ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 156 การวิเคราะห์อย่างร้ายกาจ
หนึ่งร้อยห้าสิบหก
การวิเคราะห์อย่างร้ายกาจ
เสวี่ยหยวนจิ้งกุมมือเสวี่ยเจียเยว่ตลอดทางเดินกลับเรือน
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงสงบนิ่งมาตลอดทาง กระทั่งวางแผนไว้ในใจว่าหลังจากกลับไปจะต้องพูดคุยกับเสวี่ยหยวนจิ้งให้รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นหากทำให้เขาสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าเธอจะจากไปเช่นนี้ แล้วเขาทำเรื่องน่าอับอายเช่นนั้นกับเธออีก คงไม่ใช่เรื่องดีต่อคนทั้งสองเป็นแน่ และเรื่อง ‘อาณาจักรธุรกิจ’ ของเธอนั้นก็ต้องพูดให้รู้เรื่องเช่นกัน นี่คือเส้นตายของเธอ
อันที่จริงเสวี่ยเจียเยว่เองก็ไม่ใช่คนทะเยอทะยานอยากประสบผลสำเร็จอะไรขนาดนั้น แต่เธออยากจะทำในเรื่องที่ตัวเองอยากทำ ใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่เหมือนสตรีอื่นที่ไม่ยอมก้าวออกจากเรือน หลังจากแต่งงานก็เอาแต่ดูแลสามีและลูกๆ ชีวิตเช่นนั้นมันจะไปมีความหมายอันใด
สตรีก็เหมือนบุรุษ อันดับแรกคือต้องทำเพื่อตัวเอง หลังจากนั้นถึงจะเป็นบทบาททางสังคมอื่นๆ จะให้สตรีอุทิศตนให้แก่การแต่งงาน อยู่ในฐานะภรรยาและแม่ เช่นนั้นชีวิตเธอจะไปมีความหมายอะไร ไม่เท่ากับถูกสังหารอย่างไร้ความปรานีหรือ
เมื่อได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งปิดประตูกลาง หัวใจของเธอก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
เธอเหลือบมองชายหนุ่ม เห็นสีหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธแม้แต่น้อย แต่เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าความเงียบเช่นนี้เหมือนเป็นสัญญาณเตือนว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะมา
อีกอย่าง… เธอรู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งที่ดูสงบเช่นนี้ อีกไม่นานเขาอาจจะสูญเสียการควบคุมตัวเองก็เป็นได้
เขาจะทำเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จเมื่อครู่นี้กับเธอหรือไม่ อันที่จริงเรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาก เขาเพิ่งทำกับเธอเป็นครั้งแรก และยังไม่ถึงขั้นที่สมบูรณ์ จึงไม่ถือว่าเธอเสียเปรียบอะไร อีกทั้งไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องแต่งงานกัน สุดท้ายเขาต้องทำเช่นนั้นกับเธออยู่ดี
ครั้งหนึ่งเสวี่ยหยวนจิ้งเคยจับมือเธอไปสัมผัสตรงนั้นของเขา ความร้อนผ่าวที่แล่นมาสู่ฝ่ามือของเธอนั้นยังไม่เท่าไร แต่ขนาดของมันกลับน่าตกใจยิ่งนัก ร่างที่เธอครอบครองอยู่นี้จะรับไหวหรือไม่ เธอเคยได้ยินว่าครั้งแรกนั้นเจ็บมาก
เสวี่ยเจียเยว่ครุ่นคิดเรื่องนี้ในใจอย่างสับสน เมื่อคิดแล้วย่อมเกิดความหวาดกลัว จากนั้นเธอก็อยากจะหันหลังให้เขาแล้ววิ่งหนีไป
แต่น่าเสียดายที่เจตนารมณ์ของเธอถูกเสวี่ยหยวนจิ้งมองออก เขากุมมือเธอเดินเข้าไปในเรือนแล้วกดเธอนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งตรงข้ามกัน ทั้งยังวางแขนทั้งสองข้างบนที่วางแขนเก้าอี้ที่เสวี่ยเจียเยว่นั่งอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปได้ พลางจับจ้องเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นเช่นนั้น ในใจเธอยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น ขณะที่เธอคิดจะขัดขืน ก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เป็นเพราะตนขัดขืน ถึงได้ทำให้พวกเขาทั้งสองคนไปถึงขั้นนั้นได้ และตอนที่เสวี่ยหยวนจิ้งมองมา เดิมทีเขาก็ต้องการให้เธอพูดดีๆ ด้วย…
เสวี่ยเจียเยว่คิดได้ดังนั้น มือที่เดิมทีจะผลักเสวี่ยหยวนจิ้งออกไปก็ค่อยๆ หดกลับมา น้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะเอ่ยเรียกเขาด้วยเสียงสั่นเครือ
“ท่านพี่”
สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและหวาดกลัว ดวงตาคู่นั้นมีชั้นหมอกบางๆ ไหนเลยจะมีความดื้อรั้นและแข็งกระด้างเฉกเช่นยามที่เผชิญหน้ากับเขาเมื่อครู่
เส้นเลือดบนหน้าผากเสวี่ยหยวนจิ้งกระตุกเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากปล่อยผ่านเรื่องที่เสวี่ยเจียเยว่หนีออกจากเรือนไปง่ายๆ
ดังนั้นเขาจึงแค่นเสียงขึ้นจมูก สีหน้ายังคงเคร่งขรึมไม่น้อย “ตอนนี้รู้จักเรียกข้าว่าท่านพี่แล้วหรือ ข้าขอถามเจ้า เมื่อครู่นี้เจ้าคิดจะไปที่ใด”
เสวี่ยเจียเยว่นั่งหดคอไม่พูดอะไร ความจริงเมื่อครู่นี้เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ใดเช่นกัน เพียงแต่รู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งดุเธอเช่นนั้น ทั้งยังบีบบังคับกัน ทำให้เธอรู้สึกไม่สบอารมณ์และรู้สึกผิด จึงไม่อยากอยู่กับเขา เพียงคิดว่าอยากจะออกไปเดินเล่นคนเดียว
แม้เสวี่ยเจียเยว่จะไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา แต่เสวี่ยหยวนจิ้งก็คาดเดาได้
“เจ้าคิดว่าหนีไปจากข้าแล้วจะไม่มีใครสนใจเจ้าอย่างนั้นหรือ เมืองที่กว้างใหญ่เช่นนี้ ผู้คนทำสิ่งใดก็ได้ตามใจตนเอง เหตุใดเจ้าไม่คิดให้มากกว่านี้ ที่นี่เป็นเมืองหลวง หากบังเอิญเดินชนคนระหว่างทาง คนผู้นั้นอาจเป็นคนของราชสำนัก หากเจ้ามีใบหน้าธรรมดาก็แล้วไป คนอื่นไม่ชายตามองเจ้ามากนัก แต่นี่ใบหน้าของเจ้าโดดเด่นเกินผู้คนทั่วไป เมื่อใดที่เจ้าเดินออกไปก็จะเป็นจุดสนใจของผู้อื่นทันที
“เหตุการณ์ในวัดต้าเซียงกั๋วคราวที่แล้ว เจ้ายังไม่คิดจะเรียนรู้อีกหรือ ตอนนี้ยังกล้าออกไปนอกเรือนคนเดียวอีก คิดว่าจากนี้ไปไม่มีข้าดูแลเจ้า เจ้าจะทำตามใจอย่างไรก็ได้หรือ หากถูกคนจับไปแล้วขังเจ้าไว้ในห้องที่ไหนสักแห่ง ทั้งชีวิตนี้เจ้าก็อย่าได้คิดจะก้าวออกมาจากประตูแม้แต่ก้าวเดียว ถึงตอนนั้นเจ้าคิดว่าจะทำตามใจได้อีกหรือไม่ เกรงว่าแม้แต่ตายก็ยังเป็นเรื่องยาก”
เสวี่ยเจียเยว่อึ้งไปเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งถามเธอยาวเหยียด ผ่านไปครู่ใหญ่เธอก็ยังไม่ได้พูดอะไร
ในภพที่จากมาเธอเป็นหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง และมีคนในมหาวิทยาลัยมาจีบบ้าง แต่ก็ไม่เคยพบกับเหตุการณ์อย่างที่เสวี่ยหยวนจิ้งพูดมาก่อน อีกทั้งจิตใต้สำนึกของเธอก็ยังบอกอีกว่าเรื่องที่ชายหนุ่มกล่าวมานั้นดูจะห่างไกลจากตัวเธอมาก…
ในที่สุดเธอก็ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ข้า… ข้าไม่ได้มีความแค้นกับใคร อยู่ดีๆ ใครจะมาจับข้าไปได้อย่างไรกัน อีกอย่าง… ราชสำนักก็ไม่มีกฎลงโทษหรือไร แม้ฮ่องเต้จะทำผิดก็ยังต้องได้รับโทษเช่นราษฎร”
เสวี่ยหยวนจิ้งมองเด็กสาว ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา
เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนใจดี ไม่ค่อยให้ความสำคัญแก่การระวังคน อีกทั้งหลายปีมานี้เขาปกป้องเด็กสาวได้ดีมาก ไม่เคยให้อีกฝ่ายเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเลวร้ายสักครั้ง หากจะทำสิ่งใดไม่ดีเขาก็พยายามไม่ทำให้เสวี่ยเจียเยว่เห็น อีกฝ่ายจึงไร้เดียงสาเช่นนี้
“หรือเจ้าไม่เคยได้ยินว่าราษฎรเดิมทีไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกติดตัวจึงมีความผิด ความผิดของเจ้าคือมีใบหน้างดงามเกินสตรีใด ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเป็นฝ่ายไปยั่วโทสะใครก่อนก็มีคนเข้าหาเจ้า หากตอนนี้ในมือข้ามีอำนาจก็ดี คนอื่นย่อมไม่กล้าโลภในความงามของเจ้า แต่ตอนนี้ข้าเป็นเพียงบัณฑิตธรรมดาคนหนึ่ง จะมีกำลังที่ไหนมาปกป้องเจ้า ส่วนเรื่องลงโทษ…” เสวี่ยหยวนจิ้งยิ้มอย่างเย็นชา
“เป็นเพียงกฎของคนมีอำนาจตั้งขึ้นเพื่อควบคุมคนไร้อำนาจ เจ้าถึงกับคิดว่ามันมีอยู่จริงเชียวหรือ และที่เจ้าบอกว่าฮ่องเต้ทำผิดก็ต้องได้รับโทษเช่นราษฎร เป็นเพียงคำพูดไปเรื่อยเท่านั้น เจ้าเคยเห็นฮ่องเต้ถูกลงโทษเช่นราษฎรกี่ครั้งกัน”
เสวี่ยเจียเยว่ตะลึงจนอ้าปากค้าง หลังจากฟังคำพูดของเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอก็ไม่อาจโต้แย้งได้สักคำ
เสวี่ยหยวนจิ้งมองท่าทางนิ่งอึ้งของเด็กสาวแล้วรู้สึกขบขันในใจ
เสวี่ยเจียเยว่คงไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้ และที่น่าโมโหคือเด็กสาวยังไร้เดียงสา คิดจะหนีออกจากเรือนเพื่อที่ในภายภาคหน้าจะได้ทำในสิ่งที่ตนต้องการใช่หรือไม่
ในเมื่อพูดมาถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็จะอธิบายเรื่องอื่นให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้เสวี่ยเจียเยว่คาดเดาไปเอง และต่อไปความสัมพันธ์ของพวกเขาจะต้องดีขึ้น
คิดได้ดังนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งจึงพูดต่อไป “เจ้าชอบว่าข้าพูดเอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ชอบยุ่งเรื่องของเจ้า แต่เจ้ายังจำได้หรือไม่ คำพูดที่ข้าบอกเจ้าตอนที่พวกเรากับท่านยายหานเข้าเมืองไปขายเต้าหู้ด้วยกัน แต่ไหนแต่ไรมาสตรีนั้นจะทำกิจการได้ยากกว่าบุรุษ เถ้าแก่เนี้ยร้านขายของป่าผู้นั้นป่านนี้ก็ยังไม่ออกเรือน ไม่มีลูกคอยอยู่ข้างๆ ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพัง ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องเผชิญกับคำดูหมิ่นเหยียดหยาม และถูกคนจงใจทำให้ลำบาก
“ข้าไม่ขอปิดบังเจ้า ตัวข้าไม่เคยคิดอยากให้เจ้าทำกิจการใดเลย แต่เห็นเจ้าเอาแต่ยืนกรานตอนอยู่ในเมืองผิงหยาง ข้าจึงตามใจเจ้า นำเงินออกมาให้เจ้าใช้เล่น แต่ถึงอย่างนั้น ช่วงที่เจ้าทำกิจการร้านตัดชุดและขายพริก มีหลายเรื่องที่ข้าแอบช่วยเจ้าแก้ปัญหา ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่ากิจการของเจ้าในเมืองผิงหยางจะราบรื่นได้อย่างไร
“ตอนนี้เจ้าก็ซื้อที่ดินเปล่าในเมืองหลวงไว้แล้ว ข้ารู้ว่าเจ้ามีความคิดมากมาย ล้วนเป็นความคิดที่คนอื่นไม่มี เจ้าสามารถใช้พื้นที่เปล่าผืนนั้นทำประโยชน์ได้หลายอย่าง ไม่แน่มันอาจจะกลายเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าภายใต้อำนาจของฮ่องเต้ การทำกิจการจะง่ายดายราบรื่นขนาดนั้นเชียวหรือ ที่ดินที่ซื้อมาแล้ว หากต่อไปอยากทำอะไร ก็ต้องไปรายงานต่อขุนนางที่ดูแลเรื่องนี้ในที่ว่าการใช่หรือไม่ คิดว่าจะมีขุนนางที่ใสสะอาดพอจะพูดคุยเหตุผลกับเจ้าหรือไม่ หากพบคนที่ไม่มีเหตุผลเจ้าจะทำอย่างไร ตราบใดที่ขุนนางหนึ่งคนไม่เห็นด้วย เรื่องนี้เจ้าอย่าได้คิดว่าจะทำสำเร็จ แม้ว่าตอนนี้ในมือของเจ้าจะมีเงิน แต่เจ้ารับประกันได้หรือไม่ว่าขุนนางทุกคนจะรับเงินจากเจ้า
“อีกอย่าง… เงินในมือของเจ้าจะเพียงพอสำหรับขุนนางสักกี่คน ตอนนี้ลูกชายของเซี่ยโส่วฝูรู้จักเจ้าแล้ว ลูกสาวของผู้ตรวจการเมืองผิงหยางคนนั้นก็รู้จักพวกเราด้วย และดูเหมือนนางจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเจ้า หากเจ้าออกไปตอนนี้แล้วบังเอิญพบกับพวกเขาเข้าจะทำอย่างไร เรื่องเหล่านี้เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่”
เสวี่ยเจียเยว่ยังคงนิ่งเงียบเพราะพูดอะไรไม่ออก เธอไม่เคยคิดว่าทุกอย่างจะร้ายแรงขนาดนี้ เพียงคิดว่าจะเป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับเหมือนในภพที่จากมา
หลังจากเงียบอยู่นานเสวี่ยเจียเยว่ก็กล่าวขึ้น “แล้วต่อไปข้าต้องอยู่แต่ในเรือนทั้งวัน ไม่ให้ออกไปไหนอย่างนั้นหรือ อีกทั้งที่ดินเปล่าที่ข้าซื้อมาแล้วผืนนั้น ก็ต้องปล่อยให้ว่างต่อไปเช่นนั้นหรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งยกมือขึ้นกดหัวคิ้วของตนอย่างเหนื่อยใจ “ตอนนี้เจ้าต้องอยู่ในเรือนไปก่อนชั่วคราว ห้ามออกไปไหน ส่วนที่ดินเปล่าผืนนั้น ทำได้แค่ปล่อยว่างไปก่อน”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเสวี่ยเจียเยว่หม่นหมองลง เสวี่ยหยวนจิ้งก็เอ่ยขึ้นมาอีก “รอให้ข้าสอบผ่านระดับเมืองหลวงและได้เป็นขุนนางแล้ว หลังจากมีอำนาจ เจ้าค่อยใช้พื้นที่เปล่าผืนนั้นทำเรื่องที่เจ้าอยากทำ เมื่อถึงเวลานั้นมีข้าอยู่ด้วย เรื่องเจรจากับขุนนางที่ดูแลเรื่องนี้ในที่ว่าการก็จะง่ายขึ้น”
พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้ เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าเบื้องหน้าของตนพลันสว่างวาบขึ้นมาทันที ราวกับมีถนนอันงดงามกว้างใหญ่ปรากฏอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเธอ
บทบาทในนิยายนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งจะได้เป็นเสนาบดี และการสอบที่ผ่านมา เขาก็ได้ตำแหน่งสูงสุดทุกระดับ เช่นนั้นการสอบครั้งหน้า ตำแหน่งจอหงวนก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาอย่างแน่นอน ในตอนสุดท้ายของนิยาย เมื่อเขาได้เป็นเสนาบดี เช่นนั้นเซี่ยโส่วฝูผู้นั้นก็ต้องถูกเสวี่ยหยวนจิ้งกำจัดไป พอถึงตอนนั้นเธอยังต้องกลัวลูกชายของเซี่ยโส่วฝูอีกหรือ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอจึงดีใจเป็นอย่างมาก และยื่นมือไปคว้าแขนของเสวี่ยหยวนจิ้งพลางเอ่ย
“ท่านพี่ รีบอ่านตำราเตรียมตัวสอบระดับเมืองหลวงเถิด วันหน้าหากท่านได้เป็นขุนนางใหญ่แล้ว ท่านต้องปกป้องข้าได้แน่นอน”
เสนาบดีคือตำแหน่งที่อยู่ใต้คนคนเดียวนั่นคือฮ่องเต้ แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น เมื่อถึงตอนนั้นขอเพียงเสวี่ยเจียเยว่ไม่ทำความผิดร้ายแรงจนถึงตาย เกรงว่าในเมืองหลวงนี้คงไม่มีใครกล้าทำให้เธอลำบากใจ
เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายราวกับมีรอยยิ้ม ทว่าใบหน้าหล่อเหลายังคงเคร่งขรึม
การหนีออกจากเรือนถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา ต่อไปนี้เขาจะไม่ยอมให้เสวี่ยเจียเยว่ทำเช่นนี้อีก ดังนั้นเขาต้องจัดการปัญหาในคราวเดียว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มตั้งกฎเกณฑ์ “ถ้าเจ้าสัญญากับข้ามาสองข้อ ต่อไปเมื่อข้าได้เป็นขุนนางในราชสำนักแล้ว เจ้าจะสามารถทำสิ่งใดก็ได้ตามใจเจ้า”
“เรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” เสวี่ยเจียเยว่รีบถาม “พูดมาสิเจ้าคะ”
เพียงแค่สองเรื่องเท่านั้น ด้วยความดีที่เสวี่ยหยวนจิ้งทำกับเธอแล้ว เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงอันใด
“เรื่องแรก…” ใบหน้าหล่อเหลาของเสวี่ยหยวนจิ้งยังคงตึงเครียด และดูเคร่งขรึมไม่น้อย “ต่อไปนี้ ถ้าระหว่างพวกเรามีเรื่องไม่เข้าใจกัน เจ้าร้องไห้กับข้าได้ โวยวายกับข้าได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราควรปิดประตูเรือนเพื่อแก้ไขปัญหา ห้ามเจ้าวิ่งออกไปเพราะความโกรธเหมือนวันนี้ เข้าใจหรือไม่”
คนสองคนจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ต่อให้ทั้งสองฝ่ายรักกันลึกซึ้งเพียงใด แต่ยากจะหลีกเลี่ยงเรื่องบาดหมาง ลิ้นกับฟันอย่างไรก็มีช่วงเวลาที่ต้องกระทบกัน การทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องใหญ่ สุดท้ายแล้วพวกเขาจะกลับมาดีเอง แต่ห้ามทำอะไรหุนหันพลันแล่นเพียงเพราะความโกรธ หากเกิดเรื่องร้ายขึ้น ยามนั้นก็จะสายเกินไปเสียแล้ว
เสวี่ยเจียเยว่ไตร่ตรองดู รู้สึกว่าที่เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวมานั้นมีเหตุผล ดังนั้นเธอจึงพยักหน้า “ได้ ข้ารับปาก ต่อไปนี้ข้าจะไม่หนีออกจากเรือนอีกแล้ว”
ก่อนจะเอ่ยถามเขาอีก “เรื่องที่สองเล่า ท่านรีบพูดมาเร็วเข้า”
เห็นเสวี่ยเจียเยว่เชื่อฟังเช่นนี้ ในใจของเสวี่ยหยวนจิ้งพลันผ่อนคลายลง จนเกือบเผลอยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กสาวแล้วคว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดด้วยความรัก
ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะข่มกลั้นแรงกระตุ้นของหัวใจได้ เขายังคงทำหน้าจริงจัง แต่ร่างกายครึ่งบนกลับขยับเข้าไปใกล้เสวี่ยเจียเยว่อีกเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปที่แววตาของอีกฝ่าย
“เรื่องที่สอง…” นัยน์ตาของเขาเป็นประกายขณะเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “ลงชื่อในหนังสือสมรสกับข้า”
เสวี่ยเจียเยว่ฟังจบใบหน้าก็ปรากฏความตกใจอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นเช่นนั้น ในใจก็เจ็บปวดเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง แต่ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เขาต้องให้อีกฝ่ายลงชื่อในหนังสือสมรสกับเขาให้ได้
เขาไม่คิดว่าเจ้าของเรือนฝั่งตรงข้ามคือตันหงอี้ เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่ยืนอยู่ข้างหลังบุรุษผู้นั้น เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกเดือดดาลไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากได้ยินถ้อยคำที่ตันหงอี้กล่าวกับเสวี่ยเจียเยว่แล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรักแม่นางผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงต้องหาทางป้องกันเอาไว้ก่อน