ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 162 ความคับข้องใจ
หนึ่งร้อยหกสิบสอง
ความคับข้องใจ
เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งสอบผ่านระดับเมืองหลวงแล้ว หากไม่มีสิ่งใดเกินความคาดหมาย การสอบต่อหน้าพระที่นั่งก็ไม่น่ามีปัญหา
การสอบต่อหน้าพระที่นั่งเป็นเพียงการจัดอันดับเหล่าบัณฑิตที่สอบผ่านระดับเมืองหลวงแล้ว จากนั้นก็ดูว่าจะมอบตำแหน่งขุนนางใดให้ เมื่อนึกถึงเส้นทางที่ผ่านมาเสวี่ยหยวนจิ้งล้วนได้อันดับสูงสุดในการสอบทุกระดับ เสวี่ยเจียเยว่คิดในใจว่า การที่เขาจะสอบติดอันดับหนึ่งในสามอันดับแรกของการสอบต่อหน้าพระที่นั่งนั้นมีความเป็นไปได้สูง
หากสอบติดหนึ่งในสามอันดับแรกก็สามารถเข้าสำนักฮั่นหลิน[1] ได้ แม้ว่าการเป็นขุนนางในสำนักฮั่นหลินจะได้รับเงินน้อยนิด แต่ขุนนางตำแหน่งสูงๆ ส่วนใหญ่ก็ล้วนมาจากสำนักฮั่นหลินกันทั้งนั้น ดังนั้นเส้นทางชีวิตของเสวี่ยหยวนจิ้งในภายภาคหน้าจึงนับว่าไม่เลว
เสวี่ยเจียเยว่ดีใจยิ่งนัก แม้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะไม่แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้า แต่ดวงตาก็เป็นประกายราวกับมีรอยยิ้มประดับอยู่ในนั้น
สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือรอการสอบต่อหน้าพระที่นั่งในเดือนสี่ แต่ถึงแม้จะสอบได้ตำแหน่งฮุ่ยหยวน เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่กล้าประมาท เขายังคงทบทวนตำราทุกวัน ออกจากเรือนนับครั้งได้ จะออกไปเฉพาะยามที่ต้องซื้อของที่จำเป็นในเรือนเท่านั้น
เสวี่ยเจียเยว่ยุ่งอยู่กับการเย็บปักชุดแต่งงาน เสวี่ยหยวนจิ้งอยากจะเข้ามาดูหลายครั้ง แต่ก็ถูกเธอห้ามเอาไว้ ทั้งยังสั่งห้ามเขาแอบดูอีกด้วย
เสวี่ยเจียเยว่อยากให้ชายหนุ่มตะลึงตาค้างเมื่อเห็นเธอในวันแต่งงานของพวกเขา ตะลึงจนเรียกสติกลับมาไม่ได้ยิ่งดี หากให้เขาเห็นชุดแต่งงานของเธอตอนนี้แล้วจะดูลึกลับได้อย่างไรกัน ดังนั้นเธอจะให้เขาเห็นตอนนี้ไม่ได้
แน่นอนว่าเสวี่ยหยวนจิ้งย่อมตามใจเด็กสาว ชายหนุ่มตั้งตารอคอยวันแต่งงานของพวกเขาทั้งสองคนหลังจากสอบต่อหน้าพระที่นั่งเสร็จแล้ว
เพราะการเย็บชุดแต่งงานนั้นต้องใช้ด้ายสีทองเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นด้ายจึงหมดเร็วกว่าปกติ เมื่อขาดสิ่งใดเสวี่ยเจียเยว่ก็ล้วนบอกเสวี่ยหยวนจิ้งเพราะชายหนุ่มจะออกไปซื้อให้
วันนี้ด้ายสีทองหมดแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จึงบอกเสวี่ยหยวนจิ้ง พอเขาได้ยินก็วางตำราในมือลง แล้วออกไปซื้อด้ายสีทองที่ร้านขายผ้ากับด้าย
เมื่อซื้อด้ายสีทองเสร็จแล้ว เขาก็หมุนตัวเดินออกไปจากร้าน
ชายหนุ่มจำได้ว่าก่อนจะออกมาจากเรือน เสวี่ยเจียเยว่ยังบอกให้เขาแวะซื้อเนื้อหมูสองจินและปลาหนึ่งตัว บอกว่าช่วงนี้เขาต้องตั้งใจอ่านตำราตลอด เด็กสาวอยากทำอาหารดีๆ ให้เขากิน เสวี่ยหยวนจิ้งจึงคิดจะไปที่ตลาด
แต่ยังเดินไปไม่ถึงตลาด เสวี่ยหยวนจิ้งก็ได้ยินเสียงคนเรียกเขาว่า ‘คุณชายเสวี่ย’ อยู่ด้านหลัง เมื่อเขาหันไปมองจึงพบว่าเป็นสตรีสวมชุดสาวใช้วิ่งหายใจหอบตามมา
เขาเป็นคนความจำดี แม้เคยพบอีกฝ่ายไม่กี่ครั้ง แต่ก็จำได้ว่าเป็นใคร
นางคือสาวใช้ของบุตรสาวผู้ตรวจการเมืองผิงหยาง เหมือนนางจะชื่อว่าหลิวเอ๋อร์
หลิวเอ๋อร์ไล่ตามชายหนุ่มมาทันแล้ว หลังจากโค้งคำนับ นางก็เรียกเขาอีกครั้ง “คุณชายเสวี่ย”
“มีเรื่องอันใดหรือ” เสวี่ยหยวนจิ้งขมวดคิ้วเรียวและเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลิวเอ๋อร์ชี้ไปยังรถม้าที่จอดอยู่ด้านหลังแล้วกล่าวออกมา “คุณชายเสวี่ย ฮูหยินของข้าเชิญท่านไปพบ นางมีเรื่องอยากจะสนทนากับท่านเจ้าค่ะ”
เสวี่ยหยวนจิ้งมองตามทิศทางที่นางชี้ไป เห็นสตรีผู้หนึ่งกำลังเลิกม่านบนรถม้าขึ้นครึ่งหนึ่งแล้วมองมาที่เขา แววตาของนางเต็มไปด้วยความซับซ้อนยากจะหยั่งถึง
เสวี่ยหยวนจิ้งย่อมรู้ดีว่านางเป็นใคร
ตอนที่เขากับเสวี่ยเจียเยว่ยังอยู่ในเมืองผิงหยาง แม่นางผู้นั้นเคยไปที่ร้านซู่ยวี่เซวียน ทั้งยังเมินเสวี่ยเจียเยว่ ต่อมาตอนที่พบกันในวัดต้าเซียงกั๋ว แม่นางผู้นั้นก็ใช้ความเจ้าเล่ห์ทำให้ตนพ้นภัย
หากไม่ใช่เพราะตระกูลเฉินมีอำนาจมาก และเขายังไม่มีอำนาจใดอยู่ในมือ เสวี่ยหยวนจิ้งคงตามไปเอาคืนเรื่องในวัดต้าเซียงกั๋วกับแม่นางผู้นั้นแล้ว แต่เพราะเขายังไม่ได้รับตำแหน่งขุนนางตามที่ปรารถนา จึงต้องอดทนรอคอยโอกาสก่อน แล้วค่อยไปแก้แค้นในภายหลัง
ตอนนี้…
เสวี่ยหยวนจิ้งแค่นเสียง เก็บสายตาที่มองเฉินอ๋าวเหมยกลับมาแล้วเอ่ยเสียงเย็น “ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูดกับฮูหยินของเจ้า”
เมื่อกล่าวจบเขาก็หมุนตัวเดินต่อไป
ชายหนุ่มเพิ่งคิดได้ว่า เมื่อครู่เฉินอ๋าวเหมยทำมวยผมฟู่เหริน และหลิวเอ๋อร์ก็เรียกนางว่า ‘ฮูหยิน’ ดูเหมือนนางจะแต่งงานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าแต่งกับใคร
เมื่อนึกถึงเรื่องที่คนพูดกันในเมืองหลวงเมื่อหลายวันก่อน ว่าฮ่องเต้พระราชทานสมรสด้วยพระองค์เอง โดยยกบุตรสาวของผู้ช่วยฝ่ายขวาในกรมพิธีการที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ ให้แต่งงานกับบุตรชายของเซี่ยโส่วฝู หาก เฉินอ๋าวเหมยคือบุตรสาวของผู้ช่วยฝ่ายขวาในกรมพิธีการก็คงดี
เฉินอ๋าวเหมยเป็นคนหยิ่งยโส หากนางได้แต่งงานกับคนที่หยอกล้อนางในวัดผู้นั้น ไม่รู้ว่าจะเจ็บปวดเพียงใด
ยามนี้เฉินอ๋าวเหมยรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าความตายเสียอีก
วันที่บิดาถูกขันทีเรียกตัวเข้าวัง ครอบครัวของนางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงเป็นห่วงไม่น้อย พอพลบค่ำ ในที่สุดบิดาก็กลับมาด้วยใบหน้าอิ่มเอม เมื่อนางเอ่ยถามก็รู้ว่าฮ่องเต้แต่งตั้งบิดาเป็นผู้ช่วยฝ่ายขวาในกรมพิธีการ
กรมพิธีการมีความสำคัญต่อราชสำนัก หากได้รับตำแหน่งในกรมพิธีการนั้นย่อมดี ทุกคนจึงล้วนดีอกดีใจ แต่แล้วเฉินอ๋าวเหมยก็ได้ยินบิดาบอกว่าฮ่องเต้พระราชทานสมรสด้วยพระองค์เอง…
เมื่อรู้ว่าบุรุษที่นางต้องแต่งงานด้วยคือบุตรชายของเซี่ยโส่วฝู คนที่หยอกล้อให้นางอับอายในวัดต้าเซียงกั๋ว เฉินอ๋าวเหมยปฏิเสธทันที แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสมรสพระราชทาน อีกทั้งคนในครอบครัวต่างรู้สึกว่าการที่นางได้แต่งงานกับบุตรชายของเซี่ยโส่วฝูถือว่าเป็นบุญของนางแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จะตามใจนางได้อย่างไร มิสู้รอจนถึงวันที่สิบแปดเดือนหนึ่งของปีถัดไป แล้วนางก็ต้องขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวเพื่อแต่งงานกับเซี่ยเทียนเฉิง
แต่เมื่อนางได้แต่งงานกับเซี่ยเทียนเฉิงแล้วถึงได้รู้ว่า เขาไม่เพียงละเลยการเล่าเรียนเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ล้วนไม่มีความสามารถสักอย่าง แม้ว่าเขาจะยังไม่มีภรรยาเอก แต่สาวใช้ในเรือนล้วนเป็นภรรยาของเขา
ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่ภรรยาของบ่าวรับใช้ หากมีใบหน้างดงามก็เคยผ่านมือเขามาแล้ว ต่อให้เซี่ยซิ่งเหยียนตำหนิบุตรชายอยู่หลายครั้ง แต่ก็จนปัญญาเพราะเซี่ยเทียนเฉิงมีย่ากับมารดาคอยเอาใจ เขาทำตัวดีไม่กี่วันก็กลายเป็นเหลวไหลเหมือนเมื่อก่อนอยู่ดี
เซี่ยเทียนเฉิงพอใจในตัวเฉินอ๋าวเหมยตั้งแต่ตอนที่ได้พบนางในวัดต้าเซียงกั๋ววันนั้น เมื่อรู้ว่าสตรีที่เขาต้องแต่งงานด้วยคือนาง จะไม่ให้เขาดีใจได้อย่างไร นางถูกบังคับฝืนใจตั้งแต่คืนแรกโดยที่เขามิได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะปรารถนาหรือไม่
ต่อมาเมื่อเห็นว่าเฉินอ๋าวเหมยมักเย็นชากับเขา และทุกวันก็ต่อต้านเขาอย่างสุดกำลัง เซี่ยเทียนเฉิงจึงสิ้นความพอใจในตัวนาง ทิ้งนางไว้ในเรือนโดยไม่แยแส ทุกวันก็เอาแต่เล่นสนุกหยอกล้อกับสาวใช้และภรรยาของบ่าวรับใช้ทั้งวัน
คนในจวนตระกูลเซี่ยล้วนชอบเหยียบย่ำผู้อื่น เมื่อเห็นว่าเซี่ยเทียนเฉิงไม่โปรดปรานเฉินอ๋าวเหมย แน่นอนว่าพวกเขาปฏิบัติต่อนางโดยไม่ยำเกรง ดังนั้นชีวิตของนางทุกวันนี้จึงเหมือนตายทั้งเป็น
วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของมารดา นางจึงชวนสาวใช้เดินทางไปอวยพรวันเกิดท่าน แต่ก็ไม่กล้าอยู่ในจวนตระกูลเฉินนานนัก
หลังจากงานเลี้ยงจบลงก็ต้องรีบกลับจวนตระกูลเซี่ย และในระหว่างทางกลับเมื่อเลิกม่านขึ้น ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้ง…
เฉินอ๋าวเหมยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทั้งที่นางได้พบเสวี่ยหยวนจิ้งไม่กี่ครั้ง แม้แต่พูดด้วยก็มีเพียงไม่กี่คำ ทว่านางมักจะรู้สึกว่าตนไม่สามารถทำใจปล่อยเขาไปได้
สายตาของนางจับจ้องเขาราวกับต้องการให้ชายหนุ่มมองมาที่ตนสักนิด พูดคุยกับนางสักประโยคก็ยังดี แต่เขากลับเย็นชาเช่นนี้…
เฉินอ๋าวเหมยมองเสวี่ยหยวนจิ้งที่หันหลังจากไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และเมื่อได้ฟังคำพูดของเขาที่หลิวเอ๋อร์นำกลับมารายงาน นางก็กำม่านเอาไว้แน่น เส้นเลือดปูดโปนบนหลังมือขาวเนียน ราวกับว่าอีกไม่กี่อึดใจม่านนี้จะถูกนางดึงลงมา
หลิวเอ๋อร์มองอยู่ด้านข้างก็ตกใจทันที ก่อนเอ่ยเรียกด้วยเสียงสั่นเครือ “ฮู…ฮูหยิน ทะ…ท่าน…”
เฉินอ๋าวเหมยมองไปที่สาวใช้คนสนิท ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เรียกสาวใช้ที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่งเข้ามาแล้วสั่ง
“เจ้าตามคุณชายคนนั้นไป ดูว่าเขาอยู่ที่ไหน ระวังตัวด้วย อย่าให้เขาจับได้”
สาวใช้คนนั้นรับคำ ก่อนหมุนตัวแล้ววิ่งตามเสวี่ยหยวนจิ้งไป
จากนั้นเฉินอ๋าวเหมยถึงได้ปล่อยม่านลง แล้วเอนกายพิงผนังด้านในรถม้าด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
นางนึกถึงสีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งในวัดต้าเซียงกั๋ววันนั้น ตอนที่เขามองเสวี่ยเจียเยว่นั้นสีหน้าช่างเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเอ็นดูราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าก็ไม่ปาน แต่นางกลับต้องแต่งงานกับคนอย่างเซี่ยเทียนเฉิง…
หลายวันมานี้ นางได้ยินเรื่องที่เสวี่ยหยวนจิ้งสอบผ่านระดับเมืองหลวง เมื่อคิดว่าการสอบในระดับมณฑลเขาได้อันดับสูงสุด ไม่แน่ว่าในการสอบระดับเมืองหลวงเขาอาจจะได้อันดับสูงสุดก็เป็นได้ ซึ่งไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน หากเขาทำได้ ในภายภาคหน้าจะต้องมีชีวิตที่ดีและมีอำนาจในมือมากอย่างแน่นอน แต่เหตุใดนางในตอนนั้นถึงนึกดูถูกเขา
หากวันนั้นนางทำตามที่มารดาบอก ให้แม่สื่อเข้าไปทาบทามเขาถึงเรือน บางทีคนที่เสวี่ยหยวนจิ้งกอดเอาไว้อย่างทะนุถนอมอาจเป็นนาง และนางก็ไม่ต้องแต่งงานกับคนเช่นเซี่ยเทียนเฉิง
คิดแล้วความขมขื่นก็ไหลทะลักออกมาจากหัวใจของเฉินอ๋าวเหมย
เสวี่ยหยวนจิ้งซื้อของที่เสวี่ยเจียเยว่ต้องการจนครบแล้วก็ตั้งใจจะเดินทางกลับเรือน แต่ขณะที่เขาเดินอยู่นั้น ก็รู้สึกว่ามีคนเดินตามมา
ชายหนุ่มเอียงศีรษะเล็กน้อย เห็นว่ามีสตรีนางหนึ่งกำลังเดินตามหลังเขาอยู่ไม่ไกลนัก
แม่นางผู้นี้… เหมือนจะเดินตามมาตั้งแต่ตอนที่เขายืนซื้อปลาเมื่อครู่…
เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงมีสีหน้านิ่งเฉย และเดินไปข้างหน้าต่ออย่างไม่รีบร้อน ทำราวกับว่าไม่มีผู้ใดตามเขามา
แต่เมื่อมาถึงทางเลี้ยว เงาของเขาพลันหายไปอย่างรวดเร็ว
สาวใช้ผู้นั้นรีบวิ่งแล้วเลี้ยวตามไป ทันใดนั้นก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่ตรงหน้านาง และเห็นได้ชัดว่ากำลังรอนางอยู่
เมื่อนางเห็นดังนั้น ใบหน้าพลันซีดเผือด จากนั้นก็หันหลังกลับคิดจะวิ่งหนีทันที ทว่าถูกเสวี่ยหยวนจิ้งตามมาขวางเอาไว้ตามที่คิดไว้ไม่มีผิด
เสวี่ยหยวนจิ้งถือกิ่งการบูรที่เพิ่งเด็ดออกจากต้นเอาไว้ ชี้ปลายแหลมจี้ไปที่คอเรียวบางของสาวใช้นางนั้น แล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ
“เจ้าเป็นใคร ตามข้ามาด้วยเหตุอันใด”
สาวใช้คนหนึ่งไหนเลยจะเคยพบเรื่องเช่นนี้ นางตกใจจนขาทั้งสองข้างสั่นเทา หัวใจแทบจะหยุดเต้น ชั่วขณะนั้นนางไม่สามารถเอ่ยอันใดออกมาได้สักคำ
จนกระทั่งเสวี่ยหยวนจิ้งตะโกนถามอีกครั้ง นางถึงได้ตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
“วัน… วันนี้ข้ามาขายผักกับท่านแม่ที่ตลาด เพิ่งได้พบหน้าคุณชาย จึงชื่นชมในความหล่อเหลาของใบหน้าท่าน และตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกพบ ดังนั้นจึงติดตามท่านมาตลอดทาง อยากจะมองท่านให้นานกว่านี้ อยากรู้ว่าท่านอาศัยอยู่ที่ใด ต่อไปจะได้ทำความรู้จักกับท่าน แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกท่านจับได้…”
เมื่อเห็นว่าสายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งยิ่งเย็นชาขึ้นทุกขณะ นางก็ไม่กล้ากล่าวต่อ
แม้ว่านางจะกลัว แต่ก็ไม่อาจสารภาพเรื่องของเฉินอ๋าวเหมยออกมาได้ ไม่อย่างนั้นหากกลับไปนางต้องถูกเฉินอ๋าวเหมยตีตายเป็นแน่
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่กล่าวคำใดต่อ เพียงมองสำรวจนางด้วยสายตาแหลมคม
สตรีผู้นี้เป็นเพียงสาวใช้ข้างกายเฉินอ๋าวเหมยเท่านั้น เสื้อผ้าที่นางสวมก็ดูซอมซ่อ ปกติต้องทำงานหนักทุกวัน ดังนั้นสองมือจึงดูหยาบกร้านไม่อ่อนนุ่ม ไม่ต่างอะไรกับลูกสาวของครอบครัวธรรมดา
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่คิดสงสัยอะไรอีก เพียงตะโกนใส่นางด้วยสีหน้าเย็นชา “ไสหัวไปซะ”
จากนั้นเขาก็ทิ้งกิ่งไม้ในมือแล้วหมุนตัวเดินจากไป ทว่าชายหนุ่มยังคงระแวดระวัง เมื่อครู่นี้เขาสังเกตได้ว่ามีคนตามมา จึงตั้งใจเดินอ้อมไปอ้อมมาอยู่หนึ่งรอบ ตอนนี้ถึงจะเดินไปตามเส้นทางกลับเรือนของเขาจริงๆ
สาวใช้ผู้นั้นเห็นเขาเดินจากไปไกล ก็สัมผัสได้ว่ามีเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นเต็มแผ่นหลังของตน ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง คิดจะก้าวไปข้างหน้าก็ก้าวไม่ออก
นางย่อมไม่กล้าสะกดรอยตามเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว จึงพักก่อนครู่ใหญ่ถึงได้เดินกลับไป
เมื่อกลับไปถึงจวนตระกูลเฉิน นางคุกเข่าลงต่อหน้าเฉินอ๋าวเหมยแล้วรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น พอเฉินอ๋าวเหมยไม่ได้คำตอบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ที่ใด ก็สั่งให้คนตบหน้านางสองครั้ง จากนั้นลงโทษด้วยการให้คุกเข่าอยู่ในเรือน
แม้ว่าสาวใช้จะสืบหาที่อยู่ของเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็พอจะรู้ว่าอยู่บริเวณใด และเซี่ยเทียนเฉิงต้องหาพบอย่างแน่นอน
ตั้งแต่เฉินอ๋าวเหมยแต่งงานกับเซี่ยเทียนเฉิง เขาเอ่ยถามไม่หยุดว่าแม่นางน้อยที่เคยพบในวัดต้าเซียงกั๋วคราวนั้นเป็นบุตรสาวตระกูลใด แต่เพราะความเกลียดชังที่มีต่อชายหนุ่ม นางจึงไม่ยอมบอก
ทว่ายามนี้…
เสวี่ยหยวนจิ้งทำตัวเย็นชากับนาง เฉินอ๋าวเหมยทำสิ่งใดล่วงเกินเขาหรือ ขณะที่นางได้แต่งงานกับสามีเช่นเซี่ยเทียนเฉิง มีชีวิตที่เหมือนตายทั้งเป็น เหตุใดเสวี่ยเจียเยว่จึงได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากเสวี่ยหยวนจิ้ง หากเป็น ไปได้นางก็ขออย่าให้เด็กสาวผู้นั้นมีความสุขเลย
รอยยิ้มในแววตาของนางแฝงไว้ด้วยความเย็นชา จากนั้นก็หันไปสั่งหลิวเอ๋อร์ “ไปเชิญคุณชายใหญ่มาหาข้าที บอกว่าสตรีที่เขาถามถึงนางนั้น ข้ารู้ว่านางคือใคร”
หลิวเอ๋อร์รับคำ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
พริบตาเดียวก็ถึงเดือนสี่ ดอกซิ่ง ดอกไห่ถัง และดอกท้อในลานเรือนบานสะพรั่ง ตอนนี้ทุกต้นเต็มไปด้วยใบสีเขียวเข้มกับสีเขียวอ่อนปะปนไป ทั้งยังแซมด้วยดอกงดงาม และต้นถูหมี[2] ที่ปลูกอยู่บริเวณมุมกำแพงก็กำลังออกดอกเล็กๆ สีขาวบริสุทธิ์ ยามนี้ร่างที่เสวี่ยเจียเยว่ครอบครองก็มีอายุครบสิบห้าปีแล้ว
เมื่อถึงยามที่ดอกถูหมีบานสะพรั่ง ฤดูใบไม้ผลิก็จะผ่านพ้นไป
วันนี้ขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่นั่งกินข้าวเช้าอยู่ที่โต๊ะ พวกเขาพูดถึงเรื่องข้าวสารในเรือนเริ่มน้อยลง เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว ชายหนุ่มจึงนำเงินออกไปซื้อข้าวสารที่ร้านขายข้าว
เสวี่ยเจียเยว่ล้างถ้วยชาม กวาดเรือน และนำชุดแต่งงานมาเย็บ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนเคาะประตูอยู่ด้านนอก
[1] สำนักฮั่นหลิงมีหน้าที่ช่วยเหลืองานด้านเอกสาร โดยส่งขุนนางไปประจำยังสำนักงานต่างๆ ภายในวัง
[2] คือดอกไม้ในตระกูลเดียวกันกับกุหลาบ