ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 324 ร้านชำขายธัญพืช
ตอนที่ 324 ร้านชำขายธัญพืช
“แม่พาเหรินเหรินไปส่งถั่วเขียวต้มกับของว่างให้พ่อบุญธรรมอยู่ค่ะ” ซูตานหงบอก
“ดูสิครับ นี่แหวนที่ผมซื้อมาให้คุณแม่” จี้เจี้ยนอวิ๋นหยิบกล่องสีแดงมาให้เธอดู
“ทำไมคุณจะต้องซื้อมาอีกล่ะคะ?” ซูตานหงว่าเช่นนั้น แต่ยังเปิดกล่องดู เรียกได้ว่าน้ำหนักไม่น้อย ราคาทั้งหมดคงมากกว่า 200 หยวน ตอนนี้ราคาทองอยู่ที่ 89 หยวน อาจสูงกว่านี้ได้อีก 2 หรือ 3 หยวน แต่ไม่ว่าจะราคาเท่าไร แหวนวงนี้คงมีราคามากกว่า 200 หยวนหรือเกือบ 300 หยวน
“คุณได้ซื้อให้แม่ของคุณบ้างหรือเปล่าคะ?” ซูตานหงถาม
“แม่ผมไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ซื้อให้แม่ยายก็พอ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยอย่างไม่คิดมาก
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคารพแม่ของตน แต่แม่เขาเป็นคนไปรับหลานสาวอย่างหยวนหยวนมา เพียงไม่สนใจครู่เดียว ภรรยาของเขาก็กลายเป็นผู้เลี้ยงดูแล้ว
อันที่จริงการรับเด็กหญิงมาเลี้ยงไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากแต่เขายังติดใจเรื่องนี้อยู่บ้างเท่านั้น
แน่นอนว่าเขาไม่คิดรังเกียจหลานสาว ถึงอย่างไรเธอก็เป็นหลานแท้ ๆ ของเขา เพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับวิธีของผู้เป็นแม่ เนื่องจากนางไม่ได้มาปรึกษาเขาก่อน
แม่ยายเขาถ่อมาถึงที่นี่ ต้องมาช่วยดูแลเรื่องในบ้าน เขาจึงต้องยิ่งเกรงใจกว่าเดิม
ส่วนแม่บังเกิดเกล้าของเขา เขาย่อมสำนึกบุญคุณไม่น้อย หากแต่ครั้งนี้เขาใช้เงินที่นำติดตัวไปเกือบหมด
ซูตานหงไม่ได้ทักท้วงอะไรเขาอีก และถามเรื่องร้านค้าขึ้น
“ไม่ต้องห่วงเรื่องร้านค้าครับ ทุกอย่างเรียบร้อยดี” จี้เจี้ยนอวิ๋นส่งยิ้ม และหยิบเอกสารออกมา 2 ฉบับ แสดงสิทธิ์ขาดในร้านค้าของเขา
แม้จะยุ่งวุ่นวาย แต่เรียกได้ว่าหลังจากร้านค้าทั้ง 2 แห่งเปิด เขาก็คงปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก
เขาไปหาคู่สามีภรรยาชาวกวางตุ้งที่พ่อบุญธรรมแนะนำให้ พวกเขาได้รับจดหมายจากเหล่าจางแล้ว จึงเตรียมตัวไว้อย่างดี
จี้เจี้ยนอวิ๋นรับปากว่าต่อไปจะปล่อยให้พวกเขาดูแลร้านนี้ เขาคงไม่เข้ามาแทรกแซงมากมายนัก ฐานเงินเดือนของพวกเขาอยู่ที่ 30 หยวน ส่วนที่เหลือนั้นเป็นส่วนแบ่งของยอดขาย
ยิ่งขายได้มาก ยิ่งได้ส่วนแบ่งมาก
ตามที่จี้เจี้ยนอวิ๋นตกลงกับพวกเขาไว้ ฐานเงินเดือนของทั้งสองรวมกันจึงได้ถึง 60 หยวน หากได้รับส่วนแบ่ง อาจได้มากถึง 120 หยวน
แม้แต่ในปักกิ่ง รายได้รวมของทั้งคู่ได้มากถึงเพียงนี้ ถือว่าไม่น้อยในปัจจุบัน
พวกเขาจึงยินดีรับข้อเสนอ
จี้เจี้ยนอวิ๋นให้หลินต้าเว่ยผู้เป็นสามีไปเรียนขับรถ
เนื่องจากเมื่อถึงเวลา เขาจะขนส่งสินค้าผ่านรถไฟในรอบเดียว แต่เมื่อเกิดเหตุไม่สามารถขนส่งสินค้าได้ตามกำหนด เขาก็จำเป็นต้องใช้รถขนของแทน
ส่วนเรื่องรถ แน่นอนว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นยังไม่ซื้อให้เขาในตอนนี้ ต้องให้เจ้าตัวอาศัยเช่าหรือยืมไปก่อน ส่วนการส่งสินค้าไปที่ร้านค้า เขาต้องหาทางด้วยตนเอง
มันเป็นสิ่งที่เขาควรคิดในฐานะที่เป็นเถ้าแก่
ที่ให้เขาเรียนขับรถก่อน เพราะคิดใช้โอกาสจากเวลาว่างในช่วงนี้ ต่อไปเขาคงไม่มีเวลาว่างเช่นนี้แล้ว หากเขาทำงานได้ดี จี้เจี้ยนอวิ๋นคงมีโอกาสซื้อรถให้เขาขับไม่ใช่หรือ?
ใบขับขี่เป็นชื่อของเขา และทางการปักกิ่งก็เข้มงวดมาก ต่อให้เขาพยายามขายก็คงขายไม่ออก และถ้าเขาคิดขโมยรถกลับบ้านเกิดที่กวางตุ้ง จี้เจี้ยนอวิ๋นก็สามารถแจ้งตำรวจได้
อย่างไรก็ตามท่ามกลางสถานการณ์ปกติ จี้เจี้ยนอวิ๋นให้ฐานเงินเดือนมากเพียงนี้ เขาคงไม่โง่หนีไปแบบนั้น
อีกทั้งจี้เจี้ยนอวิ๋นเคยเจอพวกเขาแล้ว ดูท่าทางเป็นคนดีทีเดียว
จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ได้กลับมาจนกระทั่งวันนี้ เพราะง่วนอยู่กับการตกแต่งร้าน รับสินค้าจากสถานีรถไฟ และลงนามในสัญญา ทำให้เขาไม่มีเวลาว่าง
แต่ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว เรียกได้ว่าไม่มีปัญหา การขนส่งผ่านรถไฟช่างสะดวกสบาย ทั้งค่าขนส่งยังย่อมเยาอีกด้วย
“คิดคำนวณแล้ว กำไรก็ลดไปมากเลยนะคะ” ซูตานหงบอก
หลังจากหักต้นทุนแล้ว จะเหลือกำไรสักเท่าไรกันเชียว?
“ต่อไปถ้าสถานีรถไฟเข้าถึงบ้านเรา ถึงตอนนั้นก็คงจะดีขึ้นครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย
ซูตานหงพยักหน้า เธอไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามเรื่องนี้ หากเขารับมือได้ก็ปล่อยให้เขาจัดการไป
คุณแม่ซูเป็นคนมีไหวพริบ เมื่อเห็นลูกเขยส่งฉีฉี เสียงเสียง และหยวนหยวน พร้อมกับต้าเฮยไปที่สวน นางก็ไม่รีบร้อนกลับไป
นางอยู่ที่สวนกับหลาน ๆ ถึงอย่างไรที่นี่ก็อากาศดีมาก ครั้นใกล้ 5 โมงเย็นแล้วนางก็คิดว่าได้เวลาอันสมควร จึงกลับบ้านพร้อมกับเจ้าตัวเล็กทั้งหลาย
เหล่าจางลงจากสวนมาด้วยเช่นกัน เขาตั้งใจจะลงมาร่วมมื้อเย็น และถามถึงเรื่องร้านค้าว่าเป็นเช่นไร
พวกเขากลับมาถึง ในจังหวะที่ซูตานหงกำลังง่วนอยู่กับงานครัว
จี้เจี้ยนอวิ๋นกินจุอยู่แล้ว แม้ว่าจะกินบะหมี่ใส่ไข่และเนื้อชามใหญ่ไปหลังกลับมาถึงบ้าน แต่การใช้เรี่ยวแรงก็ทำให้เขาหิวขึ้นมาอีกอย่างรวดเร็ว ซูตานหงจึงเร่งมือทำอาหาร
เธอหั่นเนื้อตุ๋นหอมอร่อย ยังมีกุ้งกระเทียม หัวหมู น้ำแกงไข่ใส่มะเขือเทศ และผัดถั่วพุ่ม
ซูตานหงทำอาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว พร้อมข้าวที่เพิ่งหุงเสร็จ ซึ่งจี้เจี้ยนอวิ๋นกินไปถึง 3 ชามรวด เขากินหมูตุ๋นและปลาเข้าไปไม่น้อย ข้าวชามสุดท้ายของเขาจึงพร่องช้าลง
เมื่อทั้งครอบครัวกินเสร็จ คุณแม่ซูก็เข้ามาช่วยล้างจานชามและตะเกียบ
“แม่คะ ดูสิ นี่แหวนที่เจี้ยนอวิ๋นซื้อมาให้แม่ค่ะ” ซูตานหงส่งกล่องแหวนที่เจี้ยนอวิ๋นซื้อให้ผู้เป็นแม่
“อะไรกัน รีบเอาไปคืนเถอะ ฉันมาหาหลาน ๆ จะอยากได้แหวนนี้ทำไมกัน?” คุณแม่ซูเอ่ย แน่นอนว่านางไม่อาจรับไว้ได้
“แม่คะ รับไว้เถอะนะคะ เจี้ยนอวิ๋นซื้อมาให้แม่ ขนาดแม่สามียังไม่ได้เลยนะคะ เขาอุตส่าห์ซื้อมาให้ ถ้าแม่สวมก็บอกว่าตัวเองซื้อมาเองก็ได้ค่ะ” ซูตานหงโน้มน้าวนาง
“ถ้าเจี้ยนอวิ๋นทำแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ฉันจะกล้ามาหาหลาน ๆ อีกได้ยังไงกัน?” คุณแม่ซูเอ่ย
“แม่รับเอาไว้ แล้วบอกเขาว่าทีหลังไม่ต้องซื้อมาให้อีกก็ได้นะคะ” ซูตานหงแนะ
คุณแม่ซูไม่กล่าวสิ่งใด ลูกเขยของนางช่างมีน้ำใจกับนาง แม้แต่ลูกชายทั้งสองยังเทียบเขาไม่ติด
ลูกคนโตไม่อาจคาดหวังได้ แต่ลูกคนรองยังพอมีใจกตัญญูอยู่บ้าง เขาทำให้นางอิ่มท้องครบมื้อ ทั้งยังให้เงินนางอยู่เนือง ๆ หากแต่ต่างหู แหวน และอะไรทำนองนี้ นางไม่เคยได้รับจากเขา
ในทางกลับกัน ลูกเขยคนนี้ซื้อของมาให้นางแพงมากเพียงไหนกัน?
ขณะเดียวกัน ลุงจางกับจี้เจี้ยนอวิ๋นก็กำลังคุยกันเรื่องร้านค้า จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกว่าทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยดี เขาเพียงต้องสะสางเรื่องทางนี้และส่งของไปปักกิ่งก่อน
ของแห้งสามารถขนส่งได้ราบรื่นดี แต่ของสดนั้นไม่อาจส่งไปได้
จี้เจี้ยนอวิ๋นเก็บสินค้าที่เป็นของแห้งอย่างเห็ด เห็ดหูหนู รวมถึงถั่วเหลือง ข้าวสาร ถั่วเขียว ถั่วลิสง และธัญพืชอื่น ๆ จากไร่ของตนไว้เป็นจำนวนมาก
ตอนนี้เขาถึงได้ตั้งใจจะใช้ทั้ง 2 ร้านเป็นร้านชำขายธัญพืช
เขาต้องส่งสินค้าให้ร้านที่เมืองบ้านเกิดด้วย แม้จะขายได้เป็นจำนวนไม่มาก แต่ก็มีของบางอย่างที่สามารถขายได้ สินค้าแต่ละอย่างถูกจำกัดปริมาณการซื้อ และขายปลีกในจำนวนน้อยเท่านั้น
จี้เจี้ยนอวิ๋นยังรับซื้อสินค้าจากชาวบ้านมาเพิ่ม หลังจากรวบรวมได้ 1 คันรถเต็ม เขาก็ขนขึ้นรถไฟและส่งไปยังปักกิ่งทันที
ครั้งนี้เขาไม่ได้ตามไปดูแลสินค้า แต่ปล่อยให้หลินต้าเว่ยขนย้ายสินค้าด้วยตัวเอง เขาต่อสายตรงไปปักกิ่ง และบอกว่าให้ติดต่อมาหากเกิดเหตุผิดพลาดขึ้น