ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 159 การสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันตฤดู
หนึ่งร้อยห้าสิบเก้า
การสอบคัดเลือกขุนนางช่วงวสันตฤดู
เพิ่งผ่านวันส่งท้ายปีเก่าไปได้ไม่นาน ดอกเหมยผลัดเกสร พริบตาเดียวก็เดือนสองตามปฏิทินจันทรคติ และยามนี้ดอกซิ่ง[1] ผลิดอกเต็มต้น
การสอบระดับเมืองหลวงจะจัดขึ้นในเดือนสอง โดยวันที่แปดจนถึงวันที่สิบหกผู้สอบจะเข้าสู่สนามสอบ ซึ่งบททดสอบนั้นเหมือนกับการสอบระดับมณฑล ได้แก่ สี่ตำราห้าคัมภีร์[2] กลอนห้าพยางค์แปดวรรค[3]
หลายวันมานี้เสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เตรียมสิ่งของจำเป็นสำหรับการสอบให้พร้อม แล้วใส่ไว้ในตะกร้าที่มีฝาปิดเพียงใบเดียว เพื่อให้ชายหนุ่มหิ้วไปได้ และด้วยระยะทางระหว่างเรือนที่พวกเขาอาศัยอยู่กับสถานที่สอบค่อนข้างห่างไกล พวกเขาจึงต้องจ้างรถม้าสักคัน
เมื่อถึงวันที่แปด รถม้าที่พวกเขาจ้างก็มารอที่หน้าประตูลานเรือน และวันนี้เสวี่ยเจียเยว่ออกมาส่งเสวี่ยหยวนจิ้งที่ประตู
แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะรู้สึกตื่นเต้นกับการสอบในครานี้ แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ เพราะกลัวว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะยิ่งกังวล เพียงยิ้มแย้มและขอให้เขาตั้งใจสอบ เธอจะรอเขากลับมา
แต่ดูจากสายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งแล้วกลับดูเฉยชาอย่างยิ่ง ในมือถือตะกร้าทำราวกับว่าไม่ได้จะเดินทางไปสอบ แต่จะไปท่องเที่ยวเสียอย่างนั้น
จากนั้นก็กำชับเสวี่ยเจียเยว่ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าให้เด็กสาวอยู่แต่ในเรือน อย่าออกไปข้างนอกแม้แต่ก้าวเดียว ก่อนที่เสวี่ยหยวนจิ้งจะเลิกม่านรถม้าขึ้น และขึ้นไปนั่งด้านใน
เมื่อเชือกในมือคนขับรถม้าโบกสะบัด รถม้าที่เขานั่งอยู่ก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปข้างหน้า
เสวี่ยเจียเยว่ทอดสายตามองรถม้าที่เลี้ยวหายไปตรงมุมตรอก ขณะกำลังจะหมุนตัวกลับ ก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูดังขึ้น เธอมองไปตามเสียง พบว่าประตูสีดำสองบานของเรือนฝั่งตรงข้ามซึ่งเดิมทีปิดสนิทบัดนี้กลับเปิดออก ก่อนที่ตันหงอี้จะเดินออกมา โดยมีผู้ติดตามคอยถือตะกร้าให้เป็นแถว
สายตาที่ตันหงอี้มองมาที่เธอนั้นแข็งเล็กน้อย
เสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับชายหนุ่มในเวลานี้ เธอพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนใจมิใช่น้อย จะเอ่ยทักทายเขาก็กระไร หรือจะรีบหนีเข้าเรือนก็คงไม่ดีเท่าไร
ถ้าเธอกับชายหนุ่มเป็นสหายกัน ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่คงก้าวไปข้างหน้าแล้วเอ่ยทักทายเขาอย่างใจกว้างแล้ว แต่เธอเข้าใจดีว่าตันหงอี้ผู้นี้คิดอย่างไรกับตน คราที่เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งทะเลาะกัน ตันหงอี้ก็เป็นฝ่ายเข้ามาปกป้องเธอ บุญคุณนั้นเสวี่ยเจียเยว่ล้วนจดจำไว้ในใจ ทว่าเธอต้องระวังตัวไม่ใกล้ชิดกับเขามากเกินไป
หลังจากย้ายมาอยู่ที่เมืองหลวง เธอได้ก้าวเท้าออกจากเรือนน้อยครั้งนัก ถึงแม้จะก้าวออกมาจากตัวเรือนได้ ประตูใหญ่ด้านหน้าก็ปิดสนิทตลอดเวลา ดังนั้นแม้ว่าจะอาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน แต่หลายวันมานี้เธอกับเขาก็ไม่ได้พบหน้ากัน
ทว่าวันนี้…
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ไตร่ตรองดูแล้ว ถึงอย่างไรครั้งนี้ตันหงอี้ก็จะเดินทางไปสอบระดับเมืองหลวง อย่างน้อยเธอควรเกรงใจเขาบ้าง อวยพรเขาสักหน่อยก็ยังดี
คิดได้ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงพยักหน้าให้เขา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากำลังจะเตรียมตัวเดินทางไปสอบใช่หรือไม่ ไปครานี้เจ้าต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน”
ตันหงอี้ไม่ได้กล่าวอันใด เพียงแค่มองไปที่เสวี่ยเจียเยว่ ความรู้สึกในแววตานั้นยากจะคาดเดา
เด็กสาวทำมวยผมฟู่เหรินแล้ว นี่ก็หมายความว่า…
“เจ้ากับเสวี่ยหยวนจิ้งแต่งงานกันแล้วหรือ”
เพียงเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค เขาก็ถึงกับตกใจกับเสียงที่แหบพร่าของตน จึงรีบไอเพื่อกลบเกลื่อน
เสวี่ยเจียเยว่นึกถึงคำขอของเสวี่ยหยวนจิ้ง หลังจากทั้งสองลงชื่อในหนังสือสมรสและเอาไปยื่นยังที่ว่าการแล้ว เสวี่ยเจียเยว่จะต้องทำมวยผมฟู่เหริน ตอนแรกเธอยังทำไม่เป็น ต่อมาเธอขอให้ป้าอู๋สอนอยู่หลายครั้งจึงค่อยๆ เข้าใจ เมื่อได้ยินตันหงอี้เอ่ยถาม เธอก็ยกมือขึ้นลูบมวยผมของตนเองโดยไม่รู้ตัว จากนั้นยิ้มออกมาอย่างกระอักกระอ่วน
“ใช่ ข้าแต่งงานกับเขาแล้ว”
ตันหงอี้เบนสายตาไปทางอื่น ไม่กล้ามองเสวี่ยเจียเยว่ เพราะยิ่งมองหัวใจของเขาก็ยิ่งเจ็บปวด ก่อนจะพยายามทำเสียงให้ดูนิ่งสงบ
“เมื่อไร เหตุใดไม่เห็นพวกเจ้าเชิญแม่สื่อหรือจัดงานเลี้ยงแขกเลยเล่า”
ถึงอย่างไรตันหงอี้ก็อยู่ในเรือนฝั่งตรงข้าม แม้จะหลบหน้ากันอย่างไร แต่ถ้าพวกเขาจัดงานรื่นเริง เขาต้องรู้อย่างแน่นอน
เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น ก็ตอบไปตามความจริง “พวกเราเพียงลงชื่อในหนังสือสมรสแล้วนำไปยื่นให้ขุนนางในที่ว่าการ ส่วนเรื่องอื่นๆ ยังต้องรอหลังจากเขาสอบเสร็จค่อยว่ากัน”
ดวงตาของตันหงอี้เป็นประกาย จากนั้นชายหนุ่มก็เอ่ยถามเสียงต่ำ “ทำเช่นนี้ เจ้าไม่น้อยใจหรือ”
ในความคิดของเขา หากรักใครอย่างลึกซึ้ง ก็ควรสู่ขอนางตามประเพณี และจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต ทำให้สตรีอื่นอิจฉาภรรยาของตน ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น แม้แต่พิธีแต่งงานก็ยังไม่มีให้…
ตันหงอี้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ทั้งยังสงสารเสวี่ยเจียเยว่ไม่น้อย
เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่รู้ว่ามีสิ่งใดให้น่าน้อยเนื้อต่ำใจ ประการแรก… เธอคิดว่าการแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคน ความรักความอบอุ่นหลังแต่งงานต่างหากถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เหตุใดต้องสนใจพิธีการที่ยุ่งยากซับซ้อนเหล่านั้น
ประการที่สอง… เธอคิดว่าตนกับเสวี่ยหยวนจิ้งรู้จักคนในเมืองหลวงไม่กี่คน จะจัดงานเลี้ยงได้อย่างไร
ประการที่สาม… เสวี่ยหยวนจิ้งรับปากกับเธอแล้วว่า หลังจากเขาได้รับตำแหน่งขุนนาง มีเกียรติยศชื่อเสียง เขาจะจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้เธอในทันที แต่ช่วงนี้เขาซื้อเครื่องประดับกับผ้าไหมกลับเรือนบ่อยๆ และบอกว่าจะมอบให้เป็นสินสอดของเธอ…
เธอตอบตันหงอี้ด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลย ข้าไม่ได้รู้สึกน้อยใจสักนิด”
ตันหงอี้มีสีหน้าเศร้าหมอง ไม่ได้กล่าวคำใดอีก เพียงเงยหน้าขึ้นมองก้อนเมฆบนท้องฟ้า
เสวี่ยเจียเยว่เห็นผู้ติดตามของเขากำลังเร่งเร้าคนขับรถม้าให้รีบเคลื่อนเข้ามา และกำลังรออยู่ด้านข้าง แต่ตันหงอี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะขึ้นไปบนรถม้า ชายหนุ่มยืนนิ่งเงียบไม่พูดจาอยู่ตรงนั้น
เธอรู้สึกเสียใจ กระนั้นก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าควรจะพูดอะไรกับตันหงอี้ แต่ถ้าไม่พูด เขาก็จะเป็นเช่นนี้ไปตลอด เธอจะยิ่งเสียใจมากกว่าเดิม อีกทั้งเขาต้องเดินทางไปยังสถานที่สอบ เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เหมาะจะพูดคำเหล่านั้นกับเขาหรือไม่…
หลังจากครุ่นคิดแล้ว เธอก็ยังรู้สึกใจเต้นอยู่ดี จึงเอ่ยกับเขาอย่างระมัดระวัง “คุณชายตัน”
“หือ?” ตันหงอี้หันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสีหน้างุนงง “มีเรื่องอันใดหรือ”
เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจเบาๆ ถ้อยคำที่เดิมทีคิดจะพูดนั้นจู่ๆ ก็แข็งใจฝืนพูดออกมาไม่ได้ จึงได้แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ตอนนี้ก็สายแล้ว เจ้าออกเดินทางเถอะ เจ้าต้องตั้งใจสอบล่ะ”
ตันหงอี้เพียงจับจ้องไปที่เสวี่ยเจียเยว่โดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ
ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่ถูกสายตาของเขาจับจ้องจนในใจรู้สึกกระวนกระวาย ก็เห็นตันหงอี้ยิ้มแย้มออกมา อีกทั้งยังเป็นรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลายไม่น้อย
“เสวี่ยเจียเยว่” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเมื่อครู่เจ้าคิดจะพูดอันใดกับข้า ข้าจะไม่โศกเศร้าเสียใจเพราะเรื่องนี้เด็ดขาด และนับจากนี้ไปจะไม่มีสิ่งใดมาทำร้ายจิตใจของข้าได้ ข้าเป็นใคร ข้าคือตันหงอี้ คุณชายผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งในเมืองผิงหยาง ยังต้องกังวลว่าจะไม่มีสตรีคนใดชอบข้าอีกหรือ และเจ้าก็มีใบหน้างดงามกว่าเล็กน้อยเท่านั้น แต่ความจริงแล้วนิสัยเจ้านั้นไม่ค่อยจะดีนัก ชอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ข้า ต่อไปข้าจะหาสตรีที่ดีกว่าเจ้าเป็นร้อยเป็นพันเท่ามาเป็นภรรยาของข้าได้อย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่ก็ผ่อนคลายลงทันที เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มจริงใจ “ต่อไปเจ้าต้องหาสตรีที่ดีกว่าข้าเป็นร้อยเป็นพันเท่ามาเป็นภรรยาได้อย่างแน่นอน”
ตันหงอี้ยิ้ม จากนั้นก็หมุนตัวเดินตรงไปยังรถม้า ขณะที่เดินไปเขาโบกมือให้เสวี่ยเจียเยว่ที่อยู่เบื้องหลังด้วย ราวกับว่ากำลังบอกลาเด็กสาวโดยไม่มีความโศกเศร้าเสียใจอย่างที่เขาบอกเมื่อครู่
ทว่าเมื่อเขาก้าวขึ้นไปบนรถม้าแล้วปิดม่านลง รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มก็ค่อยๆ หายไป สุดท้ายจึงยกมือขึ้นกดหน้าอกข้างซ้ายของตนเบาๆ ก่อนจะหัวเราะอย่างขมขื่นในใจ
‘แต่ในใจข้ายังรู้สึกเสียใจมาก เสวี่ยเจียเยว่ เจ้ารู้หรือไม่’
เสวี่ยเจียเยว่มองรถม้าของตันหงอี้ค่อยๆ เลี้ยวหายไปตรงมุมตรอก ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในลานเรือนด้วยความหดหู่
หลังจากปิดประตูใหญ่ เธอเห็นดอกซิ่งสีแดงบนต้นตรงมุมกำแพง ราวกับใบสีเขียวนั้นถูกแต่งแต้มด้วยจุดสีแดงเป็นหมื่นจุดก็ไม่ปาน
เธอมองไปที่ดอกตูมของดอกซิ่งครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตักน้ำมารดต้นเผินจิ่ง[4] ในลานเรือน ก่อนเริ่มทำความสะอาดภายในเรือน ระหว่างนั้นก็รู้สึกเหนื่อยล้า จึงมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง เห็นแสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านประตูกับหน้าต่างกระทบลงสู่พื้นเรือน บรรยากาศข้างนอกเงียบสงบจนสามารถได้ยินเสียงสายลมที่พัดผ่านยอดไม้
เรือนขนาดสองส่วนถือว่าไม่ใช่เรือนหลังเล็ก เมื่อก่อนตอนที่มีเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในเรือนด้วย เธอไม่เคยรู้สึกว่าที่นี่เงียบสงัดมากขนาดนี้ แต่ตอนนี้เมื่อเขาเดินทางไปสอบระดับเมืองหลวง กว่าจะกลับมาก็อีกหลายวัน หัวใจของเสวี่ยเจียเยว่กลับรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมา
พอถึงเวลากลางคืน ความเหงานี้ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เธอนอนพลิกตัวไปมาเพราะไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ ในที่สุดก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วไปนอนที่ห้องของเสวี่ยหยวนจิ้ง
แม้ว่าในตอนนี้เขาจะไม่อยู่ แต่หมอนกับผ้าห่มยังมีกลิ่นของชายหนุ่มหลงเหลืออยู่ เสวี่ยเจียเยว่ก้มหน้าลงสูดดมกลิ่นนั้นเข้าไปฟอดใหญ่ ราวกับว่าเสวี่ยหยวนจิ้งนอนอยู่ข้างๆ เธอ จากนั้นเธอก็เริ่มเข้าสู่ห้วงนิทรา
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังอยู่คนเดียวเช่นเคย เสวี่ยเจียเยว่ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วเกาศีรษะ ด้านนอกท้องฟ้ายังคงมืดสลัว เธอนั่งมองครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลงจากเตียง เกล้าผมล้างหน้าบ้วนปากเสร็จสรรพก็เข้าไปทำอาหารเช้าในครัว
หลายวันมานี้เสวี่ยหยวนจิ้งซื้อข้าว ผัก และฟืนกลับมาด้วย กระทั่งผลไม้เชื่อมกับตำราเขาก็ซื้อกลับมาไม่น้อย ดังนั้นแม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะไม่ได้ออกจากเรือน ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น
ในอดีตเสวี่ยหยวนจิ้งชอบอ่านตำราเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มจะอ่านตำราอยู่ในห้อง เธอก็เอนกายพิงพนักเตียงไม้ริมหน้าต่างพร้อมกับอ่านตำราเช่นกัน บนโต๊ะข้างๆ ยังมีกล่องผลไม้เชื่อมกับชุดน้ำชาวางไว้ เพื่อให้เธอหยิบกินและดื่มได้ตลอดเวลา
แต่ตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งไม่อยู่ในเรือน ต่อให้มีสิ่งเหล่านั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็ยังคงรู้สึกอ้างว้าง ไม่ว่าตำราจะแปลกใหม่เพียงใด เธอก็ไม่สามารถอ่านให้เข้าใจได้ และต่อให้ผลไม้เชื่อมจะอร่อยเพียงใด เมื่อเคี้ยวแล้วก็เหมือนกับกินขี้ผึ้ง ดังนั้นการหางานให้ตนทำคงจะดีกว่า เพื่อให้เวลาผ่านไปเร็วกว่านี้
เธอนึกถึงผ้าไหมสีแดงหนึ่งพับที่เสวี่ยหยวนจิ้งซื้อกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน และกำชับเธอให้ทำตู้โต้ว ตอนนั้นเสวี่ยเจียเยว่ทั้งอายและโกรธ หลังจากรับผ้าไหมพับนั้นมาก็โยนมันเข้าไปในหีบทันที
ผ้าไหมหนึ่งพับจะทำเสื้อตัวเล็กๆ ได้กี่ตัว เขาคงคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อคิดดูตอนนี้ ผ้าไหมสีแดงผืนนั้นก็มีขนาดใหญ่จนสามารถทำชุดแต่งงานของเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งได้
ชุดแต่งงานย่อมต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก เดิมทีเสวี่ยหยวนจิ้งกลัวว่าเธอจะเหนื่อย จึงบอกว่าจะไปซื้อชุดที่ร้าน แต่ในใจของเสวี่ยเจียเยว่กลับคิดว่า ต่อให้ซื้อชุดแต่งงานที่ดีที่สุดมาจากข้างนอก แต่จะไปสู้ทำเองได้อย่างไร นอกจากนี้การทำชุดแต่งงานก็ต้องใช้เวลานาน และทุกครั้งที่ลงมือทำหัวใจของเธอจะสัมผัสได้ถึงความหวานชื่นรวมทั้งการรอคอย เป็นเช่นนี้ดีกว่าเป็นไหนๆ
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่บอกว่าจะทำก็ต้องทำให้ได้ เธอหยิบผ้าไหมสีแดงผืนใหญ่ออกมาจากหีบ และหยิบกระดาษกับถ่านขึ้นมา จากนั้นลงมือวาดแบบอย่างตั้งใจ
เพราะสิ่งที่เธอลงมือทำอยู่นี้คือชุดแต่งงานของตนกับเสวี่ยหยวนจิ้ง เสวี่ยเจียเยว่ย่อมตั้งใจมากกว่าชุดที่เธอเคยทำมามากมาย อีกทั้งตอนที่ลงมือวาดแบบชุด ความรู้สึกก็เหมือนกับได้กินน้ำผึ้งตลอดเวลา
เมื่อปรับแก้แบบจนพอใจแล้ว ในที่สุดแบบชุดแต่งงานของเธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งก็สมบูรณ์
ชุดแต่งงานสีแดง ตรงข้อมือกับปกเสื้อจะเย็บด้วยด้ายสีทอง เธอคิดจะปักลายรูปดอกโบตั๋น หงส์ และก้อนเมฆ ซึ่งใช้ด้ายสีทองเช่นเดียวกัน ชุดแต่งงานเป็นเหมือนคู่บ่าวสาวทั่วไป แต่ชุดของคู่บ่าวสาวทั่วไปไม่มีลายดอกโบตั๋นกับหงส์ มีเพียงลายก้อนเมฆเท่านั้น
เมื่อคิดถึงภาพที่คนทั้งสองสวมชุดแต่งงานนี้ จะต้องงดงามมากอย่างแน่นอน
แต่เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าการแต่งงานนั้นเป็นเรื่องใหญ่เพียงครั้งเดียวในชีวิต ให้งดงามยิ่งกว่านี้ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอันใด จากนั้นเธอนำผ้าไหมสีแดงผืนใหญ่มาตัด เมื่อตัดเสร็จแล้วก็เริ่มเย็บ
แม้ว่าด้ายสีทองในเรือนจะมีไม่มากนัก แต่เสวี่ยเจียเยว่ไตร่ตรองดูแล้วสรุปได้ว่ายังพอทำไปได้อีกหลายวัน
เธอเชื่อฟังคำพูดของเสวี่ยหยวนจิ้ง ช่วงนี้จึงต้องระวังตัว อยู่ภายในเรือนเท่านั้น รอให้ชายหนุ่มได้รับตำแหน่งขุนนางตามบทบาทในนิยาย เมื่อเขามีอำนาจในมือ เธอค่อยออกจากเรือนแล้วกัน
แต่อยู่ในเรือนทั้งวันช่างน่าเบื่อจริงๆ เธออยากจะออกไปเดินเล่นสักพัก ทว่าหลังจากคิดดูแล้วก็บอกตัวเองว่าต้องอดทนไปก่อน
เสวี่ยเจียเยว่ตั้งใจกับการเย็บชุดแต่งงานเป็นอย่างมาก ดังนั้นวันเวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งมาถึงวันที่สิบหก
เธอรู้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ในสถานที่สอบหลายวัน ต้องเขียนบทความไม่รู้กี่รอบ เขาต้องเหนื่อยมากแน่ๆ วันนี้เธอจึงต้องตื่นเช้ากว่าเดิม
ก่อนอื่นต้องทำความสะอาดทั้งภายในและนอกเรือน ทั้งประตูและหน้าต่างทุกบาน ขณะที่ทำงานนั้นหัวใจของเธอก็เบิกบานยิ่งนัก
เมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยจนได้เวลาที่ต้องเตรียมอาหารมื้อเย็นแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็ไปทำอาหารในห้องครัว
เมื่อวานนี้เธอได้ทำความรู้จักกับป้าซุนที่อาศัยอยู่ในเรือนข้างๆ เธอขอซื้อไก่หนึ่งตัว ทั้งยังมีเนื้อปลาและหมูจากนาง ตอนนี้เสวี่ยเจียเยว่ก็กำลังล้างหม้อให้สะอาด จากนั้นใส่ไก่ที่ล้างจนสะอาดลงไป ตามด้วยเห็ดหอมกับขิงอีกสองสามชิ้น เธอคิดจะทำน้ำแกงไก่ตุ๋น เพื่อให้เสวี่ยหยวนจิ้งดื่มบำรุงร่างกาย
ขณะรอให้น้ำแกงเดือด เสวี่ยเจียเยว่พับแขนเสื้อขึ้นคิดจะทำอาหารอร่อยๆ เพิ่มเติม เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาจะได้กินข้าวมื้อเย็นทันที
เวลาผ่านไปขณะที่เธอกำลังยุ่งอยู่นั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแสงในห้องพลันมืดลง และเห็นคนผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องครัว
[1] คือดอกแอพริคอต
[2] สี่ตำราห้าคัมภีร์ เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับลัทธิขงจื้อ สี่ตำรา ได้แก่ หลุนอวี่ เมิ่งจื่อ ต้าเสวีย จงยง ส่วนห้าคัมภีร์ ได้แก่ ซือจิง ซ่างซู อี้จิง หลี่จี้ ชุนชิว
[3] กลอนห้าพยางค์แปดวรรค คือรูปแบบบทกวีที่มีมาตั้งแต่ราชวงศ์ถัง มักใช้ในการสอบขุนนางในสมัยจีนโบราณ
[4] คือต้นบอนไซ