ทะลุมิติไปเป็นแพทย์หญิงชาวสวนผู้มั่งคั่ง - บทที่ 74 ความอัปยศอดสู
บทที่ 74 ความอัปยศอดสู
อู๋หลางจงเป็นหมอเฒ่าคนเดียวในหมู่บ้าน และเขามีความเก่งกาจ
แม้ว่าท่านหมอจะแก่ชราแล้ว แต่ก็ไม่เคยผิดพลาดใด ๆ ในการวินิจฉัยโรคร้าย อีกทั้งครอบครัวของเขามีเพียงภรรยาอู๋เท่านั้น เพราะทั้งสองคนไม่มีลูก
ในคืนที่มืดมิด มีเพียงอวิ๋นซิ่วชิงเท่านั้นที่เดินบนถนนโดยมีตะเกียงอยู่ในมือ
เมื่อลมเย็นพัดผ่านมา นางก็ตัวสั่นด้วยความหนาว อวิ๋นซิ่วชิงขมวดคิ้วและยกมือขึ้นแตะคอของตัวเอง นางสามารถสัมผัสได้ถึงสายลมที่พัดผ่านต้นคอของนาง
อวิ๋นซิ่วชิงเริ่มสับสน วันอื่นนางไม่เคยรู้สึกหนาว แต่ทำไมตอนนี้นางกลับรู้สึกหนาว?
อวิ๋นซิ่วชิงต้องการเข้าไปในพื้นที่มิติส่วนตัวเพื่อทดลองในโรงพยาบาลของตัวเอง แต่เมื่อดูเวลาแล้ว นางก็พบว่าตัวเองไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น เพราะตอนนี้นางต้องรอจนกว่าพ่อของนางจะสบายดีเสียก่อน
เมื่ออวิ๋นซิ่วชิงมาถึงบ้านของอู๋หลางจง นางก็เห็นว่าแสงเทียนในบ้านของท่านหมอยังสว่างอยู่
นางจึงเคาะประตูและถามว่า “ท่านอู๋หลางจง ท่านอยู่หรือเปล่า?”
หลังจากนั้นไม่นาน นางอู๋ก็เดินออกจากห้องด้านในด้วยคิ้วขมวดมุ่น
อู๋หลางจงเป็นคนอ่อนโยน แต่นางอู๋นั้นใจร้าย และเป็นที่ทราบกันดีว่าทั้งครอบครัวนี้มีบุตรยาก
ทันทีที่นางอู๋เดินออกจากห้องก็เห็นอวิ๋นซิ่วชิงยืนอยู่ข้างนอก “อ๋อ…เป็นเจ้าเองหรือ?”
”ป้าอู๋ ท่านอู๋หลางจงอยู่ที่บ้านหรือเปล่า?” อวิ๋นซิ่วชิงถามอย่างกังวล
นางอู๋เดาะลิ้นและพูดอย่างไม่แยแสว่า “มีอะไรหรือเปล่า? มีใครในครอบครัวของเจ้าป่วยล่ะ?”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของนางอู๋ อวิ๋นซิ่วชิงก็ขมวดคิ้วและพูดว่า “พ่อของข้าเป็นหวัดและมีอาการหนัก ช่วยไปดูหน่อยได้หรือไม่?”
นางอู๋พูดอย่างไม่แยแสอีกครั้งว่า “โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว สามีของข้าจะไปรักษาพ่อเจ้าที่นั่นก็ได้ แต่เจ้ามีเงินจ่ายค่ารักษาหรือเปล่าล่ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของนางอู๋ อวิ๋นซิ่วชิงก็หยิบเหรียญทองแดงหลายเหรียญออกจากกระเป๋าของตัวเอง
นางอู๋มองเงินของอีกฝ่ายผ่านประตูและพูดอย่างเหยียดหยามว่า “มีเหรียญทองแดงเพียงไม่เท่าไหร่เองนี่ สามีของข้าต้องการเงินอย่างน้อยหนึ่งหรือสองเหรียญเพื่อออกไปรักษาพ่อเจ้า แถมนี่เป็นแค่ค่าเดินทางนะ นอกจากนี้ยังมีเงินค่ายา ใบสั่งยา และการรักษาพยาบาล ทั้งหมดนี้ต้องการเงินอย่างน้อยห้าสิบสองเหรียญทองแดง!”
ความเป็นจริงแล้ว อู๋หลางจงต้องการเงินเพียงห้าเหรียญทองแดงเท่านั้นในการออกไปรักษาคนไข้ แต่วันนี้เมื่อนางอู๋เห็นอวิ๋นซิ่วชิง มันทำให้นางนึกถึงฮูหยินอวิ๋นที่ชอบโอ้อวดทำหน้าใหญ่ใจโตต่อหน้านางตลอดทั้งวัน
และนั่นทำให้นางอู๋ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น นางจึงหันมาระบายความชิงชังกับอวิ๋นซิ่วชิงที่เป็นลูกสาวแทน
หญิงสาวเองก็สังเกตเห็นว่านางอู๋กำลังทำให้ทุกอย่างยุ่งยากอย่างจงใจ ดวงตาของอวิ๋นซิ่วชิงจึงเย็นชาลง “ป้าอู๋ ท่านกำลังจะกลั่นแกล้งข้าใช่ไหม?”
นางอู๋มองอวิ๋นซิ่วชิงอย่างโอหัง “ใช่! ข้ากำลังรังแกเจ้า แล้วครอบครัวเจ้าไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้าหรือ? พวกเจ้าก็ไปหาหมอในเมืองสิ หมอในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของเรารักษาได้แต่โรคง่าย ๆ เท่านั้นแหละ”
อวิ๋นซิ่วชิงพ่นลมออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วไม่เหลียวหลังมามองนางอู๋อีกเลย
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของอวิ๋นซิ่วชิง นางอู๋ก็ปรบมือและเลิกคิ้วขึ้นอย่างมีชัย
“ภรรยา…ใครมาน่ะ?” อู๋หลางจงที่นั่งอยู่ในห้องและได้ยินเสียงพูดคุยไม่ค่อยถนัดนักเพราะชราภาพแล้ว เมื่อเห็นว่านางอู๋ไม่ได้กลับเข้ามาในห้อง เขาจึงถามด้วยความสงสัย
นางอู๋เลิกคิ้วขึ้นและตะโกนตอบว่า “ไม่มีอะไรหรอก! มากินอาหารเย็นกันเถอะตาเฒ่า”
ยิ่งอวิ๋นซิ่วชิงคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น
นางรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนดีอะไร แต่นางก็ต้องการช่วยพ่อของนาง แม้ความลับเรื่องพื้นที่มิติส่วนตัวจะถูกเปิดเผยก็ตาม
ระหว่างทางกลับบ้าน อวิ๋นซิ่วชิงก็สูดลมหายใจเข้าลึกและพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ ข้าขอโทษ ข้าเชิญท่านหมออู๋กลับมาไม่ได้…”
ดวงตาของอวิ๋นซิ่วชิงเปลี่ยนเป็นสีแดง ในที่สุดนางก็ได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ไม่ต่างกับสุนัขโดนรังแกเลยแม้แต่น้อย
”ชิงเหนียง ชิงเหนียง” พ่อเฒ่าอวิ๋นที่นอนหลับอยู่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงของอวิ๋นซิ่วชิง เขาพยายามลืมตาและคลำหาลูกสาวตัวเอง
”ท่านพ่อ ข้าอยู่นี่” เมื่อเห็นพ่อของนางร้องเรียก อวิ๋นซิ่วชิงก็รีบจับมือที่แห้งสากของเขาเอาไว้อย่างรีบร้อน
เมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นจากหลังมือ พ่อเฒ่าอวิ๋นก็ลืมตาขึ้นและบังคับตัวเองให้ยิ้มออกมาแม้จะเห็นดวงตาอันแดงก่ำของนาง
”ชิงเหนียง เจ้าอย่าร้องไห้ ข้าแค่รู้สึกเหนื่อย ถ้าข้าได้นอนพักสักหน่อยก็จะดีขึ้นเอง”