ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 316 รำไท่จื้อ คัดพู่กัน
ตอนที่ 316 รำไท่จื้อ คัดพู่กัน
“พ่อบุญธรรมดูเหมือนไม่ค่อยชินกับการนอนที่นี่นะครับ ถ้ายังไม่ชิน พรุ่งนี้มานอนที่บ้านกับพวกเหรินเหรินเถอะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นรู้สึกละอายจริง ๆ บ้านบนภูเขาดูค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว แต่ทางบ้านก็แออัดไปหน่อย เดิมทีมีห้องอยู่หลังบ้าน แต่ถูกเขาสร้างเป็นเรือนเพาะชำดอกไม้ไปแล้ว
“ชินแล้ว บนภูเขาไม่มีอะไรไม่ดีเลย” เหล่าจางโบกมือ
เฟอร์นิเจอร์หรือก็มีพร้อมทุกอย่าง ยังจะมีอะไรไม่ดี? แถมเขามีกาต้มน้ำใบใหม่อยู่ในมืออีกด้วย จึงสะดวกมากที่จะดื่มน้ำหรืออะไรก็ตาม
ตอนนี้มันมืดแล้ว แต่ดวงจันทร์ยังสว่างอยู่ มีสุนัขตัวใหญ่ 2 ตัวคอยคุ้มกัน พวกมันอยู่ใกล้บ้านแบบนี้จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นล่ะ?
ต่อให้มีเรื่องขึ้นมา เขาไม่ต้องถามก็รู้ถึงสถานะในหมู่บ้านของลูกชายบุญธรรมอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงแค่ในหมู่บ้าน ต่อให้เป็นหมู่บ้านใกล้เคียง ใครที่ไหนจะกล้ามาก่อเรื่อง?
จี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นว่าเขาไม่เป็นไรจริง ๆ จึงทิ้งน้ำแข็งก้อนใหญ่ไว้ให้และเดินกลับไป
เหล่าจางก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตอนนี้ดึกมากแล้ว ที่จริงเขาก็กังวลเล็กน้อยว่าตัวเองจะนอนไม่หลับเช่นกัน
แต่มีก้อนน้ำแข็งเย็นเฉียบอยู่ข้าง ๆ และบริเวณโดยรอบก็เงียบสงบมาก หลังจากนั้นไม่นานเขาจึงหลับไปทันที
รู้สึกตัวอีกทีก็ในตอนเช้าของวันถัดมา เมื่อเขาตื่นขึ้น เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เป็นเพราะนอนหลับสบาย สภาพจิตใจจึงดีขึ้นมาก หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จและเพิ่งจะคิดจะลงจากภูเขา เหรินเหรินก็มา ทั้งยังพาต้าเฮยขึ้นมาด้วยกัน
เด็กชายมีกุญแจอยู่ จึงสามารถเข้ามาเองได้
“ปู่บุญธรรมตื่นแล้วเหรอครับ” เหรินเหรินยิ้ม ต้าเฮยพาสุนัขอีก 2 ตัวไปลาดตระเวนและตรวจสอบว่ามีบางอย่างผิดปกติในสวนผลไม้หรือไม่ หากมีอะไรผิดปกติมันจะเห่าเสียงดังอย่างแน่นอน
“ทําไมตื่นเช้าจริง?” เหล่าจางถาม เพราะเด็ก ๆ โดยทั่วไปมักจะชอบนอนดึก
“ผมพาต้าเฮยออกมาได้สะดวก เลยพามันด้วย แล้วตอนนี้ก็ไม่เช้าเกินไปหรอกครับ” เหรินเหรินกล่าว
ตอนนี้เขาจะตื่นนอนเองในช่วงเวลาประมาณ 6 โมงเช้าของทุกวัน แล้วพาต้าเฮยออกมาเดินเล่น เป็นแบบนี้ทุกเช้า บางครั้งก็ท่องไปในท้องทุ่ง บางครั้งก็ไปที่อื่น
“พ่อกับแม่ของเธอตื่นหรือยัง?” เหล่าจางถาม
“ยังไม่ตื่นเลยครับ พวกเขาจะตื่นกันประมาณ 6 โมงครึ่ง” เหรินเหรินพูด
“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องล้างหน้าล้างตาก่อน หลังจากนั้นค่อยคัดพู่กันกับปู่ เมื่อถึงเวลา พวกเราค่อยลงไปนะ” เหล่าจางกล่าว
“ได้ครับ!” ดวงตาของเหรินเหรินเป็นประกาย
เขารู้ว่าปู่บุญธรรมของเขาเป็นศาสตราจารย์อาวุโสที่มีความสามารถมาก ต้องมีสิ่งดี ๆ มากมายให้เขาได้เรียนรู้อย่างแน่นอน
เหล่าจางหยิบแปรงสีฟันใหม่ให้เขา จี้เจี้ยนอวิ๋นวางแปรงสีฟันใหม่หลายอันไว้ที่นี่
หลังจากล้างหน้า ดื่มน้ำเสร็จแล้ว เหล่าจางถึงนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้เอาพู่กัน หมึก และกระดาษมาด้วย!
“วันนี้เขียนไม่ได้แล้วละ วันนี้ปู่บุญธรรมจะสอนเธอรำไท่จื้อก่อน เคยได้ยินเรื่องไท่จื้อมาก่อนไหม? มันช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้” เหล่าจางพูด
“แล้วเมื่อไหร่เราจะได้เรียนคัดพู่กันครับ?” เหรินเหรินสนใจการคัดตัวอักษรด้วยพู่กันมากกว่า
“พรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวเธอพาปู่บุญธรรมเข้าอำเภอหน่อยนะ ที่นั่นจะต้องมีของพวกนั้นขายอย่างแน่นอน” เหล่าจางกล่าว
“ในเมืองไม่มีเหรอครับ?” เหรินเหรินถาม
“คุณภาพของในเมืองคงอยู่ในระดับธรรมดาน่ะ” เหล่าจางพูด
เขาไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นใดมากนัก แต่มีความต้องการหมึก กระดาษและจานฝนหมึกในคุณภาพที่สูงมาก นี่เป็นความภาคภูมิใจของผู้ที่เป็นปัญญาชน
เหรินเหรินพยักหน้าและเรียนไท่จื้อกับปู่บุญธรรมของเขา ไม่ต้องบอกเลยว่าเขาเสียเหงื่อจากการออกกำลังกายขนาดไหน
ดวงตาคู่นั้นเป็นประกาย
“ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ?” เหล่าจางถาม
“ดีมากเลยครับ ผมจะขึ้นมาเรียนกับปู่บุญธรรมทุกวัน!” เหรินเหรินพูด
“ตกลง ปู่บุญธรรมจะตื่นประมาณนี้ และเธอสามารถขึ้นมาได้ในเวลานี้นะ” เหล่าจางกล่าว “พวกเราจะรำไท่จื้อครึ่งชั่วโมง เรียนคัดอักษรด้วยพู่กันอีกครึ่งชั่วโมง จากนั้นค่อยลงจากภูเขาไปกินมื้อเช้าอร่อย ๆ กัน”
“ครับ!” เหรินเหรินพยักหน้า
สองปู่หลานเติมน้ำให้กับบรรดาแกะ หลังจากที่พวกมันทํากิจกรรมอื่นทๆ ตามประสาแล้วก็คงจะกลับมาดื่มน้ำอีกยามรู้สึกกระหาย
อีกทั้งยังมีสุนัขคอยเฝ้าดูอยู่ ครั้นพวกเขาสองปู่หลานเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว จึงพาต้าเฮยลงจากภูเขา
ปกติซูตานหงกับจี้เจี้ยนอวิ๋นมักจะตื่นนอนตอน 6 โมงครึ่ง เมื่อเห็นว่าต้าเฮยกับลูกชายคนโตไม่อยู่ จี้เจี้ยนอวิ๋นก็รู้ว่าเขาจูงออกไปแล้วจึงไม่สนใจ และฝึกต่อยมวยออกกำลังกายแบบทหารอยู่ในลานบ้าน ขณะที่ฉีฉีตามเขาไปและหัวเราะคิกคักพร้อมกับเรียนรู้วิธีการชกต่อยไปด้วย
สำหรับหยวนหยวนนั้นได้แต่นั่งดู ส่วนเด็กน้อยเสียงเสียงยังไม่ตื่น ยังคงนอนหลับอยู่ในห้อง
ซูตานหงกำลังต้มโจ๊กอยู่ในครัว วันนี้มีโจ๊กใส่เม็ดบัว ผัดกะหล่ำปลี ไข่เป็ดเค็มหั่นครึ่ง ไข่ดาว และหมูผัดพริกหยวก เพียงเท่านี้
อาหารเช้าดูเรียบง่ายมาก แต่ทั้งครอบครัวก็กินอย่างพอใจ เหล่าจางกินโจ๊ก 3 ชามติดต่อกัน นอกจากนี้เขายังกินไข่เป็ดเค็มครึ่งหนึ่ง ไข่ดาว และเนื้ออีกไม่น้อย ความอยากอาหารของชายชรานั้นมีมากเหลือเกิน
หลังจากกินเสร็จ เขาจึงพาเหรินเหรินไปซื้อพู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึก เมื่อฉีฉีได้ยินก็มีดวงตาเป็นประกาย และรีบขอตามไปทันที
“อยู่ดูแลน้องชายของลูกที่บ้านเถอะ” ซูตานหงพูด
“มีน้องสาวช่วยดูอยู่แล้วครับ!” ฉีฉีกล่าวอย่างไม่พอใจ
“หยวนหยวนต้องดูแลแม่ให้มีความสุข ลูกยังจะคาดหวังให้หยวนหยวนดูแลเสียงเสียงอีกเหรอ?” ซูตานหงมองเขาพร้อมกับพูด
“แล้วทําไมพี่ถึงได้ไปล่ะ!” ฉีฉีกล่าว
“พี่ชายของลูกต้องไปเลือกพู่กันของตัวเอง ต่อไปเขาต้องหัดคัดพู่กันแล้ว ถ้าลูกอยากเขียน แม่ก็จะอนุญาตให้ไป แต่ถ้าลูกซื้อแล้วไม่เขียนดี ๆ ต่อไปลูกก็อย่าได้สร้างปัญหาอะไรอีก ไม่อย่างนั้นลูกจะถูกหักเงินค่าขนม ตัดสินใจด้วยตัวเองนะว่าจะไปหรือไม่ไป!” ซูตานหงพูด
“ผมจะไป!” ฉีฉียังคงยืนกราน
“อย่างนั้นพ่อบุญธรรมพาอีกคนไปด้วยเถอะค่ะ ถ้าซื้อมาแล้วเจ้าเด็กคนนี้ไม่ยอมเขียน ฉันจะฟาดด้วยไม้กระดานกับเขาสักไม้” ซูตานหงพูด
“ได้สิ” เหล่าจางยิ้มแล้วพาหลานชายทั้งสองออกไปด้วยกัน
“ฟาดด้วยไม้กระดาน?” หลังจากที่พวกเขาไปแล้ว หยวนหยวนก็กระซิบถามซูตานหง
“ถ้าพี่ชายของหนูไม่เชื่อฟังก็ต้องโดนตี หยวนหยวนเชื่อฟังมาก ไม่ต้องโดนตีหรอก” ซูตานหงพูด
“พี่ชายก็เชื่อฟังค่ะ” หยวนหยวนพูด
“เขาเชื่อฟังก็จริง แต่ก็มีช่วงเวลาที่สร้างปัญหาเหมือนกัน หยวนหยวนไปดูแกะบนภูเขาดีไหมจ๊ะ?” ซูตานหงกล่าว
“ค่ะ” หยวนหยวนรับคำ
ซูตานหงจึงพยักหน้าและพาเธอไปหาคุณแม่จี้ พร้อมกับกล่าว “เธอกินข้าวเช้าแล้วค่ะ กินโจ๊กเม็ดบัวไปครึ่งชาม แล้วก็กินไข่อีกฟอง อีกสักพักน่าจะหิว ถ้าคุณแม่จะป้อนข้าวต้องรออีกสักพักนะคะ”
เด็กตัวเล็กย่อยได้เร็ว เสียงเสียงในตอนนี้นอกจากจะกินอาหารหลักตามปกติแล้ว ยังมีของว่างอีกไม่น้อย เขากินทุก 2 ชั่วโมงเลยก็ว่าได้
“ได้สิ” คุณแม่จี้รับคําแล้วถามขึ้น “พ่อบุญธรรมของเธอเคยชินกับการอยู่บนภูเขานั้นหรือเปล่า?”
“น่าจะชินแล้วค่ะ ฉันเห็นว่าเขามีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น” ซูตานหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สิ่งแวดล้อมที่นั่นก็ดี ฉันเคยเห็นแล้ว ไม่ได้เลวร้ายไปกว่านี้หรอก” คุณแม่จี้พยักหน้า “เมื่อวานเหล่าจางมาบอกว่าให้ไปถมพื้นที่นั้นปลูกแตงโม ปลูกสตรอว์เบอร์รี่ บอกว่าไม่รบกวนเขาหรอก ทิ้งไว้ให้หญ้าขึ้นเปล่า ๆ”
“งั้นค่อยหาคนไปถมเถอะค่ะ ปีนี้ปลูกไม่ทันแล้ว ปลูกถั่วเหลืองสักหน่อยแล้วกันค่ะ” ซูตานหงพูด
“ถั่วเหลืองขายดีไหม?” คุณแม่จี้ถาม
“ไม่เลวเลยค่ะ” ซูตานหงพูด
“งั้นปลูกถั่วเหลืองเถอะ ถั่วเหลืองก็บํารุงร่างกายได้ด้วย” คุณแม่จี้พยักหน้า
ซูตานหงจึงตัดสินใจปลูกถั่วเหลือง เธอชอบกินมันมาก ถั่วเหลืองให้ผลผลิตได้มาก ตากแห้งแล้วก็เอาไปขายได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก แถมยังทนทานอีกด้วย
เธอจัดการให้จี้ต้าหย่งและไช่จ่านกั๋วมาถมที่ดิน ทั้งคู่ทำงานได้ดี ยิ่งไปกว่านั้นพอพวกเขารู้ว่าจะปลูกถั่วเหลืองก็รีบถมดินอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ช้ามากแล้ว
ควรปลูกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้