ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 359 อาหญิงของเขาเป็นตัวหายนะโดยแท้
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]
- ตอนที่ 359 อาหญิงของเขาเป็นตัวหายนะโดยแท้
ตอนที่ 359 อาหญิงของเขาเป็นตัวหายนะโดยแท้
เมื่อซูตานหงรู้เรื่องนี้ คุณแม่จี้ก็นั่งรถไปหาจี้อวิ๋นอวิ๋นที่เมืองเจียงสุ่ยแล้ว
ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงรู้เรื่องนี้จากฉีฉี
คุณแม่ซูได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเยาะ “หล่อนช่างมีความสามารถจริง ๆ ทั้งกินทั้งอยู่โดยเปล่าประโยชน์ แล้วยังเอาเงินไปเลี้ยงลูกสาวคนดีของหล่อนอีก!”
“นั่นเป็นเรื่องของท่านค่ะ” หัวใจของซูตานหงก็เย็นชาแล้วเช่นกัน ตอนนี้เห็นชัดเลยว่าจี้อวิ๋นอวิ๋นสืบทอดนิสัยมาจากคุณแม่จี้จริง ๆ ในเรื่องที่เป็นหมาป่าตาขาว
ไม่คุ้มค่าเลยที่จะโมโหกับคนแบบนี้
คุณแม่ซูไม่อยากสนใจอะไรมากจึงพูดขึ้น “ต่อไปแกกับเจี้ยนอวิ๋นควรอยู่ให้ห่างคนแบบนี้เอาไว้นะ ประเภทอยากไปไหนก็ไป รักจะกลับมาก็มา ดังนั้นไม่ต้องสนใจหล่อนซะ ยิ่งสนใจหล่อนก็ยิ่งเอาใหญ่!”
ซูตานหงยิ้มแล้วพูด “แม่ใจเย็นลงหน่อยเถอะค่ะ”
“แม่ไม่ได้โมโห แค่หงุดหงิดตัวเองที่ก่อนหน้านี้เคยมองว่าหล่อนดีเฉย ๆ!” คุณแม่ซูพูด
ซูตานหงหัวเราะ ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่เธอกับคุณแม่จี้นั้นดีขึ้นมาก ทว่าตอนนี้คงไม่มีทางที่จะคืนดีกันอีก
ซูตานหงเองก็ทําเป็นไม่รับรู้เรื่องของคุณแม่จี้ เธอไม่สนใจอะไรเลยสักนิด เพราะยังมีงานต้องทำเยอะแยะ
บรรดาขวดโหลสตรอว์เบอร์รี่แช่อิ่มที่ผ่านการเคี่ยวจนงวดแล้วถูกปิดผนึกอย่างเรียบร้อย ซึ่งขวดโหลเหล่านี้ถูกสั่งทำเป็นพิเศษ สตรอว์เบอร์รี่แช่อิ่ม 1 กระปุก ขายในราคา 2 หยวน ได้กำไรครึ่งหนึ่ง นับว่าแพงมาก
แต่เมื่อได้ลิ้มรสแล้ว มันก็อร่อยล้ำจริง ๆ แม้แต่คุณแม่ซูยังชื่นชมลูกสาวของตัวเองอยู่บ้างว่ามีความคิดสร้างสรรค์ดีมาก
สตรอว์เบอร์รี่แช่อิ่ม 1 กระปุกมีน้ำหนักมากกว่า 2 ชั่ง แถมน้ำผึ้งยังมีราคาค่อนข้างแพง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไรมากนัก แค่กระปุกเดียวก็ได้กําไรมหาศาลแล้ว
ตอนนี้มีกระปุกสตรอว์เบอร์รี่แช่อิ่มเยอะแยะเต็มไปหมด หากขายออกไปแล้ว อย่างไรก็ได้กำไรอยู่บ้าง
แม้แต่เหรินเหรินก็ยังไม่สามารถต้านทานสตรอว์เบอร์รี่แช่อิ่มที่ทำเองที่บ้านได้ ไม่ต้องพูดถึงฉีฉีกับเสียงเสียงที่ยังเล็กกว่า แต่พวกเขาก็กินได้ไม่มากนัก 1 คนสามารถกินได้แค่ 1 ถึง 2 คำเท่านั้น เป็นเพราะมีน้ำผึ้งอยู่จึงกินเยอะไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจจะท้องเสีย
ซูตานหงจะไม่ขายสตรอว์เบอร์รี่แช่อิ่มนี้ในเมืองมหาวิทยาลัย เธอตั้งใจว่าจะรอให้ทุกอย่างเสร็จสิ้น แล้วค่อยส่งไปขายที่ร้านในกรุงปักกิ่ง
ปกติแล้วร้านค้าในกรุงปักกิ่งเรียกได้ว่าเป็นร้านขายธัญพืช แต่ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรืออาหารพื้นเมืองอื่น ๆ เจี้ยนอวิ๋นก็จะส่งไปขายที่นั่นเหมือนกัน
มันเกือบจะเป็นร้านขายของชําไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังขายเมล็ดพืชและธัญพืชเป็นหลัก ส่วนของอย่างอื่นที่ส่งไปขายนั้นก็เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้ดึงดูดความสนใจของลูกค้า
อย่างเช่นเมื่อต้นปีนี้ที่ส่งหมูแดดเดียวจำนวนมากไปขาย และได้ผลตอบรับออกมาดีเป็นพิเศษ ลูกค้ากลับมาถามซ้ำกันเป็นจำนวนมากว่ายังมีอยู่อีกไหม ซูตานหงบอกลูกค้าไปตามตรงว่าหมูแดดเดียวที่ทำในช่วงเดือน 12 ของปีนั้นเป็นหมูแดดเดียวที่รสชาติดีที่สุด ต้องใช้สภาพอากาศช่วงนั้นในการทำหมูแดดเดียวโดยเฉพาะ หากอยากกินก็ต้องรอปีหน้า
ใช่แล้ว เถ้าแก่เนี้ยอย่างเธอเอาแต่ใจมาก ไม่มีเงินก็ไม่มีกําไร
เมื่อเร็ว ๆ นี้ซูตานหงกําลังศึกษาวิธีการทําปลาเค็มตากแห้ง เพราะเธอต้องการจะทำปลาเค็ม ปลาในอ่างเก็บน้ำนั้นอวบอ้วนและอร่อยมาก ติดว่าที่นี่อยู่ไกลเกินกว่าจะส่งไปยังปักกิ่ง
ปลาเค็มตากแห้งของเธอจะต้องไม่เหมือนใครในอดีต ถึงอย่างไรเธอก็ว่างอยู่แล้ว จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ดังนั้นแล้วเธอเองก็ไม่ต้องสนใจมันด้วยเหรอ?
ในความเป็นจริงคุณแม่ซูบอกว่าต่อให้พิเศษแค่ไหน ปลาเค็มก็คือปลาเค็ม มันจะมีคุณสมบัติพิเศษอะไรกัน
ซูตานหงตั้งใจจะทำปลาเค็มตากแห้ง ปลารสเผ็ด จากนั้นค่อยหาวิธีแปรรูปอื่น ๆ อีกที ในอ่างเก็บน้ำมีปลามากมาย จึงทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ
แต่มันมีกลิ่นคาวมากเกินไป เธอจึงวางแผนที่จะรอให้จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมา แล้วค่อยไปที่อ่างเก็บน้ำกับจี้เจี้ยนอวิ๋น โดยไม่ต้องเอากลับมาที่บ้าน
ไม่อย่างนั้นบ้านทั้งหลังคงมีแต่กลิ่นแบบนั้นเป็นแน่
อ่างเก็บน้ำค่อนข้างเหมาะสมทีเดียว มันมีพื้นที่กว้างขวาง สามารถตากปลาไว้บนชั้นเพื่อให้ปลาแห้งได้
คุณแม่จี้กลับมาในวันที่ 3 ซูตานหงไม่รู้ว่านางไปตอนไหน แต่มารู้ในตอนที่นางกลับมาแล้ว เพราะเธอเพิ่งเอาถั่วเขียวต้มขึ้นไปให้ด้วยตัวเอง
“คุณแม่ลองกินสักชามสิคะ” ซูตานหงพูด
เดิมทีมันเป็นเพียงประโยคหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าคุณแม่จี้จะพูดประโยคนี้ขึ้นมา “ตอนฉันอยู่ที่นี่ไม่เคยเห็นเธอเอาของมาให้ พอฉันออกไปเธอก็ยกของขึ้นมา นี่คงไม่ได้เอามาให้ฉันกินสินะ!”
เหล่าจาง คุณพ่อจี้ จี้เสี่ยวตงที่ขึ้นภูเขามาช่วยงานหลังเลิกเรียน เหรินเหรินและฉีฉีเองก็อยู่ที่นี่ด้วย ส่วนเสียงเสียงตอนนี้อยู่ที่บ้าน เนื่องด้วยเธอมอบหมายภารกิจให้เสียงเสียงดูแลคุณยายที่ปวดขาให้ดี แล้วเธอผู้เป็นแม่จะรีบกลับไป
เสียงเสียงรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับมอบหมายงานอันสำคัญเช่นนี้ ตอนนี้เขาจึงอยู่ที่บ้านอย่างเชื่อฟัง
ในขณะที่คนที่เหลือต่างอยู่ที่นี่ทั้งหมด
ซูตานหงเองก็คาดไม่ถึงว่าแม่สามีของเธอจะไร้สมองขนาดนี้ เกรงว่าจะโดนเป่าหูจากภายนอกมา แล้วมาที่นี่เพื่อหาเรื่องเธอสินะ?
“คุณแม่ก็พูดเป็นเล่นไป เมื่อใดที่เจี้ยนอวิ๋นไม่อยู่บ้าน ฉันก็ขึ้นมาบนนี้บ่อย ๆ ตอนที่เจี้ยนอวิ๋นอยู่ ก็ไม่มีความจำเป็นให้ฉันต้องขึ้นมาหรอกค่ะ” ซูตานหงพูดขณะแสดงน้ำใจ
และสิ่งที่เธอพูดก็เป็นความจริง เธอแสร้งหลีกเลี่ยงที่จะเป็นคนเลี้ยงไก่บนภูเขาเพราะไม่ชอบกลิ่นรุนแรง ตอนที่จี้เจี้ยนอวิ๋นอยู่บ้าน เธอมักจะไม่ค่อยขึ้นมาบนภูเขา ต่อให้มีของอะไร ก็มักจะเรียกใช้เหรินเหริน ฉีฉี หรือจี้เสี่ยวตงหลานชายคนโต ส่วนตัวเธอนั้นไม่ค่อยขึ้นมาอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่อยู่บ้าน เธอจึงต้องจัดการเรื่องเหล่านี้ ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหน ก็ต้องขึ้นไปดูสถานการณ์บนภูเขา เพื่อทำให้จิตใจของคนงานมีเสถียรภาพ
แม้แต่เหล่าจางก็ยังรู้ว่าเธอเป็นคนดื้อรั้น แต่ก็ไม่มีอะไรจะพูด เป็นไปได้หรือที่คนเราจะไม่มีจุดบกพร่องสักอย่างสองอย่าง?
คนสมบูรณ์แบบขนาดนั้นคงต้องขึ้นไปหาบนสวรรค์แล้วล่ะ
คําพูดหาเรื่องจากปากคุณแม่จี้ถูกเธอตอกกลับไปสี่ตําลึงปาดพันชั่ง* เด็ก ๆ ต่างมองคุณย่าของพวกเขา ส่วนคุณพ่อจี้นั้นมีสีหน้าดำทะมึน “ถ้าคุณไม่กินก็กลับไปนอนซะ!”
* สี่ตำลึงปาดพันชั่ง ก็คือการใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่า
คุณแม่จี้เองก็หน้าไม่อายเช่นกัน นางแค่หงุดหงิดใจจนรู้สึกอึดอัดและไม่สามารถระบายออกมาได้ จึงได้แต่อัดอั้นอยู่ในใจ เมื่อเห็นซูตานหงมีชีวิตที่ดีขนาดนี้แถมยังแสร้งบอกให้นางกินถั่วเขียวต้มอีก นางจึงโพล่งออกมา
ดังนั้นคุณแม่จี้จึงกลับไปที่ห้องของตัวเองโดยไม่พูดอะไรอีก
“ตานหง เธอก็กินบ้างสิ” เหล่าจางกล่าว
เขาเองก็รู้สึกว่าครั้งนี้ภรรยาเจี้ยนอวิ๋นถูกใส่ร้ายจริง ๆ และยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
“ที่บ้านยังมีเหลืออยู่ค่ะ พ่อบุญธรรมกับคนอื่น ๆ กินเถอะ” ซูตานหงยิ้มฝืดเฝื่อนแล้วลงจากภูเขาไปก่อน
เธอลงมาได้เพียงไม่นาน เหรินเหรินกับฉีฉีก็กินหมดอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงลงจากภูเขาตามไป
จี้เสี่ยวตงไม่ได้ลงไป ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “คุณย่าเป็นอะไรเหรอครับ? อาสะใภ้สามไม่ได้ทำอะไรให้ท่านสักหน่อย”
“ไม่ต้องสนใจย่าเธอหรอก หล่อนกำลังป่วยน่ะ” คุณพ่อจี้บอก
จี้เสี่ยวตงไม่ได้พูดอะไรอีก เขารู้สึกว่าเมื่อก่อนย่าของเขาเคยนิสัยดี ทว่าตั้งแต่ถูกอาหญิงพาตัวออกไป พอกลับมาตอนนี้นางก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนยังรักพวกเขามาก แต่ตอนนี้กลับไม่สนใจใครแล้ว
นอกจากนี้ยังมีอคติมากมายเกี่ยวกับอาสะใภ้สามของเขา นี่ต้องเป็นคํายั่วยุของอาหญิงอย่างแน่นอน!
แม่ของเขาด่าอาหญิงที่บ้านอยู่ทุกวัน บอกว่าหล่อนเป็นคนชั่วร้าย ทําให้แม่ไม่มีงานทํา เงินที่แต่เดิมครอบครัวเขาเก็บไว้สร้างบ้านก็จ่ายไปทั้งหมด
เป็นดังคาด อาหญิงของเขาเป็นตัวหายนะโดยแท้
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ยังไงคะแม่จี้ ตานหงให้กินถั่วเขียวต้มก็เป็นบุญคุณเท่าไหร่แล้ว ยังจะเรียกร้องอะไรอีก
ขนาดเด็กยังรู้เลยว่าอาหญิงของตัวเองเป็นยังไง แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นานจริง ๆ แม่เฒ่าคนนี้
ไหหม่า(海馬)