ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 311 คนบ้านนอกอย่างไรก็ยังเป็นคนบ้านนอก
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]
- ตอนที่ 311 คนบ้านนอกอย่างไรก็ยังเป็นคนบ้านนอก
ตอนที่ 311 คนบ้านนอกอย่างไรก็ยังเป็นคนบ้านนอก
หากเป็นแบบนี้ไปชั่วชีวิต การที่เห็นหล่อนแต่งตัวทันสมัยแบบนี้ แสดงว่าหล่อนคงเปิดร้านค้าสองแห่งด้วยตัวเองไปแล้ว
ใช่แล้วล่ะ ตอนนี้หล่อนมีร้าน 2 ร้านแล้ว ถึงก่อนหน้านี้จะเคยมีเพียงร้านเดียว แต่ตอนนี้มี 2 ร้านแล้ว
ร้านหนึ่งมีไว้ขายเสื้อผ้าโดยเฉพาะ ส่วนอีกร้านมีไว้ขายกระเป๋าและรองเท้า กิจการนับว่าไม่เลวเลย สองร้านรวมกันแล้วมีกําไรเดือนละเกือบ 150 หยวน นับว่าเป็นรายได้มหาศาลทีเดียว
ด้วยราคาบ้านในปัจจุบันแล้ว หล่อนจะสามารถซื้อบ้านได้ในเวลาเพียงปีเดียว ทว่าราคาบ้านตอนนี้ไม่ได้ขึ้นเร็วนัก ดังนั้นหล่อนจึงไม่รีบร้อนที่จะซื้อ เปิดร้านเพิ่มเมื่อไรแล้วค่อยว่ากัน!
หนทางยังอีกยาวไกลไม่จำเป็นต้องพูดถึง หากชาติก่อนซูตานหงเห็นหล่อนเป็นแบบตอนนี้ คงตามติดเหมือนสุนัขพันธุ์ปั๊ก*เป็นแน่
* เปรียบคนที่ตามประสบสอพลอผู้ที่มีอำนาจ
อย่าคิดว่าตอนนี้เธอกลายเป็นแบบนี้ไปแล้วจะสามารถหลุดพ้นจากนิสัยเดิมได้ อาการเชิดหน้าดูถูกคนอื่นนั่นเป็นสิ่งที่ซูตานหงถนัดที่สุดแล้ว
ซูตานหงหัวเราะทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น “เธอคงเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่เคยลดตัวลงไปดูถูกคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องด้วยเลยสักครั้ง”
คําพูดนี้ทําให้จี้อวิ๋นอวิ๋นหน้าดําคล้ำ หล่อนจึงโพล่งขึ้นมา “ตอนนี้พี่สามของฉันกำลังหาเงินได้ก็จริง แต่เขาก็แค่ได้เปรียบจากการขาดแคลนสิ่งของในตอนนี้ ต่อไปฟาร์มอื่น ๆ สวนผลไม้อื่น ๆ ก็จะเจริญตามมาติด ๆ และในอนาคตสภาพสังคมก็จะพัฒนาขึ้น จะมีผลไม้จํานวนมากจากทางตอนใต้เข้ามา ถึงตอนนั้นกิจการของพี่สามก็จะไม่ราบรื่นแล้ว! ”
ใช่แล้ว หล่อนยังคงไม่คิดว่าสวนผลไม้และฟาร์มของพี่สามนั้นจะมีอะไรพิเศษ คนบ้านนอกอย่างไรก็ยังเป็นคนบ้านนอก สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นพื้นที่เล็ก ๆ นี้ไปได้
ต่อให้มีการพัฒนาก็ต้องพึ่งที่ดินทำกิน แต่สังคมในอนาคตจะพัฒนาไปอย่างไรล่ะ? คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่หล่อนที่ได้เกิดใหม่นั้นรู้แจ้งเห็นจริงมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
หลังจากนี้ผลไม้จากทางใต้ทั้งหมดจะถูกส่งไปทั่วประเทศพร้อมกับการเพิ่มจำนวนของฟาร์มต่าง ๆ สถานการณ์ของพี่สามในตอนนี้ถือว่ายังไม่เลวร้าย น่าจะมีรายได้มากมายตลอดทั้งปี แต่นั่นก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน อีกประมาณ 1 ถึง 2 ปี กิจการเหล่านี้ก็จะตกต่ำลงอย่างมาก
ซูตานหงไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว “มันจะราบรื่นหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมากังวลหรอก”
เมื่อเห็นท่าทางไม่รู้หนาวรู้ร้อนของเธอแบบนี้ จี้อวิ๋นอวิ๋นก็ไม่อยากสนใจเช่นกัน เดิมทีแค่อยากจะเตือนอีกฝ่ายสักหน่อย ให้เธอรีบฉวยโอกาสตอนที่พี่สามยังพอมีเงิน ไปที่เมืองมหาวิทยาลัย หรือไปที่เมืองเจียงสุ่ยเพื่อซื้อบ้านสักหลังหรือสองหลังก็ได้ เพราะมันจะมีค่าในอนาคต
แต่ทัศนคติของซูตานหงทำให้หล่อนต้องเปลี่ยนใจในทันที
หล่อนเพียงแต่พูดขึ้น “ฉันมาหาหยวนหยวน เธอบอกเด็กนั่นให้ออกมาเถอะ!”
“หยวนหยวนไม่ได้อยู่ที่นี่กับฉัน เธอมาผิดที่แล้ว” ซูตานหงเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายออกตั้งนานแล้ว จึงพูดไปตามตรง
“ไม่อยู่ที่นี่?” จี้อวิ๋นอวิ๋นขมวดคิ้ว
เมื่อซูตานหงมองหล่อน จี้อวิ๋นอวิ๋นจึงรู้ทันทีว่าลูกสาวต้องอยู่บนภูเขาอย่างแน่นอน
“นั่นคือภูเขาของฉัน ลืมไปแล้วเหรอว่าก่อนหน้านี้เธอเคยพูดอะไรไว้? บนภูเขาของฉัน ต่อให้เธอได้รับเชิญมา เธอก็ไม่อาจขึ้นไปได้” ซูตานหงกล่าวเสียงเรียบ
จี้อวิ๋นอวิ๋นเม้มปากแน่น ก่อนจะมองเธอแล้วพูด “เธอดูถูกฉันขนาดนี้ คิดว่าชีวิตนี้ฉันจะลุกไม่ขึ้นแล้วเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอมีความสามารถมาก และกิจการในร้านก็ดีมากด้วย” ซูตานหงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อรู้แล้ว เธอก็ยังพูดกับฉันแบบนี้เหรอ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นมองเธอขณะพูด
“กิจการร้านเธอขายดีแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ ดูจากสิ่งที่เธอพูดมาแล้ว คำพูดของเธอช่างน่าตลกสิ้นดี” ซูตานหงพูดด้วยรอยยิ้ม
“พี่สะใภ้ใหญ่เคยไปหาฉันและอยากจะเปิดร้านกับฉัน แล้วฉันก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่!” จู่ ๆ จี้อวิ๋นอวิ๋นก็พูดขึ้นมา
ซูตานหงกลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ตอนปีใหม่เธอเพิ่งได้ยินเฝิงฟางฟางพูดไม่ดีเกี่ยวกับจี้อวิ๋นอวิ๋น แต่พอชั่วพริบตาเดียว เฝิงฟางฟางก็ไปหาจี้อวิ๋นอวิ๋นแล้ว
ผู้หญิงคนนี้ช่างไม่น่าเชื่อถือจริง ๆ ทว่าบางสิ่งบางอย่างก็ไม่สามารถพูดมากเกินไปได้ มิฉะนั้นจะโดนขายในทันที
จี้อวิ๋นอวิ๋นเชิดคางมองเธอ เฝิงฟางฟางก็คือเฝิงฟางฟางเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา นิสัยเดิมยังไม่เปลี่ยน เก่งในเรื่องรักษาผลประโยชน์ส่วนตัว อย่างไรก็ตามชีวิตของเฝิงฟางฟางเมื่อชาติก่อนก็ไม่ได้ดีนัก แม้ว่าชีวิตในชาตินี้จะไม่เลว แต่ก็แค่ระดับธรรมดาเท่านั้น
หากสามารถร่วมมือกับหล่อนเพื่อเปิดร้านได้ ครอบครัวพี่ชายคนโตของหล่อนจะต้องพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างนั้นเฝิงฟางฟางก็ไม่ค่อยมีเงิน หล่อนจึงยินดีที่จะร่วมมือกับซูตานหงมากกว่า เพราะถ้าไปเปิดร้านที่เมืองเจียงสุ่ยหรือที่อื่น ๆ มันจะต้องใช้เงินไม่น้อย
“พี่สะใภ้ใหญ่อยากร่วมงานกับเธอ นั่นก็เป็นเรื่องของพี่สะใภ้ใหญ่ เธอไม่จำเป็นต้องบอกฉันหรอก” ซูตานหงกล่าวเสียงเบา เห็นได้ชัดว่าไม่สนใจเรื่องนี้
“เธอไม่อยากเปิดร้านกับฉันหรือไง?” จี้อวิ๋นอวิ๋นมองเธออย่างอดไม่ได้ “ฉันบอกเธอไปตั้งเยอะแล้ว พี่สามจะหวังพึ่งพางานในท้องทุ่งแบบนี้ต่อไปไม่ได้หรอกนะ เธอไม่คิดจะหาทางอื่นเลยเหรอ?”
“ฉันบอกแล้วว่าเธอไม่ต้องห่วง เอาล่ะ ฉันยุ่งอยู่ ยังไม่ได้ตากเสื้อผ้าเลย” ซูตานหงโบกมือแล้วเดินจากไป
เมื่อจี้อวิ๋นอวิ๋นเห็นเธอไม่ไว้หน้ากันแบบนี้ก็รู้สึกโมโหมาก
แม้จะอยากขึ้นไปบนภูเขา แต่ด้วยนิสัยของพ่อหล่อนแล้ว หล่อนอาจถูกหักขาได้หากไม่ได้รับอนุญาต
หล่อนจึงลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า และในที่สุดก็ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขา
หลังจากหลี่จื้อมาถึง เขาจึงได้รู้จากซูตานหงว่าลูกสาวของเขาอยู่บนภูเขา จึงเดินมุ่งหน้าไปยังที่นั่น
เมื่อเห็นเขาแล้ว ซูตานหงก็รู้ว่าคงคลาดกับจี้อวิ๋นอวิ๋น ไม่อย่างนั้นในตอนนี้เขาต้องมีสีหน้าย่ำแย่อย่างแน่นอน
เธอไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้นัก แต่ดูเหมือนว่าฝั่งเฝิงฟางฟางจะอยู่ในห้างสรรพสินค้าได้อีกไม่นานแล้ว
กล่าวทางด้านจี้อวิ๋นอวิ๋น หลังจากที่กลับมาด้วยความโมโห หล่อนก็โทรศัพท์หาอวิ๋นลี่ลี่ทันที
“พี่สะใภ้สี่ พี่ไม่รู้หรอกว่าซูตานหงทำเกินไปขนาดไหน ฉันแนะนำหล่อนด้วยความหวังดี แต่หล่อนกลับบอกว่าไม่ต้องมาสนใจ ฉันถามหล่อนว่าอยากมาทำธุรกิจกับฉันไหม หล่อนกลับไล่ฉันออกมา แค่ขอให้หล่อนไปช่วยพูดกับพ่อแม่แค่ไม่กี่คำ หล่อนก็ไม่สนใจ!” จี้อวิ๋นอวิ๋นได้ติดตั้งโทรศัพท์เอาไว้ที่ร้านแล้ว นับว่าหาได้ยากนัก มีคนไม่น้อยเข้ามาใช้ แต่ต้องจ่ายเงินด้วย
“เธออย่าไปยุ่งกับสะใภ้สามนักเลย” อวิ๋นลี่ลี่เพิ่งเลิกชั้นเรียนและยังต้องเตรียมตัวสอนต่อ หล่อนยุ่งมากจนไม่มีเวลาฟังจี้อวิ๋นอวิ๋นบ่น จึงพูดขึ้น “เธอตั้งใจทำธุรกิจให้ดีเถอะ อย่าไปสนใจเรื่องอื่นเลย”
“ฉันแค่จะไปเยี่ยมหยวนหยวน นั่นลูกสาวของฉันนะ ฉันแค่ไปเจอหน่อยจะเป็นไรไป?” จี้อวิ๋นอวิ๋นพูด
ฝั่งอวิ๋นลี่ลี่ที่อยู่ปลายสายก็นึกในใจว่าเธอยังเห็นเด็กคนนั้นเป็นลูกสาวอยู่อีกเหรอ ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดถึงเลยล่ะ?
แต่หล่อนก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากคุยไปไม่กี่ประโยคจึงวางสาย และก่อนจะวางสายไปนั้นเอง จี้อวิ๋นอวิ๋นยังเตือนหล่อนให้เก็บเงินซื้อบ้านด้วย
อวิ๋นลี่ลี่วางสายและไม่สนใจ ซื้อบ้านงั้นเหรอ?
ลืมไปซะเถอะ เพื่อบ้านหลังนี้ หล่อนกับจี้เจี้ยนเหวินต้องใช้ชีวิตอย่างไรในช่วงหลายปีก่อน ช่วงเวลาเหล่านั้นมันคืออะไร?
ทุกวันต้องกินข้าวในโรงอาหาร แม้แต่เงินสักเฟินยังไม่อยากจ่าย การเจ็บป่วยคือความสิ้นเปลือง ตอนนี้ได้คืนเงินไปหมดแล้ว หล่อนกับเจี้ยนเหวินจึงไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนเมื่อก่อนอีก
ตอนนี้ลูกสาวโตขนาดนี้แล้ว บ้านก็พออยู่ได้ ยังจะต้องซื้ออะไรอีก ต่อให้อยากซื้อ ก็คงต้องรอให้มีเงินในมือมากกว่านี้แล้วค่อยซื้อให้ลูกสาวอีกสักหลัง