ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 346 ดอกท้อ
ตอนที่ 346 ดอกท้อ
ซูตานหงชะงัก
จะว่าไปเธอก็ไม่ได้ยินเรื่องของคุณแม่จี้มานานแล้ว และเธอเองไม่ได้นึกถึงแม่สามีเลยแม้แต่น้อยเช่นกัน
อันที่จริงซูตานหงไม่เข้าใจความคิดของแม่สามีเท่าไรนัก นางมั่นใจว่าลูกชายคงไม่ทอดทิ้งนาง ถึงได้กล้าต่อรองหรือทำเรื่องทำนองนั้นขึ้นมา
นางเป็นฝ่ายทิ้งลูกชาย หลาน ๆ และสามี เพียงเพราะลูกสาวที่ทำเรื่องขายหน้า และเป็นต้นเหตุให้นางต้องเข้าโรงพยาบาลไม่ใช่หรือ?
พวกเขาดูแลนางไม่ดีหรืออย่างไร นางทำแบบนี้ได้ลงคอได้อย่างไร?
ซูตานหงพอรู้บางอย่างมาบ้าง ว่านิสัยของจี้อวิ๋นอวิ๋นนั้นไม่ผิดกับแม่สามีของเธอนัก
เดิมทีซูตานหงไม่คิดออกความเห็น แต่เมื่อเห็นว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นดูหดหู่เล็กน้อย เธอจึงเอ่ยขึ้น “คุณแม่ไม่กลับมาก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่บอกให้น้องสี่ดูแลคุณแม่ให้ดีก็พอ น้องสี่ก็บอกว่าไม่ได้กลับมาเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ?”
“ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้ารับ
จี้เจี้ยนเหวินโทรมาหาในคราวนี้ เขาบอกว่าปีใหม่นี้คงไม่ได้กลับมา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มีเขาอยู่ทั้งคน คุณไม่ต้องเป็นห่วงมากนัก แค่ดูแลคุณพ่อให้ดีก็พอค่ะ” ซูตานหงบอก
จี้เจี้ยนอวิ๋นดูซึมไปเพียงครู่เดียว ครั้นพ้นช่วงใบไม้ผลิกับใบไม้ร่วงไปแล้ว เขาจึงไม่มีเวลาคิดมากเรื่องใดอีก เนื่องจากมีงานล้นมือ
ตอนนี้ถึงคราวต้องนำแกะไปชำแหละ แกะที่สวนและที่อ่างเก็บน้ำถูกเลี้ยงไว้เพื่อขาย
นอกจากแกะ ยังมีหมู ตอนนี้หมูถูกเลี้ยงจนตัวอ้วนท้วนใหญ่ล่ำ 1 ตัวหนักถึง 300 ชั่ง เป็นเวลาที่เหมาะแก่การนำไปขาย
หมูที่จี้เจี้ยนอวิ๋นเลี้ยงเป็นที่นิยมมาก เนื้อหมูช่างหอมอร่อยกว่าเจ้าอื่น ส่วนมันหมูนั้นมีชิ้นหนาและมันกว่าปกติ หากนำไปเจียวน้ำมัน หมูของเขาก็ถือเป็นตัวเลือกอันดับแรก
ในช่วงเวลายุ่งแบบนี้ จะเอาเวลาที่ไหนไปเศร้าโศกเสียใจได้กัน?
เขาง่วนอยู่กับงานจนถึงวันที่ 27 เดือน 12 ทุกอย่างเกือบเสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงค่อยมีเวลาว่างบ้าง
เรื่องของคุณแม่จี้ก็ลอยผ่านหูจี้เจี้ยนอวิ๋นไป
จี้เจี้ยนอวิ๋นเริ่มทำสรุปรายได้ปีนี้ ปีนี้ราคาของแพงขึ้นมาก ทำให้รายได้มากขึ้นตามไปด้วย
จี้เจี้ยนอวิ๋นทำสรุปบัญชีทุกสิ้นเดือน รายรับรายจ่ายในช่วงสิ้นปีถูกนำไปรวมกับ 11 เดือนที่ผ่านมา
เมื่อคิดคำนวณแล้ว ท่าทางและสายตาของจี้เจี้ยนอวิ๋นก็ฉายแววภาคภูมิใจ
ซูตานหงเห็นแล้วก็หัวเราะออกมา “ปีนี้คงจะมีรายได้ดีสินะคะ”
จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย “ภรรยา เรามีเงินมากขนาดนี้แล้ว ทำไมเราไม่คิดทำอย่างอื่นกันล่ะครับ?”
“ไม่เอาน่า ตอนนี้เราก็มีกิจการกันเยอะแล้วนะคะ” ซูตานหงมองค้อนใส่เขา
ชายคนนี้คิดเสี่ยงลงทุนทุกครั้งที่เขามีเงิน พอเก็บสำรองเงินไว้ได้สัก 10,000 หยวน เขาก็จะลงทุนอีก
อันที่จริงคนเราจะก้าวหน้าได้ก็เพราะกล้าเสี่ยง การพอใจในสิ่งที่มีอยู่ไม่ได้ดีเสมอไป หากแต่ตอนนี้พวกเขามีกิจการมากมายอยู่ในมือ เขาเองก็หัวหมุนกับงานตลอด โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเธอทนไม่ได้เมื่อเห็นเช่นนั้น
“เราไม่ได้จะทำอะไรกันเพิ่มครับ แค่พ่อบุญธรรมบอกผมว่าควรซื้อบ้านที่ปักกิ่งอีก 2 หลัง” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“บ้านที่มีก็พอแล้ว แล้วยังมีที่นั่นอีกหลังหนึ่ง ไหนจะร้านค้าอีก 2 ร้านอีกไม่ใช่เหรอคะ?” ซูตานหงท้วง
จี้เจี้ยนอวิ๋นซื้อบ้านหลังนั้นมาจากเหล่าจาง ไม่มีบ้านในชื่อซูตานหง อันที่จริงบ้านของเหล่าจางจะตกเป็นของครอบครัวจี้เจี้ยนอวิ๋น และตอนนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นก็คอยดูแลเขายามแก่เฒ่าอยู่
หลังจากครุ่นคิด จึงไม่เห็นความจำเป็นต้องซื้อบ้านเพิ่มอีก
“พ่อบุญธรรมบอกว่าต่อไปราคาบ้านจะขึ้นอีกน่ะครับ ตอนนี้ที่ปักกิ่งก็ราคาแพงขึ้นเร็วมาก” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว
สำหรับเขาแล้ว หากต้องการซื้อ ใครจะขัดได้กัน?
เนื่องจากเขาเห็นแล้วว่าปัจจุบันบ้านเมืองพัฒนา โดยเฉพาะธุรกิจของเขาที่จะได้รับผลกระทบอย่างมาก
เนื่องจากหลายคนเริ่มจะเปิดฟาร์มไก่ ฟาร์มหมู ทั้งยังเปิดธุรกิจปศุสัตว์ขนาดใหญ่ รวมถึงแกะด้วย
แม้สินค้าของครอบครัวเขาจะมีคุณภาพเยี่ยมจนเขามั่นใจในจุดนี้ แต่จะหวังพึ่งพิงมันทั้งหมดได้อย่างไร?
เขาจึงคิดว่าควรซื้อบ้านไว้อีก บ้านที่เขาซื้อไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้หากปล่อยให้เช่า คงทำเงินได้ด้วย
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้คิดมากนัก เพียงแค่เห็นราคาบ้านพุ่งสูงขึ้น มันเป็นสิ่งที่คนสมัยนี้นิยมทำกัน ต่อให้เขาไม่ซื้อ คนมีฐานะคนอื่นคงซื้อไป ด้วยการพัฒนาบ้านเมืองในขณะนี้ ราคาบ้านยังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในฐานะพ่อและสามี เขาย่อมต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ไว้ ต่อไปหากไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ครอบครัวของเขาจะได้มีหลักประกันในชีวิต หากมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น เขาก็ยังมีเงินเก็บไว้เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย?
“ถ้าคุณอยากจะซื้อก็ซื้อเถอะค่ะ” ซูตานหงไม่ต้องการขัดใจเขา เธอเพียงเป็นห่วงว่าเขาจะเหนื่อยเกินไปเท่านั้น
ได้ยินว่าเขาต้องการซื้อบ้านเพื่อเก็บเป็นสมบัติ เธอจึงไม่คิดมาก
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนัก อีกทั้งปักกิ่งยังเป็นบ้านเกิดของเธอเมื่อชาติที่แล้ว การตามรอยจักรพรรดิอย่างการซื้อบ้านที่นั่นย่อมไม่เสียเปล่า
เรื่องที่ภรรยาคอยสนับสนุนเขา จี้เจี้ยนอวิ๋นคาดไว้อยู่แล้ว
ตอนนี้ทุกคนกำลังเตรียมตัวสำหรับวันปีใหม่ จี้เจี้ยนอวิ๋นให้ทุกคนสลับกันหยุดงานไปเตรียมงานปีใหม่ ในส่วนของจี้เจี้ยนเหอ เขาซื้อเนื้อหมูไปมากทีเดียว
เช่นเดียวกับของขวัญปีใหม่ในปีก่อน มันล้วนอุดมทั้งปลาและเนื้อ รวมถึงน้ำตาลทรายแดงและของอื่น ๆ ซึ่งคนงานทุกคนต่างได้ตะกร้ากลับไป โดยที่ในตะกร้าเต็มไปด้วยของขวัญปีใหม่
ทำให้หลายคนนึกอิจฉากันมาก
ของขวัญวันปีใหม่ของจี้เจี้ยนอวิ๋น มีไว้สำหรับคนงานในสังกัด เพื่อนำไปกินใช้ภายในครอบครัว
จี้เจี้ยนอวิ๋นไปส่งให้คนงานที่จากบ้านเกิดมาด้วยตนเอง
อย่างเช่นจี้เฟิงและย่าของเขาซึ่งอยู่ในเมือง ทั้งคู่ไม่ได้กลับไปหมู่บ้านในช่วงปีใหม่นี้ จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงส่งของขวัญไปให้อีกชุด
ผ่านไปไม่กี่ปี ตอนนี้จี้เฟิงสูงขึ้นมาก แม้จะผอมลงกว่าเดิม แต่สูงถึง 175 เซนติเมตรแล้ว พ้นปีใหม่นี้ไปเขาจะอายุ 18 ปีแล้ว เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มเต็มตัว
เขามีหน้าที่ดูแลร้าน ในขณะที่ย่าของเขารับผิดชอบเรื่องการเก็บเงิน
จี้เฟิงในวัย 18 ปีเป็นที่หมายตาของสาว ๆ เขาทั้งหน้าตาหล่อเหลาและส่วนสูงพอดิบพอดี ที่สำคัญยังมีรายได้มั่นคงและพึ่งพาได้อีกด้วย
หลายคนจึงเข้ามาทาบทาม โดยเฉพาะชาวบ้านคนอื่น ๆ
จี้เจี้ยนอวิ๋นมาที่บ้านเซียวต้าจวินเพื่อมอบของให้ผู้หลักผู้ใหญ่ของจี้เฟิงรวมถึงหลานคนอื่น เซียวจวิ้นหลานคนหนึ่งของเขาก็อยู่ด้วย มีเพียงคุณแม่ต้าจวินที่ออกไปหาใครสักคน
“คุณอา ผมได้ยินมาว่าตอนนี้พ่อผมคบหากับผู้หญิงที่ขายเต้าหู้อยู่ในร้านข้าง ๆ ล่ะครับ” ในจังหวะที่จี้เจี้ยนอวิ๋นจะกลับ เซียวจวิ้นตามเขาออกมา และกระซิบบอก
“หล่อนน่ะเหรอ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นชะงัก “หล่อนดูเหมือนจะหูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ”
เขารู้จักคนที่ขายเต้าหู้อยู่ร้านข้าง ๆ เช่นกัน หล่อนเป็นหญิงสาวสกุลเฉิน เป็นลูกสาวคนหนึ่งในครอบครัว ปีนี้อายุไม่น้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงานออกไป เนื่องจากลูกสาวตระกูลเฉินคนนี้มีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน ทำให้หล่อนได้ยินอะไรไม่ชัดเจนนัก พ่อแม่กลัวว่าหล่อนจะถูกกดขี่รังแก จึงยังให้อยู่ที่บ้าน
ตอนนี้อายุ 33 ย่าง 34 แล้ว
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อยู่ที่นั่นแหละค่ะแม่จี้ ไม่กลับก็ดีแล้ว อย่าพานางสองอวิ๋นมาป่วนที่บ้านเลย
พี่จี้จะซื้อบ้านที่ปักกิ่งแล้ว ส่วนต้าจวินก็กำลังจะได้ภรรยาใหม่ ดีจริง ๆ เลยค่ะ
ไหหม่า(海馬)