ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 168 เตรียมตัวสอบต่อหน้าพระที่นั่ง
หนึ่งร้อยหกสิบแปด
เตรียมตัวสอบต่อหน้าพระที่นั่ง
แน่นอนว่าป้าโจวย่อมตอบตกลงเรื่องที่เสวี่ยหยวนจิ้งขอ
ทั้งสองคนสนทนากันอีกเล็กน้อย เสวี่ยหยวนจิ้งจึงลุกขึ้นขอตัวลา ขณะที่กำลังหมุนตัวจะเดินจากไปนั้นป้าโจวก็เอ่ยถามเขา
“เจ้าไม่ไปหาเยว่เอ๋อร์หน่อยหรือ”
ตอนนี้เหลือเวลาอยู่เจ็ดวันก่อนจะมีการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง ป้าโจวรู้ว่าพวกเขาทั้งสองรักใคร่กลมเกลียว เมื่อต้องแยกจากกันหลายวัน ก่อนจะไปเขาไม่คิดจะไปพบเสวี่ยเจียเยว่หรือ
เสวี่ยหยวนจิ้งหยุดชะงักเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ไม่นานนักเขาก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ไม่ต้องจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
หากไปพบเสวี่ยเจียเยว่ เขากลัวว่าถ้าเห็นน้ำตาของหญิงสาวแล้วจะไม่อยากจากไป
พอคิดถึงท่าทางหวาดกลัวของเสวี่ยเจียเยว่เมื่อวาน และตอนที่หลับไปบางครั้งร่างของหญิงสาวสั่นเทา บางครั้งก็ละเมอร้องไห้ออกมา หัวใจของเขาเจ็บปวดยิ่งนัก
เขาต้องสร้างอำนาจถึงสามารถปกป้องเสวี่ยเจียเยว่ไว้ใต้ปีกของตนได้
ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวคำใดออกมาอีก เพียงยกเท้าเดินข้ามธรณีประตูออกจากห้อง และไม่หันกลับไปมองป้าโจวอีก
ป้าโจวมองแผ่นหลังของเสวี่ยหยวนจิ้งที่แม้จะผอมบาง แต่ก็ยังตรงตระหง่านขณะเดินจากไปไกล จนกระทั่งภาพนั้นค่อยๆ เลือนหายไปจากป่าไผ่ นางถึงได้สั่งให้องครักษ์ที่อยู่ข้างนอกเดินเข้ามาแล้วสั่งเขา
“เจ้าไปเชิญแม่นางเสวี่ยมาหาข้าที”
องครักษ์ส่งเสียงรับคำสั่ง ก่อนจะเดินไปเชิญเสวี่ยเจียเยว่เข้ามา
เมื่อหญิงสาวเห็นว่าในห้องมีเพียงป้าโจวคนเดียวเท่านั้น เธอก็ตกใจไม่น้อย จากนั้นถึงได้อ้าปากเอ่ยถาม
“ท่านแม่ พี่ชายข้า เขาอยู่ที่ใดเจ้าคะ”
เธอไม่อยากเชื่อเลยว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะจากไปเช่นนี้ เขายังไม่ได้บอกลาสักคำก็จากไปอย่างนั้นเลยหรือ กระทั่งสิ่งที่เขาต้องเผชิญเมื่อเดินออกไปนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ยังไม่รู้
ป้าโจวเรียกเสวี่ยเจียเยว่มานั่งข้างๆ นางบนเตียงหลัว[1] จากนั้นก็จับมือของหญิงสาวแล้วเอ่ยปลอบใจ
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สบายใจ แต่เจ้าต้องรู้ว่าพี่เจ้าเขาหวังดี หากเขาไปบอกเจ้า เจ้าจะยอมให้เขาจากไปหรือ เห็นเจ้าร้องไห้ ใจเขาต้องทรมานมากแน่ๆ เกรงว่าคงทำใจจากไปไม่ได้ ที่เขาจากไปเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแย่ รออีกไม่กี่วันเขาสอบต่อหน้าพระที่นั่งเสร็จแล้ว เขาจะกลับมาหาเจ้าแน่นอน ช่วงนี้เจ้าก็อยู่กับข้าไปก่อน พวกเราสองแม่ลูกจะได้พูดคุยกัน”
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าป้าโจวพูดถูก และรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งทำถูก แต่เธอก็ยังอดกังวลไม่ได้
ส่วนเซี่ยซิ่งเหยียนผู้นั้น หากเขารู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งฆ่าบุตรชายของตน เขาจะไว้ชีวิตชายหนุ่มได้อย่างไร
เซี่ยซิ่งเหยียนไม่รู้ว่าเซี่ยเทียนเฉิงตายไปแล้ว…
คนในจวนต่างรู้ว่าเซี่ยซิ่งเหยียนเข้มงวดกับเซี่ยเทียนเฉิงมาก ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มถูกกักบริเวณ กว่าจะถูกปล่อยตัวออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ใครจะรู้ว่าเพียงพริบตาเดียวชายหนุ่มก็หนีไปแล้ว อีกทั้งยังพาบ่าวรับใช้ไปด้วยคนเดียว และหายไปทั้งคืน จนป่านนี้ยังไม่กลับจวน
ไม่มีใครรู้ว่าเซี่ยเทียนเฉิงออกไปทำอะไร ทว่าเขาไม่กลับมาทั้งคืน คนในจวนจึงเดาว่าเขาต้องไปหานางโลมเป็นแน่ ถึงอย่างไรเรื่องเช่นนี้ก็ใช่ว่าเขาไม่เคยทำมาก่อน ยิ่งถูกบิดากักบริเวณ ยิ่งต้องออกไปเที่ยวเล่นให้นานกว่านี้
เพื่อหลีกเลี่ยงความเดือดดาลของเซี่ยซิ่งเหยียนหลังรู้เรื่องนี้ พวกเขาจึงพร้อมใจกันเอ่ยคำโกหกต่อหน้าเขา ทุกครั้งที่เซี่ยซิ่งเหยียนเอ่ยถามว่าคุณชายทำอะไรอยู่ พวกเขาก็ได้แต่ตอบว่าคุณชายกำลังทบทวนตำราเรียน หรือไม่ก็ฝึกเขียนอักษร หรืออยู่กับฮูหยินผู้เฒ่า
ไม่นานมานี้เกิดเรื่องมากมายขึ้นในราชสำนัก ส่วนฮ่องเต้จู่ๆ ก็บอกว่าฝัน จึงสั่งให้บัณฑิตก้งซื่อย้ายเข้าไปพักในกวนเซ่อ ทั้งยังให้องครักษ์เฝ้าระวังอย่างดี ห้ามให้ใครเข้าออกตามอำเภอใจ อย่างไรเสียการคัดเลือกขุนนางก็เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ภายในนั้นยังมีญาติและสหายของเขาอีกมากมาย ต่อไปคนพวกนั้นก็ต้องกลายเป็นพรรคพวกของเขา ฉะนั้นหลายวันมานี้เซี่ยซิ่งเหยียนจึงไม่คิดจะสนใจบุตรชายไม่เอาไหนของตนอย่างจริงจัง
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขากลับมาจากวัง เห็นบ่าวรับใช้ของเซี่ยเทียนเฉิงยืนพูดคุยกันอยู่ที่ระเบียงทางเดิน ท่าทางดูกลุ้มใจ เขาจึงเรียกสองคนนั้นเข้ามา และถามว่าคุณชายทำสิ่งใดอยู่
แต่บ่าวรับใช้ทั้งสองคนมองหน้ากันไปมาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน ไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ
เซี่ยซิ่งเหยียนตะโกนถาม บ่าวรับใช้คนหนึ่งหวาดกลัว ขาทั้งสองข้างจึงอ่อนยวบลงทันที แล้วเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ
“ระ…เรียนนายท่าน คุณชาย… ไม่ได้กลับจวนมาสามวันแล้วขอรับ พวกข้าน้อยก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณชาย”
เซี่ยซิ่งเหยียนยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงรีบถามอย่างร้อนใจ เมื่อได้ฟังคำตอบจากบ่าวรับใช้ที่พูดติดๆ ขัดๆ เขาก็ยกเท้าถีบบ่าวรับใช้สองคนนั้นจนหงายหลังด้วยความเดือดดาล ก่อนจะด่าเสียงดัง
“เรื่องแบบนี้พวกเจ้าสองคนยังคิดจะปิดบังข้าอีกหรือ มิน่าล่ะ หลายวันมานี้ข้ารู้สึกว่านิสัยเขาเปลี่ยนไป คิดไม่ถึงว่าจะอยู่ในห้องทบทวนตำราหัดเขียนตัวอักษร ที่แท้ก็แค่โกหกข้า เขาไปที่ใดกันแน่”
บ่าวรับใช้สองคนนั้นไม่กล้าตอบออกมา พวกเขารีบลุกขึ้นแล้วคุกเข่าอีกครั้ง ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเศร้าโศก
“เรื่องนี้พวกข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ขอรับ ถนนดอกไม้ทุกสาย หอนางโลมทุกแห่ง เรือนเล็กเรือนน้อยทุกหลัง พวกข้าน้อยก็ส่งคนไปดูแล้ว แต่ก็ไม่พบคุณชาย พวกข้าน้อยไปถามมาทุกที่ พวกเขาก็บอกว่าคุณชายไม่ได้ไปที่นั่นพวกข้าน้อยรู้สึกร้อนใจยิ่งนัก ถึงขั้นคิดว่าอาจจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณชาย กำลังคิดว่าจะบอกนายท่านดีหรือไม่ ไม่คิดว่านายท่านจะเดินเข้ามาถามเอง”
เซี่ยซิ่งเหยียนเดือดดาลยิ่งนัก “พวกเจ้าเพิ่งมาบอกข้าตอนนี้หรือ ข้าให้พวกเจ้าอยู่ข้างกายคุณชาย ดูแลเขาให้ดี แต่ดูพวกเจ้าสิ ปล่อยให้เขาทำเรื่องวุ่นวายอยู่นอกจวนทั้งวันก็ยังพอทำใจได้ แต่นี่ออกจากจวนสามวันแล้วยัง ไม่กลับ ไม่รู้เขาไปอยู่ที่ใด พวกเจ้ามีประโยชน์อะไรบ้าง”
เขาเรียกผู้ติดตามมาลากบ่าวรับใช้สองคนออกไปโบย
ผู้ติดตามรับคำ ก่อนจะลากตัวบ่าวรับใช้ทั้งสองคนออกไป โดยไม่สนใจเสียงร้องไห้อ้อนวอนของพวกเขา
เซี่ยซิ่งเหยียนสั่งคนที่เหลือ “รีบไปตามหาเจ้าลูกไม่รักดีคนนั้นกลับมาให้ข้า ไปดูซิว่าเจ้าคนนั้นไปมุดหัวอยู่ที่ไหน สามวันแล้วยังไม่กลับเรือน”
ทว่าพวกเขาตามหาอยู่สองวันก็ยังไม่พบ ทำให้เซี่ยซิ่งเหยียนรู้สึกกระวนกระวายยิ่งนัก
แม้เขาจะรังเกียจบุตรชายอย่างเซี่ยเทียนเฉิง แต่ถึงอย่างไรชายหนุ่มก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของฮูหยินใหญ่ ทั้งมารดาและภรรยาของเขาต่างรู้เรื่องที่เซี่ยเทียนเฉิงหายตัวไปแล้ว ตอนนี้เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งนัก และยิ่งกังวลใจมากกว่าเดิม
เขาครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นจึงเรียกคนที่เคยรับใช้เซี่ยเทียนเฉิงเข้ามาพบ แล้วเอ่ยถามพวกเขา
“ก่อนที่คุณชายจะออกไปจากจวน เขาพบกับใคร แล้วพูดอะไรบ้าง พวกเจ้าลองคิดดูให้ดี แล้วพูดออกมา หากข้ารู้ว่าพวกเจ้าพูดขาดไปแม้เพียงเรื่องเดียว ชีวิตของพวกเจ้าคงหาไม่”
พวกเขาล้วนกลัวตาย จึงพูดว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเซี่ยเทียนเฉิงทำอะไรบ้าง แม้แต่ตอนกินข้าวเช้าเสร็จแล้วกินขนมไปกี่ชิ้น ใช้เฉาจื่อ[2] ไปกี่แผ่นตอนเข้าห้องน้ำ แต่ไม่มีเรื่องใดเป็นประโยชน์เลย ยิ่งฟังเท่าไรสีหน้าของเซี่ยซิ่งเหยียนก็ยิ่งเคร่งเครียดมากเท่านั้น
ในที่สุดก็มีสาวใช้คนหนึ่งพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “บ่าวจำได้ว่าก่อนที่คุณชายจะหายไป ฮูหยินน้อยสั่งให้สาวใช้คนสนิทของนางเข้าไปหาคุณชาย ตอนนั้นบ่าวอยู่ข้างนอกได้ยินเสียงไม่ชัดเจน แต่พอจับใจความได้ว่าสาวใช้ผู้นั้นพูดถึงแม่นางสักคน อาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่ง หลังจากนั้นคุณชายก็ตามสาวใช้ผู้นั้นไปพบฮูหยินน้อย ตอนเขากลับมา ท่าทางของเขาดูมีความสุขยิ่งนัก ทั้งยังเรียกบ่าวรับใช้คนสนิทมาพบ เหมือนให้เขาไปตามหาของบางอย่าง”
เซี่ยซิ่งเหยียนเค้นถามต่อ “คุณชายใช้ให้เขาไปหาของอะไร”
“บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ” สาวใช้คุกเข่าลงบนพื้น ไม่กล้ามองเซี่ยซิ่งเหยียน ขณะที่พูดออกมาเสียงก็ยังสั่นเครือ
เซี่ยซิ่งเหยียนถามคนอื่น แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเซี่ยเทียนเฉิงให้บ่าวรับใช้คนนั้นไปตามหาอะไร แต่วันนั้นบุตรชายของเขาออกไปกับบ่าวรับใช้ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราว ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เซี่ยซิ่งเหยียนมีสีหน้าเคร่งเครียด ตวาดไล่บ่าวรับใช้กับสาวใช้ออกไป จากนั้นก็สั่งให้คนไปเรียกเฉินอ๋าวเหมยมาพบ
เฉินอ๋าวเหมยรู้เรื่องที่เซี่ยเทียนเฉิงไม่กลับจวนหลายวันเช่นกัน ในใจของนางรู้สึกกระวนกระวายอยู่หลายส่วน แต่ก็อยากรู้ว่าชายหนุ่มทำสำเร็จหรือไม่
เมื่อได้ยินสาวใช้บอกว่า มีคนมาแจ้งว่าเซี่ยซิ่งเหยียนเรียกให้นางไปพบ หัวใจของเฉินอ๋าวเหมยก็เต้นรัว แต่ถึงอย่างนั้นยังสั่งสาวใช้เปลี่ยนชุดคลุมให้ ทำมวยผมใหม่ ทั้งยังสวมเครื่องประดับ แล้วเดินออกไปข้างนอก
เซี่ยซิ่งเหยียนรออยู่ในห้องหนังสืออย่างร้อนใจ พอเห็นเฉินอ๋าวเหมย สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมทันที
เนื่องจากเขาเป็นขุนนางที่มีอำนาจ เมื่อเฉินอ๋าวเหมยเห็นท่าทางเช่นนั้นของเซี่ยซิ่งเหยียน นางจึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่หลายส่วน หญิงสาวรีบปรับสีหน้าให้สงบเสงี่ยมทันที ก่อนจะคารวะเขาอย่างนอบน้อมและเอ่ยถาม
“ท่านพ่อเรียกข้ามาพบมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
ยามนี้เซี่ยซิ่งเหยียนกำลังกังวลเรื่องเซี่ยเทียนเฉิง จึงไม่มีกะจิตกะใจจะพูดทักทายนาง แต่กลับถามตรงๆ
“เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเจ้าพูดอะไรกับเฉิงเอ๋อร์ แม่นางอะไร อยู่ที่ไหนอะไร เหตุใดเฉิงเอ๋อร์ถึงได้ใช้ให้บ่าวรับใช้คนสนิทออกไปสืบหาทันที”
เมื่อเฉินอ๋าวเหมยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจยิ่งนัก ฝ่ามือชื้นเหงื่อโดยไม่รู้ตัว แต่นางยังคงเอ่ยตอบอย่างใจเย็น
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกเจ้าค่ะ เพียงแค่… เพียงแค่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างข้ากับสามีเท่านั้น”
ก่อนหน้านี้นางไม่รู้ว่าควรจะหาคำพูดใดมาโกหกเซี่ยซิ่งเหยียนดี จึงได้แต่บอกว่าเรื่องนั้นเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวระหว่างนางกับสามีเท่านั้น เพื่อไม่ให้บิดาของสามีถามต่อ
แต่คิดไม่ถึงว่าเซี่ยซิ่งเหยียนได้ยินเช่นนั้น กลับหยิบถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือมาขว้างลงบนพื้น
เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นมา เศษกระเบื้องแตกกระเด็นไปทั่วพื้น เฉินอ๋าวเหมยหวาดกลัวจนไม่กล้ามองหน้าเซี่ยซิ่งเหยียน จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงเขาตวาดขึ้น
“สามี? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสามีของเจ้าหายไปสามวันแล้ว เหตุใดเจ้าไม่บอกเรื่องนี้กับข้า หรือบอกแม่ของเขาสักคำ หรือเจ้าไม่สนใจว่าสามีของเจ้าจะเป็นหรือตาย”
หัวใจของเฉินอ๋าวเหมยเต้นรัว ถึงแม้หน้าจะซีดเผือด แต่นางก็ยังพยายามโต้แย้ง
“นิสัยของสามีข้า ท่านพ่อรู้ดียิ่งกว่าข้า ที่เขาไม่กลับจวนหลายวันเช่นนี้ หากไม่อยู่ที่ตรอกหอนางโลมแล้วจะไปอยู่ที่ไหนได้ล่ะเจ้าคะ เรื่องเช่นนี้ข้าจะมาพูดกับท่านหรือท่านแม่ได้อย่างไร ข้า… ข้าเองก็ทุกข์ใจไม่น้อย”
เซี่ยซิ่งเหยียนไม่อยากฟังนางพูดเรื่องเหล่านี้ จึงถามเรื่องที่ตนสงสัย “วันนั้นเจ้าพูดอะไรกับเฉิงเอ๋อร์ หากยังไม่พูดอีก ข้าจะใช้กฎของตระกูล นั่นคงไม่มีใครช่วยเจ้าได้”
ในที่สุดเฉินอ๋าวเหมยก็ไม่อาจดื้อรั้นได้อีกต่อไป นางพูดเรื่องทั้งหมดออกมา แต่ก็ไม่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่อยู่ที่ไหน มีเพียงสถานที่ที่คาดเดาไว้เท่านั้น แน่นอนว่าเซี่ยซิ่งเหยียนจะสามารถสืบพบแน่
เซี่ยซิ่งเหยียนใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน ก็สืบหาที่อยู่ของเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ได้
เขาส่งคนเข้าไปตรวจสอบดูทันที แน่นอนว่าหาเซี่ยเทียนเฉิงกับบ่าวรับใช้ไม่พบ อีกทั้งในเรือนตระกูลเสวี่ยยังว่างเปล่าร้างผู้คน
เซี่ยซิ่งเหยียนรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งคือบัณฑิตที่สอบได้อันดับสูงสุดในการสอบระดับเมืองหลวงของปีนี้ ชายหนุ่มคงย้ายเข้าไปอยู่ในกวนเซ่อแล้ว เขาอยากเข้าไปสอบถามเสวี่ยหยวนจิ้งในกวนเซ่อให้รู้เรื่อง แต่ด้านนอกมีองครักษ์เฝ้าอยู่ ต่อให้เขาเป็นขุนนางตำแหน่งสูงของราชสำนัก องครักษ์ก็ไม่ไว้วางใจ
ถึงอย่างไรเซี่ยซิ่งเหยียนก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของฮ่องเต้อย่างโจ่งแจ้ง อีกทั้งตอนนี้ไม่รู้ว่าเซี่ยเทียนเฉิงยังอยู่หรือตายไปแล้ว เขาจึงได้แต่กลับจวนแล้วส่งคนออกไปสืบหาเท่านั้น
เดิมทีเซี่ยซิ่งเหยียนก็ไม่พอใจเฉินอ๋าวเหมยเป็นอย่างมาก หลังจากเกิดเรื่องในครั้งนี้ความเดือดดาลจึงเพิ่มเป็นสองเท่า
ในฐานะภรรยา นางไม่คิดจะเกลี้ยกล่อมให้สามีอยู่ในทางที่ถูกที่ควรได้อย่างไร กลับกันยังถึงขั้นยุยงสามีให้ไปหยอกเย้ากับสตรีอื่น เขาอยากให้บุตรชายหย่ากับนางไปเสีย แต่เนื่องจากเป็นสมรสพระราชทาน เขาจึงทำอะไรอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้
การลอบทำให้นางต้องทุกข์ทรมานนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เขามีวิธีที่จะทำให้เฉินอ๋าวเหมยมีชีวิตเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย
[1] เครื่องเรือนสมัยโบราณของจีน ใช้สำหรับนั่งรับแขกหรือนอนเล่น ลักษณะคล้ายตั่งขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช้เป็นเตียงนอนในห้องนอน
[2] คือกระดาษชำระที่ทำจากหญ้า