ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记] - ตอนที่ 300 ไม่เหมือนพี่สะใภ้สามคนเดิม
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]
- ตอนที่ 300 ไม่เหมือนพี่สะใภ้สามคนเดิม
ตอนที่ 300 ไม่เหมือนพี่สะใภ้สามคนเดิม
“คุณทายสิครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้ม
“มากกว่า 30,000 หยวนเหรอคะ?” ซูตานหงส่งยิ้มให้และเอ่ย
“47,600 หยวนครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอกตัวเลขให้เธอรู้ขณะอมยิ้ม
ซูตานหงอึ้งไปเช่นกัน เธอคิดว่าน่าจะได้เงิน 30,000 หยวนเป็นอย่างมากเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะได้เกิน 40,000 หยวน นับเป็นเงินมหาศาลทีเดียว
ที่สำคัญคือเดือนหน้าจะมีรายได้มากกว่านี้อีก เพราะในทุกวันจะมีรายได้จากการขายเนื้อหมู ด้วยความที่เป็นเนื้อ มันถึงได้ขายหมดเสมอ
ในเดือนหนึ่งพวกเขามีรายได้มากกว่า 20,000 หยวนแล้ว ทุกวันที่จี้เจี้ยนเยี่ยและคนอื่น ๆ กลับมา พวกเขาจะนำเงินมาให้เขา โดยไม่ได้เก็บไว้ข้ามวันเลย เนื่องจากเป็นเงินก้อนใหญ่เกินไป
รายได้ในเดือนสุดท้ายเทียบได้กับกำไรทั้งหมดของ 11 เดือนที่ผ่านมา
“วันนี้คนงานได้หยุดงานกันแล้ว ปีหน้าคุณไปเปิดบัญชีให้เสียงเสียงเถอะค่ะ” ซูตานหงบอก
“ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้ารับ
เขาไปตรวจดูสมุดบัญชีของครอบครัว และพบว่าปีนี้มีเงินเหลือจำนวนมาก เนื่องจากปีนี้เขาซื้อแค่รถบรรทุกและจ่ายค่าปรับของเสียงเสียง ส่วนที่เหลือไม่ได้ถูกนำไปใช้อะไร
ฉีฉีกำลังดูโทรทัศน์อยู่ด้านนอก เนื่องจากเมื่อ 3 วันก่อนเพิ่งจะติดตั้งโทรทัศน์สีขนาด 14 นิ้วไว้ที่บ้าน
มันเพิ่งถูกนำมาส่งไม่นาน ก่อนหน้านี้พวกเขามีโทรทัศน์ขาวดำ แต่ตอนนี้มีโทรทัศน์สีแล้ว ซึ่งจี้เจี้ยนอวิ๋นใช้เงินซื้อไปถึง 1,200 หยวน
ในเมื่อจะซื้อทั้งทีก็ควรซื้อของดี โทรทัศน์ขาวดำเครื่องก่อนไม่ใช่ของหายาก เพราะในหมู่บ้านมีถึง 7 ครอบครัวแล้วที่มีในครอบครอง
ชาวบ้านต่างมามุงดูด้วยความตื่นเต้น แต่เรื่องนี้ไม่เป็นที่กังวลนัก เพราะมีต้าเฮยอยู่ด้วย มันไม่ยอมให้คนแปลกหน้าเข้ามาอย่างแน่นอน แถมมันยังเห่าเสียงดังด้วย คิดได้เช่นนั้นจี้เจี้ยนอวิ๋นจึงเลิกกังวล ต้าเฮยคงไม่ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาแน่นอน ดังนั้นจึงเหลือคนไม่มากนัก
ทั้งครอบครัวมีความสุขเมื่อซื้อโทรทัศน์สีมา แม้แต่คุณพ่อกับคุณแม่จี้ยังลงมาดู
พวกเขาเคยดูการแสดงหุ่นกระบอก แต่ไม่เคยดูผ่านกล่องแบบนี้
ในบรรดาคนที่มีความสุขที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นฉีฉี
เขาอยากได้โทรทัศน์เครื่องนี้มานานแล้ว และพ่อของเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ซื้อโทรทัศน์สีมาจนได้ มันดูดีกว่าของคนอื่นเสียอีก!
สิ่งที่ฉายบนหน้าจอช่างน่าตื่นตาตื่นใจ เขาตั้งใจดูมากราวกับถูกภาพยนตร์ดึงดูดเข้าไป
“แอ้!” เสียงเสียงคลานมาดึงผมเขา
“น้องชาย อย่าซนสิ เดี๋ยวพี่เล่นด้วยนะ เอาของเล่นไปเล่นก่อน” เขาส่งของเล่นให้น้องชาย ก่อนจะจับให้ไปนั่งไกล ๆ
เสียงเสียงเล่นอยู่พักหนึ่งก็เกิดอาการไม่พอใจขึ้นมา เขาเข้าไปป่วนพี่ชายอีกครั้ง แสดงชัดว่าขอให้เล่นด้วย ตอนแรกฉีฉียังใจเย็นอยู่ แต่ไม่นานก็อดตีน้องไม่ได้
“แง!”
เสียงร้องไห้จ้าของเสียงเสียงดังขึ้น จี้เจี้ยนอวิ๋นที่วอแวกับภรรยาอยู่ในครัวถึงกับตกใจ และรีบวิ่งออกมาดูทันที
ฉีฉีอยากจะปลอบน้อง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ “อย่าร้องนะ หยุดร้องสิ ไม่งั้นพี่จะไม่เล่นด้วยนะ!”
“แง!”
เสียงเสียงยังคงร้องไห้จ้าไม่หยุด
แน่นอนว่าท้ายที่สุดฉีฉีก็ถูกทำโทษ ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ฉีฉีไม่มีทางเลือกนอกจากไปยืนสำนึกผิดที่มุมห้อง
เขายืนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้รับอนุญาตให้มากินข้าวเย็น
“กินเสร็จแล้วพาน้องไปเล่นด้วยนะ ในเมื่อตีน้องแบบนั้นแล้วก็ห้ามเปิดโทรทัศน์อีก!” จี้เจี้ยนอวิ๋นสั่ง
“ผมไม่อยากดูแลน้องครับ น้องดื้อทั้งวันเลย” ฉีฉีบอก
“ลูกต้องพาน้องไปเดินเล่น แล้วก็ดูโทรทัศน์ได้แค่วันละชั่วโมง แม้แต่นาทีเดียวก็ห้ามเกินเด็ดขาด!” จี้เจี้ยนอวิ๋นกำชับ
ฉีฉีโวยวาย ทว่าวิธีนี้ก็ไม่ได้ผลแต่อย่างใด สุดท้ายจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับปาก
เยียนเอ๋อร์แวะมาหาหลังมื้อเย็น
“พี่ พี่ช่วยพาน้องผมไปเล่นด้วยได้ไหม?” ฉีฉีกระซิบบอก
“ตอนนี้อากาศเย็นแล้ว นายจะไปเล่นที่ไหนล่ะ?” เยียนเอ๋อร์ถาม “นายคิดว่าเสียงเสียงดื้อเหรอ? นายเองก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน พอเสียงเสียงโตขึ้น เขาก็ไม่เป็นแบบนี้แล้วล่ะ”
“แอ้” เสียงเสียงส่งลูกพลับแห้งให้เธอ ราวจะบอกว่าเขาชอบพี่สาวคนนี้
“ขอบคุณนะเสียงเสียง” เยียนเอ๋อร์บอกกับเสียงเสียง
เสียงเสียงหยิบลูกพลับแห้งชิ้นหนึ่งมาชิม เขายังกัดกินไม่ได้ จึงทำได้เพียงชิมเท่านั้น โดยต้องให้พี่ชายกัดเป็นชิ้นเล็กก่อนถึงจะส่งให้เขาชิมได้
ช่วงนี้เหรินเหรินขึ้นไปเก็บไข่ที่สวนบ่อย ๆ ยิ่งเขาโตก็ยิ่งรู้ความและกตัญญูมากขึ้น เมื่อรู้ว่าย่าไปเก็บไข่ เขาก็วิ่งขึ้นไปช่วยเก็บด้วยตนเอง พลางบอกว่าบั้นเอวของย่าไม่ค่อยแข็งแรงแล้ว
ซูตานหงไม่ได้เข้าไปยุ่มย่ามเรื่องเหล่านี้ เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำ ตอนนี้เขาเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว เธอย่อมไม่เข้าไปเจ้ากี้เจ้าการเรื่องของเขา
ตอนที่พาเขาไปซื้อเสื้อผ้า เธอทำเพียงคอยจ่ายเงินให้ ปล่อยให้เขาเป็นคนเลือกเอง
ในมื้อเย็นของคืนวันสิ้นปีนี้เอง จี้อวิ๋นอวิ๋นได้นำของหลายอย่างกลับมา ทุกอย่างถูกเก็บไว้ที่ห้องพักแถบชานเมือง เสื้อผ้าและรองเท้าสำหรับหลาน ๆ ล้วนเป็นของใหม่เอี่ยม
จี้อวิ๋นอวิ๋นแวะมาหาซูตานหง
“ไม่ดีกว่าจ้ะ ของพวกนี้ที่บ้านฉันมีหมดแล้ว แล้วก็เพิ่งซื้อมาใหม่ด้วย” หลังจากซูตานหงเปิดประตูมาและเห็นว่าเป็นหล่อน เธอก็ไม่คิดจะเสวนาแต่อย่างใด ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจี้อวิ๋นอวิ๋นจัดว่าไม่ดีนัก จึงไม่อาจยอมรับของจากอีกฝ่ายได้
“ของทั้งหมดเป็นของดีทั้งนั้นนะคะ ฉันเปิดร้านในแถบตัวเมือง เลยเอามาจากในร้านน่ะค่ะ ราคาอาจไม่มาก พี่สะใภ้สามรับไว้ให้เหรินเหรินกับน้อง ๆ เถอะค่ะ ฉันเป็นอาพวกเขา ไม่ได้เจอพวกเขามานาน ให้ฉันได้ซื้ออะไรให้พวกเขาหน่อยเถอะนะคะ เมื่อก่อนพี่สามเองก็ดูแลฉันมา ฉันจะซื้อเสื้อผ้าให้เหรินเหรินบ้างไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลยค่ะ” จี้อวิ๋นอวิ๋นบอก
ซูตานหงมองหน้าหล่อน อันที่จริงไม่เพียงแต่ซูตานหงที่มองหล่อน แต่จี้อวิ๋นอวิ๋นก็มองหน้าเธอกลับเช่นกัน
จี้อวิ๋นอวิ๋นรู้ว่าซูตานหงพูดจากใจจริง หากแต่เหตุใดเธอจึงได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนถึงเพียงนี้กัน?
ในความทรงจำของหล่อน ซูตานหงเป็นคนอารมณ์ร้าย ทำเป็นเพียงงานเย็บปักถักร้อย คิดแต่จะกินและกอบโกยผลประโยชน์เพื่อตนเอง และไม่คิดหาเลี้ยงลูกชายให้อิ่มท้อง
ซูตานหงในตอนนี้ช่างต่างจากเมื่อก่อนลิบลับ
“ในเมื่อเอามาจากที่ร้าน ก็คงเอากลับไปคืนได้ เหรินเหรินกับน้อง ๆ มีของพวกนี้อยู่แล้วล่ะจ้ะ” ซูตานหงเอ่ย
เธอไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับจี้อวิ๋นอวิ๋นอีก ยิ่งในตอนนี้ที่จี้อวิ๋นอวิ๋นเป็นเหมือนคนแปลกหน้าในสายตาเธอ ราวกับเป็นคนที่ไม่มีตัวตน
“นี่เป็นของกำนัลนะคะ พี่สะใภ้สามจะไม่รับไว้จริง ๆ เหรอ?” จี้อวิ๋นอวิ๋นหรี่ตามองเธอ
“เหรินเหรินกับน้อง ๆ มีเสื้อผ้าใส่มากพอแล้ว มันคงจะเป็นเรื่องที่เกินไปและสิ้นเปลืองหากจะให้พวกเขาน่ะจ้ะ” ซูตานหงบอกเสียงเรียบ
“พี่สะใภ้สามเปลี่ยนไปมากจริง ๆ เหมือนเป็นคนละคนเลยนะคะ ต่างกับพี่สะใภ้สามที่ฉันเคยรู้จัก” จี้อวิ๋นอวิ๋นเอ่ยขณะมองอีกฝ่าย
หล่อนกำลังคิด หรือว่าซูตานหงเองก็เหมือนกับหล่อน ตรงที่ได้เกิดใหม่?
ไม่สิ ซูตานหงเป็นคนอย่างไร ต่อให้เธอมีชีวิตใหม่ เธอก็ยังเป็นคนการศึกษาต่ำอยู่ หล่อนคาดหวังอะไรอยู่กันนะ?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ซูตานหงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย หากได้ยินคำพูดของจี้อวิ๋นอวิ๋นก่อนจะเห็นสายตาของอีกฝ่าย เธอคงรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย
ตอนนี้เธอมีลูกชาย 3 คนแล้ว ซึ่งเธอเป็นคนคลอดพวกเขาออกมาด้วยตนเอง ส่วนอีกฝ่ายเป็นแค่คนนอก เธอจึงไม่เก็บคำพูดของหล่อนมาใส่ใจนัก
“ฉันทำน้ำแกงค้างไว้ในครัว ไม่มีเวลามาเสวนากับเธอหรอกจ้ะ” ซูตานหงเอ่ยอย่างเฉยชา