติราชการประจำสำนักราชบัณฑิตหลวง
[4] หมายถึง ขุนนางที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารในระดับตำบล