ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 345 ไม่คิดจะกลับมาในปีใหม่นี้
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]
- ตอนที่ 345 ไม่คิดจะกลับมาในปีใหม่นี้
ตอนที่ 345 ไม่คิดจะกลับมาในปีใหม่นี้
เรื่องบ้านใหม่ของคุณยายทำให้ฉีฉีกับเสียงเสียงคิดมากไม่น้อย โดยเฉพาะเสียงเสียง
ฉีฉียังไม่เป็นไร เพราะเขายังรู้สถานการณ์ทางบ้านดี แม้ว่าเขาจะไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า แต่ยังไม่ถึงขั้นร่ำรวย การสร้างบ้านต้องใช้เงินจำนวนมาก
เขาจะมีบ้านใหม่ได้อย่างไรกันล่ะ?
เสียงเสียงยังไม่รู้ความมากนัก เขารบเร้าแม่ของตนไม่ได้ จึงทำเพียงรอพ่อกลับมาเพื่อคุยเรื่องนี้
จี้เจี้ยนอวิ๋นหัวเราะเมื่อลูกชายคนเล็กถามว่าทำไมถึงไม่สร้างบ้านใหม่ “บ้านเรามีฐานะค่อยเป็นค่อยไป เรายังสร้างบ้านตอนนี้ไม่ได้หรอกลูก”
อันที่จริงเขาเองต้องการสร้างบ้านเสียตั้งแต่ตอนนี้ เงินทองก็ยังมีอยู่ มีเงินเก็บไว้มากเพียงนั้น จะนำออกมาใช้ไม่ได้เลยได้อย่างไรกัน?
หากแต่ตอนนี้เขารู้สึกพอใจกับความเป็นอยู่ของครอบครัวแล้ว บ้านที่อยู่เพิ่งสร้างใหม่ตอนที่เขาแต่งงานกับภรรยา และตอนนี้ยังคงดูใหม่อยู่ ไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่แต่อย่างใด
“ผมเห็นบ้านใหม่ของคุณยายสวยมากเลย พี่ ๆ มีห้องของตัวเองกันคนละห้องด้วยครับ!” เสียงเสียงเอ่ยอย่างนึกอิจฉา
“นอนกับพี่ ๆ เขาก็ดีแล้วนี่ ถ้าลูกอยากดื่มน้ำก็ไม่ต้องลงไปเอาเอง พี่เขาช่วยหยิบให้ลูกได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องไปเทน้ำเองนะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยกับลูกคนเล็กอย่างใจเย็น
“ผมไปเอาเองได้ครับ” เสียงเสียงเอ่ยอย่างไม่ยอม
เขาอยากได้ห้องของตัวเองมากกว่า
“อย่างนั้นรออีกไม่กี่ปีนะ ตอนนี้บ้านเราต้องจ่ายเงินเดือนทุกเดือน แล้วยังต้องเลี้ยงพวกลูกทั้ง 3 คนอีก มีเงินเหลือไม่มากหรอกลูก” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
เสียงเสียงไม่ได้งอแงอีก เขารู้ว่าต้องใช้เงินสร้างบ้านจำนวนมาก
“ครอบครัวเราจนจังเลยนะครับ” เสียงเสียงถอนหายใจ
“ไม่ได้จนสักหน่อยลูก” จี้เจี้ยนอวิ๋นยกยิ้ม
“ถ้าเราไม่จนแล้วทำไมถึงสร้างบ้านไม่ได้ล่ะครับ” เสียงเสียงบอกพลางสบตาพ่อ
“ถ้าเราจน ลูกคงไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ ไม่มีเงินกินข้าวหรอกนะ เรามีเสื้อผ้าใหม่ใส่ มีข้าวกินทุกวัน ไม่เรียกว่าจนหรอก แต่เราก็ไม่ได้ร่ำรวยนะ พอลูกกับพี่ ๆ โตขึ้นก็ต้องมาช่วยงานพ่อ ตอนนั้นครอบครัวเราก็คงจะสร้างบ้านกันได้แล้วล่ะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยพร้อมส่งยิ้ม
“อย่างนั้นผมกับพี่ ๆ จะรีบโตไว ๆ ครับ!” เสียงเสียงพลันขานรับ
เรื่องสร้างบ้านใหม่ผ่านไปแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเสียงเสียงยังติดใจเรื่องนี้อยู่ อย่างเช่นในตอนนี้ที่เขาไม่ได้เอาลูกอมไปแจกเพื่อน ๆ กินแล้ว
ซูตานหงได้ยินเพื่อนหลายคนถามเขา เขาบอกไปตามตรง “ครอบครัวของฉันจนมากจนสร้างบ้านใหม่ไม่ได้ จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อลูกอมล่ะ? พวกนายไม่รู้หรอกว่าเดือนหนึ่งพ่อฉันจ่ายเงินค่าแรงคนงานไปเท่าไหร่”
เด็ก ๆ เหล่านี้ได้ยินเรื่องพวกนี้จากผู้ใหญ่มาบ้าง จี้เจี้ยนอวิ๋นต้องจ่ายเงินเดือนคนงานถึงเดือนละ 2,000 ถึง 3,000 หยวน พอได้ฟังเสียงเสียงบอกเช่นนั้นกับหู พวกเขาก็พยักหน้า
อาจเป็นเพราะพวกเขาคิดว่าเสียงเสียงน่าสงสาร ตอนที่ไปเก็บไข่นก พวกเขาจึงแบ่งให้เขามากขึ้นอีกฟอง จะได้มีกินมากขึ้น
ซูตานหงถึงกับส่ายหน้า เธอค่อนข้างเหนื่อยใจ หากแต่ไม่ได้นำมาใส่ใจนัก
ตอนที่เหรินเหรินกับเหล่าจางไปปักกิ่ง พวกเขาก็ไม่ได้กลับมาจนกระทั่งวันที่ 8 เดือน 12
สองปู่หลานนำของจากปักกิ่งกลับมามากมาย ก่อนหน้าจะมาถึง พวกเขาโทรมาบอกล่วงหน้าก่อน จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงขับรถไปรับพวกเขา
พวกเขากลับมาพร้อมถุงใบใหญ่เล็กมากมาย ซูตานหงอดจะบอกไม่ได้ “พ่อบุญธรรมคะ อย่าตามใจเด็กพวกนี้มากนักสิคะ”
เดินทางไปกลับระยะไกลแบบนี้เหนื่อยมากพออยู่แล้ว ยังต้องหิ้วของมากมายมาอีก จะลำบากแค่ไหนกัน?
“ฉันไม่ได้ลำบากอะไรเลย แค่ขนขึ้นรถไฟเท่านั้น เจี้ยนอวิ๋นเป็นคนขนลงให้ตอนมาถึงน่ะ” เหล่าจางบอกพร้อมส่งยิ้มให้
ซูตานหงไม่ได้พูดสิ่งใดอีก ทั้งฉีฉีและเสียงเสียงต่างร่าเริง เพราะได้ของฝากกลับมาจำนวนมาก
“รีบไปต้มน้ำเข้า ไปเตรียมน้ำให้ปู่บุญธรรมกับพี่ชายอาบน้ำสิลูก” ซูตานหงพาพวกเขาเข้าบ้าน
ฉีฉีไปต้มน้ำ เขาเชี่ยวชาญในการทำสิ่งนี้ไปเสียแล้ว เพราะออกไปเผามันเทศกับเพื่อน ๆ เป็นประจำ
ฉีฉีรับหน้าที่ต้มน้ำ ส่วนซูตานหงเริ่มทำอาหาร
มื้อนี้ไม่ยุ่งยากนัก ทำเพียงแค่เกี๊ยวเนื้อวัวใส่ขึ้นฉ่าย
ทั้งเหล่าจางและเหรินเหรินรีบอาบน้ำท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ร่างกายสกปรกเล็กน้อย ด้วยการเดินทางไม่สะดวกมากนัก
“พี่ ที่ปักกิ่งสนุกไหม?” เสียงเสียงถามพี่คนโตด้วยดวงตาเป็นดวงประกาย
เหรินเหรินเลิกคิ้วและบอก “สนุกดีนะ มีหลายอย่างให้ดูเยอะเลย แล้วเมืองก็เจริญมากด้วย เทียบไม่ได้กับที่นี่เลย”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ เสียงเสียงก็นึกอยากไปด้วย
“พี่กับปู่บุญธรรมไม่ยอมพาผมไปด้วยเลย!” เสียงเสียงเริ่มโวยวายอีกครั้ง
“ไม่ได้หรอก ที่นี่ว่าหนาวแล้ว ที่นั่นหนาวกว่ามาก หิมะตกหนา ถึงนายไปด้วยก็ออกไปข้างนอกไม่ได้หรอก” เหรินเหรินทำมือให้เขาดูถึงความหนาของหิมะขณะอธิบาย
เสียงเสียงทำได้เพียงยอมเชื่อฟัง ด้วยพี่ชายเขาพูดมีเหตุผล
“ตอนนี้นายยังเด็ก ไว้โตขึ้นแล้วค่อยไปได้” เหรินเหรินเอ่ยปลอบ
“ต้องโตถึงแค่ไหนล่ะพี่?” เสียงเสียงถาม
“อย่างน้อยก็ต้องโตเท่าพี่รองของนายก่อน” เหรินเหรินพยักหน้า
“แป๊บเดียวเองนี่!” เสียงเสียงพลันบอก
เหรินเหรินยิ้ม “แป๊บเดียวเอง อย่างนั้นก็ไม่ต้องเสียใจไปนะ แค่กินข้าวทุกวันก็พอแล้ว”
เสียงเสียงสงบลงได้ในท้ายที่สุด หลังจากกินลูกอม เขาก็ออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ ข้างนอก
ผ่านไปครึ่งวัน เขาถูกเรียกให้กลับมากินข้าวเย็น
ครั้งนี้เหล่าจางเป็นตัวแทนจี้เจี้ยนอวิ๋นไปตรวจดูร้านที่ปักกิ่ง และยังจัดการบัญชีอีกด้วย
ทั้งหลินต้าเว่ยและภรรยาทำหน้าที่ได้ดี รายได้ของร้านน่าประทับใจ โดยเฉพาะของป่า ซึ่งเป็นของหายาก แทบจะเป็นสินค้าขายดีอันดับ 1 ของร้าน
เทียบกันในปีนี้ หลินต้าเว่ยกับภรรยามีความเป็นอยู่ดีขึ้นมาก พวกเขารู้สึกสำนึกในบุญคุณของเหล่าจางอยู่ไม่น้อย
เหล่าจางบอกให้พวกเขาตั้งใจทำงานให้ดี จะได้มีเงินซื้อบ้านที่ปักกิ่ง ต่อให้เป็นบ้านหลังเล็ก แต่ยังใช้ตั้งรกรากที่นี่ในอนาคตได้ คุ้มค่ากับความพยายามเข้ามาทำงานที่ปักกิ่ง
ทั้งสองสามีภรรยาเห็นด้วย พวกเขาไม่เคยคิดเกียจคร้านทำงาน ดูแลร้านค้าของจี้เจี้ยนอวิ๋นอย่างสุดความสามารถ ทั้งคู่จึงไม่ต้องการพลาดโอกาสนี้ไป
ถึงอย่างไรจี้เจี้ยนอวิ๋นก็กำชับเรื่องต่าง ๆ ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
หากทำงานกับเขาต่อไป เขารับประกันว่าจะสามารถซื้อบ้านที่ปักกิ่ง และลงหลักปักฐานได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้การตั้งรกรากไม่ใช่เรื่องยากเย็นเท่าคนรุ่นก่อน
หากลาออกไป หรือเกิดเรื่องอันไม่สมควรเกิดขึ้น จะต้องความเสียหายอย่างเลี่ยงไม่ได้
อย่างมากจี้เจี้ยนอวิ๋นก็เสียหายเพียง 1,000 หยวน ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา
โชคดีที่หลินต้าเว่ยกับภรรยามีเหล่าจางเป็นผู้แนะนำให้จี้เจี้ยนอวิ๋น และพวกเขาไม่ใช่คนหัวแข็ง
ปีนี้ครอบครัวทำหมูแดดเดียวเช่นเคย และเตรียมส่งไปขายที่เมืองมหาวิทยาลัยบางส่วน ส่วนที่เหลือจะถูกส่งไปที่ร้านในปักกิ่ง ซูตานหงจึงมีงานค่อนข้างยุ่ง
ตอนนี้เหล่าจางกลับมาแล้ว เขาจึงเป็นผู้ดูแลอาหารการกินที่สวนเช่นเดิม ทำให้ซูตานหงพอมีเวลาว่างบ้าง
“แม่ไม่คิดจะกลับมาในปีใหม่นี้ครับ” ในวันนั้นเองจี้เจี้ยนอวิ๋นก็บอกเธอ เมื่อเขากลับมาจากที่ทำการหมู่บ้าน
จี้เจี้ยนเหวินโทรมาหา ที่ทำการหมู่บ้านจึงประกาศเสียงตามสายให้มารับโทรศัพท์ แล้วเขาก็ได้รับข่าวนี้
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
เอ็นดูเด็ก ๆ จริง ๆ เลย อ่านความคิดของเด็กแล้วก็ทำให้เราถึงกับอมยิ้มในความไร้เดียงสาไปด้วย
ไหหม่า(海馬)