ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 166 ข้ามีแผนแล้ว
หนึ่งร้อยหกสิบหก
ข้ามีแผนแล้ว
ฮ่องเต้หย่งหนิงนึกสนใจไม่น้อย เสวี่ยหยวนจิ้งผู้นั้นช่างเฉลียวฉลาด ก่อนหน้านี้เป็นเพราะโจวฮองเฮาขอเขาไว้ เขาจึงส่งองครักษ์เงาไปปกป้องเสวี่ยเจียเยว่ องครักษ์ผู้นี้เพียงทำให้เซี่ยเทียนเฉิงกับบ่าวรับใช้หมดสติไปเท่านั้น แต่เสวี่ยหยวนจิ้งก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าคนที่ทำร้ายพวกเซี่ยเทียนเฉิงคือคนที่เขาส่งไป
อีกทั้งเสวี่ยหยวนจิ้งคงคิดในใจแล้วว่าอยากจะต่อกรกับเซี่ยซิ่งเหยียน ไม่เช่นนั้นคงไม่ลงมือสังหารเซี่ยเทียนเฉิงเช่นนั้น ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายของเซี่ยโส่วฝู หากเซี่ยซิ่งเหยียนหาหลักฐานมามัดตัว จุดจบของเสวี่ยหยวนจิ้งคงไม่ดีนัก
ฮ่องเต้หย่งหนิงหลับตาลง ยกนิ้วชี้ข้างขวาขึ้นแล้วเคาะลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ ด้วยจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนมีพรสวรรค์ เขาได้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องผู้สอบได้อันดับสูงสุดในการสอบซิ่วฉาย ระดับมณฑล และระดับเมืองหลวงแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนฉลาดและมีประโยชน์มาก
เขาอยากเก็บคนที่มีความสามารถไว้ให้บุตรชายของเขากับโจวฮองเฮา และเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่ก็เป็นคนที่นางฝากให้เขาดูแล…
ฮ่องเต้หย่งหนิงตัดสินใจได้ในทันที
เขาลืมตาขึ้นมององครักษ์เงาที่อยู่บนพื้น “ตอนนี้เจ้ากลับไปจัดการศพของเซี่ยเทียนเฉิงและบ่าวรับใช้ของเขา ระวังอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
เขารู้ว่าองครักษ์เงามีผงย่อยสลายศพอยู่ในมือ แค่โรยลงไปซากศพก็จะกลายเป็นน้ำในเวลาไม่นาน ไม่ว่าใครก็ตามหาไม่เจอ
องครักษ์เงารับคำสั่งแล้วลุกขึ้นเดินออกไป
ฮ่องเต้หย่งหนิงเรียกขันทีคนสนิทให้เข้ามาก่อนจะสั่งเขา “เจ้าเรียกคนร่างราชโองการ บอกว่าข้าฝันว่าดาวแห่งความโชคร้ายก้วนสั่ว[1] รุกรานดาวเหวินชาง[2] ข้ากลัวว่าบัณฑิตก้งซื่อ[3] กลุ่มใหม่นี้จะเป็นอันตราย พรุ่งนี้ให้คนพาพวกเขาทุกคนไปพักที่กวนเซ่อ[4] ส่งทหารไปเฝ้าด้านนอก ก่อนการสอบต่อหน้าพระที่นั่งจะเริ่มขึ้น ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามก้าวออกมาแม้เพียงก้าวเดียว และห้ามให้คนนอกก้าวเข้าไปด้านในแม้แต่ก้าวเดียวเช่นกัน”
ขันทีรีบรับคำสั่งแล้วโน้มตัวถอยหลังออกมา ก่อนจะไปตามหาคนร่างราชโองการ เมื่อเสร็จแล้วก็นำมาให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร
ฮ่องเต้หย่งหนิงประทับตราหยกสีแดงลงบนนั้น จากนั้นก็สั่งขันที “พรุ่งนี้เช้าเจ้าจงนำราชโองการของข้าฉบับนี้ไปประกาศ”
ขันทีโค้งรับคำสั่งทันที
เสวี่ยหยวนจิ้งนอนกอดเสวี่ยเจียเยว่อยู่บนเตียงตลอดเวลา หากได้ยินเสียงร้องไห้เพราะความหวาดกลัว เขาจะรีบปลอบใจหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทันที โชคดีที่เสวี่ยเจียเยว่ค่อยๆ สงบลง ไม่ละเมอร้องไห้จากฝันร้ายแล้ว
กระนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่กล้าจากไปแม้แต่ก้าวเดียว เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกมืดลง และม่านรัตติกาลมาเยือน พระจันทร์เสี้ยวปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องนภา เขาก็ลืมตาอยู่เช่นนั้นโดยไม่กล้าหลับ
ทันใดนั้นชายหนุ่มได้ยินเสียงเบาๆ จากด้านนอก
หากคนอื่นได้ยินเสียงนี้คงคิดว่าเป็นเพียงลมพัดผ่านยอดไม้เท่านั้น ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งตั้งใจฟังเสียงการเคลื่อนไหวจากด้านนอกตลอดเวลา เขาจึงสามารถบอกได้ว่านั่นคือเสียงลมหรือไม่
ได้ยินเสียงที่แผ่วเบาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ อยู่นอกหน้าต่างอีก
เสวี่ยหยวนจิ้งนอนเงียบๆ สักครู่ ก่อนจะเลิกผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้น
เขาเดินย่องออกจากห้องโดยไม่จุดตะเกียง เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องที่มีศพของเซี่ยเทียนเฉิงกับบ่าวรับใช้ เขาก็ผลักประตูที่ปิดสนิทออกเบาๆ
แม้ว่าในห้องจะไม่มีแสงไฟ แต่มีแสงจันทร์อ่อนๆ ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าศพทั้งสองที่อยู่บนพื้นก่อนหน้านี้หายไปแล้ว ทั่วห้องสะอาดสะอ้านราวกับว่าไม่มีฝุ่นสักนิด
มุมปากของเสวี่ยหยวนจิ้งโค้งขึ้น เขาเดินกลับไปหาเสวี่ยเจียเยว่ จากนั้นจึงนอนลงบนเตียงแล้วกอดหญิงสาวเอาไว้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท
ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่ตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา เธอยังคงรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
หญิงสาวนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ร่างของเธอก็สั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะพยายามมุดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเสวี่ยหยวนจิ้ง พลางเรียกเขาด้วยเสียงปนสะอื้น
“ท่านพี่…”
เสวี่ยหยวนจิ้งตื่นขึ้นมาทันที แล้วรีบใช้สองแขนกระชับร่างบางในอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ก่อนจะก้มลงบรรจงจูบพวงแก้มของหญิงสาว และเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เยว่เอ๋อร์ ข้าอยู่นี่แล้ว”
ชายหนุ่มรู้สึกทรมานราวถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของเขา
เขาคิดในใจว่าจะต้องเข้ารับตำแหน่งขุนนางและมีอำนาจอยู่ในมือให้เร็วที่สุด ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้ารังแกเยว่เอ๋อร์ของเขาอีก
ชายหนุ่มปลอบโยนเสวี่ยเจียเยว่สักพัก เมื่อเห็นว่าหญิงสาวสงบลงแล้ว เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เยว่เอ๋อร์ ครั้งก่อนป้าโจวมอบสร้อยประคำให้เจ้าด้วยใช่หรือไม่ เจ้าเอาไปไว้ที่ใด เอามันออกมาเถิด ข้าจะส่งเจ้าไปอยู่กับนางสักพัก”
หญิงสาวกำแขนเสื้อของเขาเอาไว้แน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาคลอไปด้วยหยาดน้ำใส แววตายังคงเต็มไปด้วยความตกใจ
“ถ้าท่านส่งข้าไปหาท่านแม่ แล้วท่านจะทำเช่นไร ข้าไม่ไป ท่านพี่ ข้าไม่อยากห่างจากท่านแม้แต่ก้าวเดียว”
แม้เสวี่ยเจียเยว่จะไม่รู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งได้สังหารเซี่ยเทียนเฉิงไปแล้ว แต่ตอนที่เขาจะอุ้มเธอเข้ามาในห้อง หญิงสาวเห็นเขาเตะเข้าที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงด้วยสีหน้าเดือดดาล จนคล้ายว่ากระดูกของเซี่ยเทียนเฉิงหักไปหลายซี่
แต่ถึงอย่างไรเซี่ยเทียนเฉิงก็เป็นบุตรชายของเซี่ยโส่วฝู…
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดจะพาเธอไปหลบภัยกับป้าโจวสักพัก หรือเป็นเพราะว่าเขาคิดจะรับผิดเพียงคนเดียว
“ข้าไม่ไป” ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่เต็มไปด้วยน้ำตา แขนเรียวเล็กทั้งสองข้างกอดเอวของเสวี่ยหยวนจิ้งเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “ข้าไม่มีทางยอมให้ท่านต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเพียงคนเดียว ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะตายไปกับท่าน”
ในชีวิตนี้มีคนที่รักเธออยู่เพียงไม่กี่คน และเสวี่ยหยวนจิ้งก็คือคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเสวี่ยเจียเยว่ หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา เธอจะไม่ยอมใช้ชีวิตอยู่เพียงคนเดียวอย่างเด็ดขาด
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เอ่ยเช่นนั้น ความซาบซึ้งพลันพรั่งพรูในหัวใจ และเมื่อเห็นหญิงสาวร้องไห้ เขาก็รีบเอ่ยปลอบ
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว ข้าจะไม่เป็นอะไรเด็ดขาด ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า ถ้าปล่อยให้เจ้าอยู่ในเรือนคนเดียว ข้าจะสบายใจได้อย่างไร หรือเจ้าไม่คิดเลยว่าตอนที่ข้าไปสอบต่อหน้าพระที่นั่งนั้นจะสงบใจได้หรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าที่เขากล่าวมานั้นมีเหตุผล แต่หัวใจเธอจะยอมรับได้อย่างไร จะดีกว่าหรือไม่หากพวกเขาไม่ได้แยกจากกันแม้เพียงชั่วลมหายใจเดียว คิดได้ดังนั้นเธอจึงเอาแต่กอดเอวเขาเอาไว้ ซุกซบอีกฝ่ายพลางร้องไห้และเรียก ‘ท่านพี่’ ไม่หยุด ทำให้หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งอ่อนยวบ อยากจะบดขยี้แม่นางผู้นี้ให้หลอมรวมเข้าไปในเลือดเนื้อของเขา หากพวกเขาไม่ต้องแยกจากกันเลยก็คงจะดี
ขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังเอ่ยปลอบโยนเสวี่ยเจียเยว่ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูลานเรือนดังขึ้น
หัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งสั่นสะท้าน เสวี่ยเจียเยว่เองก็หยุดร้องไห้ทันที จากนั้นใบหน้าของเธอพลันซีดเผือด
“หรือว่าเซี่ยเทียนเฉิงจะพาคนมาหาเพื่อแก้แค้นท่าน ท่านพี่ ท่านรีบหนีเร็วเข้า”
เสวี่ยหยวนจิ้งคิดในใจว่าเซี่ยเทียนเฉิงตายไปแล้ว จะมาแก้แค้นได้อย่างไร อีกทั้งศพยังถูกจัดการไปแล้ว ต่อให้เซี่ยโส่วฝูมาหาเขาถึงเรือน ตราบใดที่เขาปฏิเสธ หากไม่มีหลักฐาน เซี่ยโส่วฝูก็ทำอะไรเขาไม่ได้ชั่วคราว
ชายหนุ่มคิดจะเลิกผ้าห่มขึ้นเพื่อออกไปดูว่าใครมาเคาะประตูใหญ่ แต่เสวี่ยเจียเยว่หวาดกลัวจึงกอดเขาเอาไว้แน่น
“ท่านพี่ อย่าไป”
เสวี่ยหยวนจิ้งเกลี้ยกล่อมหญิงสาว “วางใจเถอะ ข้าจะไปดูหน่อย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้าแน่นอน เจ้าอยู่ในเรือนรอข้ากลับมา”
หลังจากเกลี้ยกล่อมอยู่หลายครั้ง เขาก็สามารถแกะแขนทั้งสองข้างของเสวี่ยเจียเยว่ออกไปได้ จากนั้นจึงลุกขึ้นจากเตียงแล้วสวมเสื้อคลุมตัวนอก ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
เมื่อเดินมาถึงประตูใหญ่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยจังหวะที่ไม่ช้าไม่เร็วนัก
เสวี่ยหยวนจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินไปถอดกลอนไม้ที่ใช้ขัดประตูออก
มีคนผู้หนึ่งสวมชุดเหมือนขันที และองครักษ์สองคนยืนอยู่นอกประตู
เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้ง ขันทีมองพิจารณาเขาหนึ่งรอบก่อนจะเอ่ยถาม “บัณฑิตก้งซื่อนามว่าเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ที่นี่หรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งเองก็แอบมองพิจารณาอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ เช่นกัน เมื่อได้ยินคำถามนั้น เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยเสียงต่ำ
“ข้าน้อยคือเสวี่ยหยวนจิ้ง ไม่ทราบว่าท่านคือผู้ใดหรือ”
เมื่อขันทีได้ยินเช่นนั้น ก็บอกฐานะของตนออกไปให้ชัดเจน แล้วบอกว่าฮ่องเต้ทรงฝันว่าดาวแห่งความโชคร้ายก้วนสั่วรุกรานดาวเหวินชาง จึงมีรับสั่งให้บัณฑิตก้งซื่อทั้งหมดเข้าไปพักในกวนเซ่อวันนี้ ก่อนจะอ่านราชโองการ จากนั้นก็เร่งเสวี่ยหยวนจิ้งให้เก็บของและติดตามองครักษ์ไป
เสวี่ยหยวนจิ้งคุกเข่ารับราชโองการแล้วนำเงินออกมามอบให้ขันทีกับองครักษ์อีกสองคน ก่อนจะขอให้พวกเขากลับไปก่อน
“ข้าน้อยขอจัดการเรื่องภรรยาก่อน หากเสร็จแล้วจะรีบตามไปกวนเซ่อทันที เชิญพวกท่านกลับไปก่อนเถิดขอรับ”
เมื่อทุกคนได้รับเงินแล้ว แน่นอนว่าสามารถต่อรองกันได้ หลังจากสนทนากับเสวี่ยหยวนจิ้งสองสามประโยค พวกเขาก็หมุนตัวเดินไปทางเรือนของตันหงอี้
ตันหงอี้กังวลว่าจะเกิดเรื่องกับเสวี่ยหยวนจิ้งและเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อได้ยินเสียงคนเคาะประตูเรือนฝั่งตรงข้ามเมื่อครู่ เขาก็รีบวิ่งไปยืนอยู่หลังประตูใหญ่ที่ลานเรือนของตน แอบฟังเสียงของคนที่อยู่ด้านนอก เมื่อขันทีกับองครักษ์อีกสองคนเดินมาเคาะประตูลานเรือนของตน เขาจึงเรียกบ่าวรับใช้มาเปิดประตู
เมื่อบ่าวรับใช้เปิดประตูแล้วเขาก็เดินออกมา สายตาประสานเข้ากับเสวี่ยหยวนจิ้ง ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะเบนสายตาไปมองทางอื่นทันที ขณะที่ตันหงอี้คุกเข่ารับราชโองการ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ปิดประตูลานเรือนของตน
ชายหนุ่มเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ยืนรอเขาอยู่หน้าประตูเรือน แม้แต่รองเท้ากับถุงเท้าก็ไม่สวม ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเท้าที่เปล่าเปลือย
เสวี่ยหยวนจิ้งรีบเดินเข้าไปโน้มตัวลงอุ้มหญิงสาวพลางเอ่ยตำหนิเบาๆ “เหตุใดเจ้าไม่สวมถุงเท้าหรือรองเท้า”
ขณะที่เอ่ยนั้นเขาก็อุ้มเสวี่ยเจียเยว่กลับห้องแล้ววางหญิงสาวลงบนเตียง ก่อนจะนำชุดกระโปรงตัวนอกมาให้อีกฝ่ายสวม
หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เห็นได้ชัดว่าเสวี่ยเจียเยว่ยังรู้สึกหดหู่ เสวี่ยหยวนจิ้งสวมชุดกระโปรงตัวนอกกับถุงเท้าให้หญิงสาว จากนั้นก็กอดร่างบอบบางเอาไว้พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เมื่อครู่นี้เจ้าเองก็คงได้ยินแล้ว ฮ่องเต้มีรับสั่งให้บัณฑิตก้งซื่อทุกคนเข้าไปพักในกวนเซ่อ ก่อนการสอบต่อหน้าพระที่นั่งจะเริ่มขึ้น ห้ามผู้ใดเข้าออก ต่อให้เซี่ยโส่วฝูจะเก่งกาจเพียงใด ก็คงเก่งกาจได้ไม่เท่าฮ่องเต้ เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะไม่เป็นไร ส่วนเจ้า ข้าจะไปส่งเจ้าถึงที่พำนักของป้าโจว เจ้าอยู่กับนางที่นั่น ข้าจะสบายใจมากกว่า”
แต่เสวี่ยเจียเยว่ยังคงหวาดกลัว “แล้วหลังจากสอบต่อหน้าพระที่นั่งเล่า พวกเราจะทำอย่างไร หากเซี่ยโส่วฝูอยากทำให้ท่านลำบาก ต่อให้ท่านสอบได้อันดับสูงสุด การจะจัดการท่านก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
ไม่เพียงสอบได้อันดับสูงสุดของการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง ต่อให้ได้รับตำแหน่งซิวจ้วน[5] ของสำนักฮั่นหลิน หากเซี่ยโส่วฝูอยากสร้างปัญหาให้เขา นั่นก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
เสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้าลงจูบแก้มของเสวี่ยเจียเยว่ และกล่าวอย่างอ่อนโยน
“วางใจเถอะ ข้าคิดแผนเอาไว้แล้ว ตอนนี้เจ้าไปเก็บของเถอะ และนำสร้อยประคำของป้าโจวมาด้วย พวกเราจะไปวัดต้าเซียงกั๋วกัน”
[1] คือดาวที่จะทำให้คนพบเจอกับอุปสรรค
[2] คือดาวที่เกี่ยวกับด้านการศึกษา ทำให้เกิดปัญญาในการสอบ
[3] คือชื่อเรียกบัณฑิตที่สอบผ่านระดับเมืองหลวง
[4] คือที่พักของราชสำนัก ใช้รับรองเหล่าขุนนาง
[5] ขุนนางที่มีหน้าที่บันทึกราชกิจและคำพูดของฮ่องเต้ลงในหนังสือประวัติศาสตร์ รามไปถึงคัดลอกรายละเอียดพิธีการและเอกสารต่างๆ