ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 341 หัวแตก
ตอนที่ 341 หัวแตก
อวิ๋นลี่ลี่รู้ว่าจี้เจี้ยนเหวินรักบ้านเกิดขนาดไหน
หล่อนไปเตรียมรองน้ำให้เยียนเอ๋อร์ ก่อนปล่อยให้เด็กหญิงเข้าไปอาบน้ำเอง และบอกกับจี้เจี้ยนเหวิน “เจี้ยนเหวิน คุณคิดจะพาคุณแม่มาอยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ?”
จี้เจี้ยนเหวินชะงักและเอ่ยตอบ “ไม่หรอกครับ ให้แม่อยู่กับจี้อวิ๋นอวิ๋นไปเถอะ!”
เดิมทีเขายกโทษให้น้องสาวอย่างจี้อวิ๋นอวิ๋นแล้ว แต่ตอนนี้หล่อนทำให้เขาผิดหวังอีกครั้ง ก่อนหน้านี้เขาไม่น่าพาหล่อนกลับมาเลย
ดูสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้สิ บ้านแตกสาแหรกขาดกันไปหมดแล้ว!
“แต่ฉันแวะไปที่นั่นเมื่อวาน คุณแม่บอกว่าอยากจะมาอยู่ที่นี่นะคะ” อวิ๋นลี่ลี่บอก
“ถ้าแม่มาอยู่ที่นี่ แล้วจี้อวิ๋นอวิ๋นล่ะครับ?” จี้เจี้ยนเหวินถาม “หล่อนไม่ได้ทำอาหารให้แม่บ้างเหรอ?”
อวิ๋นลี่ลี่บอก “งั้นคุณก็ไปบอกแม่คุณเองดีกว่าค่ะ”
“ให้ผมบอกอะไรอีกล่ะ ผมบอกคุณแล้วว่าอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับหล่อนแต่คุณก็ไม่ฟัง ดูผลการสอนของคุณเมื่อเทอมที่แล้วสิ คุณอยากไปขายเสื้อผ้าแทนสอนหนังสือเหรอ?” จี้เจี้ยนเหวินมองหน้าเธอ
“เดือนหนึ่งฉันได้เงินเดือนครูแค่เท่าไหร่? ฉันอยากจะลาออกแทบแย่” อวิ๋นลี่ลี่โพล่ง
การทำงานกับจี้อวิ๋นอวิ๋นผู้เป็นน้องสามีในช่วงฤดูร้อนนี้ทำให้หล่อนสุขสบายมากเช่นกัน โดยเฉพาะที่เมืองเจียงสุ่ย ซึ่งทำเงินได้ถึงเกือบ 60 หยวนต่อเดือน
เนื่องจากมีเพียงร้านเดียว เฝิงฟางฟางจึงได้ส่วนแบ่งด้วย แต่ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังได้เงินไม่น้อย
ถ้าหากเปิดร้านอื่นเพิ่มล่ะ?
ทั้งหล่อนและเฝิงฟางฟางได้ส่วนแบ่งคนละ 20 เปอร์เซ็นต์ ลำพังเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ยังมากถึง 60 หยวน แล้วจี้อวิ๋นอวิ๋นที่ได้รับไปถึง 60 เปอร์เซ็นต์จะได้เงินมากขนาดไหนกัน?
ตอนที่ไม่ได้มีเพียง 1 ร้าน แต่มีหลายสาขา ทั้งหมดต่างขายดิบขายดี และทำกำไรได้มาก
หากเธอไม่ได้ทำธุรกิจและไปสอนหนังสือ เธอคงหมดไฟจะสอนหนังสืออีก
“คุณคิดดูเอาเองแล้วกัน ทั้งคุณและผมสอนหนังสือ มีรายได้ 2 ทาง เราต้องเลี้ยงดูแค่เยียนเอ๋อร์คนเดียว ไม่จำเป็นต้องส่งเงินกลับไปที่บ้าน ถ้าคุณเสียงานนี้ไป แล้วคิดจะกลับมาทำอีก ก็ไม่มีทางแล้ว!” จี้เจี้ยนเหวินเอ่ยขณะสบตาหล่อน
ตอนนี้มีครูฝึกสอนมากมายในโรงเรียน หลายคนเป็นคนท้องถิ่น เส้นสายไม่ธรรมดา หากหล่อนลาออกไป ย่อมมีคนมาแทนที่อย่างแน่นอน
“ถ้าจะต้องเสียก็ให้มันเสียไปค่ะ” อวิ๋นลี่ลี่ตอบ
ไม่เพียงแต่หล่อนจะต้องการลาออก แต่หล่อนยังอยากให้จี้เจี้ยนเหวินเลิกสอนหนังสือด้วย แต่จี้เจี้ยนเหวินไม่คล้อยตาม “ผมรักอาชีพนี้ ผมจะสอนหนังสือไปจนกว่าจะแก่เฒ่า ถึงวัยเกษียณแล้วผมถึงจะลาออก!”
อวิ๋นลี่ลี่รู้ว่าเขาเป็นคนเด็ดเดี่ยว จึงไม่คิดเกลี้ยกล่อมเขาอีก
เวลาต่อมา อวิ๋นลี่ลี่เปิดร้านร่วมกับจี้อวิ๋นอวิ๋น จี้อวิ๋นอวิ๋นเปลี่ยนแปลงไปมาก หล่อนมองการณ์ไกลและวิสัยทัศน์กว้างไกล ทำให้อวิ๋นลี่ลี่ชื่นชมหล่อนเป็นอย่างมาก
ผ่านไปไม่นาน อวิ๋นลี่ลี่จึงดึงตัวพี่ชายใหญ่ของตนมาช่วยงาน
กิจการที่เปิดดำเนินการที่นี่ดูท่าจะมีอนาคตสดใส
วิถีในชนบทดำเนินไปอย่างเรียบเรื่อย แม้ว่างานในแต่ละวันจะล้นมือ แต่วิถีชีวิตยังเป็นไปเช่นนั้น ทั้งผ่อนคลายและสบายใจ
เพราะว่าเสียงเสียงวิ่งกระโดดโลดเต้นได้แล้ว เขาจึงอยู่ไม่ติดบ้าน เรียกได้ว่าเขาไม่กลับมาจนกว่าจะถึงมื้อเย็น
ซูตานหงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้ใส่นาฬิกาด้วยซ้ำ เขารู้เวลาได้อย่างไรกัน? เขารู้เวลาที่ควรกลับมาโดยไม่ต้องให้ไปเรียกหา
เธอเคยเลี้ยงเสียงเสียงจนผิวขาวและตุ้ยนุ้ย แต่ตั้งแต่เขาออกไปเล่นข้างนอกก็ผิดหูผิดตาไปลิบลับ นอกจากดวงตาและสีหน้าที่เจ้าเล่ห์ขึ้นทุกวัน ส่วนอื่นกลับดูเหมือนเจ้าก้อนถ่านน้อย
จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับมาในวันนั้น ซูตานหงออกมาต้อนรับเขา และเห็นจี้เจี้ยนอวิ๋นอุ้มเจ้าถ่านน้อยเอาไว้
ดูท่าทางของเจ้าถ่านน้อยแล้ว ดูเหมือนเขาจะไปทำอะไรผิดมา แล้วถูกผู้เป็นพ่อจับได้
“เขาเป็นอะไรไปเหรอคะ?” ซูตานหงถาม
“เขาเอาหินไปปาใส่เสี่ยวเจียงจนอีกฝ่ายหัวแตกน่ะ เลือดออกไม่น้อยเลย ผมเลยพากลับมาทำแผลแล้ว คุณไปขอโทษเรื่องนี้อีกสักหน่อยก็ได้ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
ซูตานหงรู้ว่าเสี่ยวเจียงเป็นใคร เป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าถ่านน้อยของเธอ เขาซนเป็นพิเศษ เธอจึงรีบบอก “เป็นอะไรมากไหมคะ?”
“ไม่เป็นไรแล้วครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย
ซูตานหงพยักหน้า ก่อนไปเปิดตู้เย็น นำหมูติดมันที่ซื้อเมื่อเช้าออกมา รวมถึงกระป๋องนมมอลต์ที่ยังไม่ได้เปิดกิน นอกจากนี้ยังห่อขนมงาตัดฝีมือเธอด้วยกระดาษไข ก่อนจะไปที่บ้านของเสี่ยวเจียง
แม่ของเสี่ยวเจียงอยู่ที่บ้าน เมื่อเห็นว่าเธอนำของมาให้มากมาย หล่อนก็รีบบอก “ไม่เป็นไร ๆ แค่เด็ก ๆ เล่นกัน เจี้ยนอวิ๋นเองก็พาเขาไปทำแผลแล้วด้วย คุณเอาของพวกนี้กลับไปเถอะค่ะ”
“ฉันไม่ได้เอามาให้คุณหรอกค่ะ ฉันเอามาให้เสี่ยวเจียงน่ะ เรื่องนี้เป็นความผิดของเสียงเสียง ตอนนี้เขาถูกพ่อลงโทษแล้ว ฉันเลยมาขอโทษแทนเสียงเสียงน่ะค่ะ” ซูตานหงเอ่ย
เสี่ยวเจียงมองหน้าเธอ ไม่ได้พูดอะไร
“เสี่ยวเจียง เสียงเสียงทำไม่ถูก อย่าไปยอมเขาอีกนะ น้าจะกลับไปดุเขาให้ นี่เป็นนมมอลต์ ส่วนนี่ขนมงาตัด แล้วก็ยังมีเนื้อด้วย หนูเอาไปให้แม่ทำอาหารกินเย็นนี้นะจ๊ะ” ซูตานหงนำขนมงาตัดออกมาให้เขากินขณะบอก
เสี่ยวเจียงโหวตัวผอมบาง เขาสบตาเธอและเริ่มลงมือกินขนมงาตัด
ซูตานหงเห็นเขากิน เธอก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมา
ซูตานหงกล่าวขอโทษกับแม่ของเขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินทางกลับ
“เด็กดี หล่อนเอาของมาให้เสียเยอะเลยนะเนี่ย” แม่ของเสี่ยวเจียงโหวบอก ทันทีที่ซูตานหงกลับไป
ขนมงาตัด 6 ชิ้น นมมอลต์อีก 1 กระป๋อง และเนื้อติดมันชิ้นโตที่หนักมากกว่า 1 ชั่ง ครอบครัวของหล่อนฐานะยากจน ของเหล่านี้จึงเป็นสิ่งหายากสำหรับครอบครัวหล่อน
เมื่อพ่อของเสี่ยวเจียงโหวกลับมาแล้วเห็นแผลบนศีรษะลูกชาย จึงถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
แม่ของเสี่ยวเจียงโหวเล่าให้ฟัง และชี้ไปทางของบนโต๊ะ
“เด็ก ๆ ทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่หลังจากพวกเขารู้ก็ยังเอาของมาให้” พ่อของเสี่ยวเจียงโหวไม่ได้ถือสา เด็กในหมู่บ้านมีใครไม่ชกต่อยกันบ้างล่ะ?
ที่สำคัญคือคู่กรณีเป็นลูกชายของจี้เจี้ยนอวิ๋น จี้เจี้ยนอวิ๋นร่างกำยำ ตอนนี้ครอบครัวของเขายังมีกิจการใหญ่โต จะไปนึกติดใจได้อย่างไรกัน?
ได้ยินมาว่าเจ้าพ่อเหอในอำเภอ ซึ่งตอนนี้เป็นผู้อำนวยการเหอมีความสัมพันธ์อันดีกับเขา เจ้าตัวขับรถมาซื้อสินค้าจากเขาไปจำนวนมาก ตอนนั้นเขาผ่านไปเห็นพอดีเช่นกัน
ส่วนเรื่องเสี่ยวเจียงโหว เขาไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด ในทางกลับกันยังรู้สึกเหมือนได้รับผลพลอยได้ และมีของอร่อยให้กินมากมาย
รวมถึงเนื้อด้วย!
กล่าวถึงที่บ้าน จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ทำการสั่งสอนเสียงเสียงเรียบร้อยแล้ว เมื่อซูตานหงกลับมาถึง เขาจึงถามเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เสียงเสียงเอาแต่บอกว่าไม่รู้ อย่างไรเขาก็ปาหินไปแล้ว หากคาดคั้นเขาตอนนี้ เขาคงบอกว่าตนไม่ทันได้คิด
แต่เจ้าเด็กคนนี้ร้ายกาจนัก เขาหยิบลูกอมกระต่ายขาวไปในวันรุ่งขึ้น และไปหาเสี่ยวเจียงโหว
ซูตานหงเห็นว่าเขาชวนเสี่ยวเจียงโหวมาเล่นที่บ้าน ก็รู้ว่าทั้งสองคืนดีกันเรียบร้อยแล้ว
ส่วนเสี่ยวเจียงโหวยังเหลือรอยแผลบนศีรษะอยู่ แม้แผลจะเล็กเพียงเล็บมือ แต่ซูตานหงยังต้อนรับเขา และตักน้ำแกงถั่วงอกมาให้เขากิน
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เสี่ยวเจียงโหวก็แทบจะตัวติดกับเสียงเสียง เขาตามไปเล่นกับเสียงเสียงทุกที่เสมอ
เมื่อเสียงเสียงกลับมาบ้าน เขามักจะตามมาด้วย จึงมีของให้กินตลอด ซูตานหงไม่ได้นึกขัดข้อง แค่เลี้ยงข้าวเด็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแต่อย่างใด
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คิดดี ๆ นะลี่ลี่ งานที่มั่นคงอยู่ในตอนนี้ถ้าเสียไปแล้วมันน่าเสียดายมากเลยนะ อย่าโลภมากจนลาภหายล่ะ
เจ้าแสบเสียงเสียงเอ๊ย ไปปาหินใส่หัวเพื่อนได้ ดีที่แผลไม่ใหญ่
ไหหม่า(海馬)