ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย [ 农女致富记 ] - บทที่ 1538 กลั่นแกล้งอีกแล้ว
บทที่ 1538 กลั่นแกล้งอีกแล้ว
…………….
บทที่ 1538 กลั่นแกล้งอีกแล้ว
ซูจือเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นน้องสาวของเขาเอ่ยคำนี้ออกมา เขาก็ได้แต่พึมพำเพียงคนเดียว
ฮูหยินซูคงจะมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับซูหมิ่นโดยคิดในใจว่าของขวัญเพิ่งเปลี่ยน ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วนางจึงไม่สามารถมอบของเล็ก ๆ ให้ได้ และการได้รับเครื่องประดับมากมาย โดยทั่วไปแล้วถือว่าไม่ธรรมดาเลย
มันเป็นเพียงของขวัญแสดงความยินดี แต่คำพูดของซูเฉี่ยนเยว่ก็กระตุ้นความคิดมากมาย ซึ่งทำให้แผนการเดิมของฮูหยินซูหยุดชะงัก
“สิ่งของของเฉี่ยนเยว่นั้นประณีตและสวยงาม ถ้าพูดอย่างนั้นจะเป็นการทำให้ท่านจวิ้นจู่เห็นเป็นเรื่องตลก” ฮูหยินซูดูอายเล็กน้อย มองไปที่ลูกสาวคนนี้ที่อุทิศตัวให้กับจวิ้นจู่
“ท่านแม่ ท่านพี่หมิ่นไม่คิดอย่างนั้น ท่านพี่หมิ่นรู้ว่าท่านแม่ใจดีกับนาง” ซูเฉี่ยนเยว่ยังคงพูดอย่างเมินเฉย ทำให้ฮูหยินซูหวาดกลัวจนไม่รู้จะตอบอย่างไร
เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่ลูกสาวของนางเองต้องทำให้ถึงจุดนั้น
ควรทำอย่างไร ถ้าซูหมิ่นมีความคิดอื่น
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ฮูหยินซูก็รู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลังอีกครั้ง
นางหันศีรษะไปมองซูจือเยว่ผู้ซึ่งเงียบมาตลอด และเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของเขา นางรู้ว่าความคิดในครั้งนี้ถูกทำลายโดยซูเฉี่ยนเยว่อีกครั้ง
“ท่านหมิงตูจวิ้นจู่ ข้ายังต้องไปทักทายแขกที่โต๊ะตรงนั้น ขอให้ท่านสนุก” หลังจากพูดจบ ซูจือเยว่ก็หันหลังกลับและเตรียมจะจากไป แต่ซูหมิ่นหยุดเขา “พี่จือเยว่ ท่านอย่าเพิ่งไป”
เมื่อได้ยินนางเอ่ยรั้งไว้ ซูจือเยว่ก็มองกลับมาที่นางด้วยแววตาสงสัย ซูหมิ่นชำเลืองมองคุณหนูทุกคนที่อยู่ตรงนั้นและพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่นี้ ก่อนที่บทกวีเจ็ดก้าวจะเริ่มขึ้นก็บอกไปแล้วว่าหมิ่นเอ๋อร์จะเข้าร่วมเป็นเพียงโยนอิฐเพื่อล่อให้โยนหยก*[1] จุดสนใจของวันนี้คือท่านเสี้ยนจู่อันผิง เพียงรอให้ท่านเสี้ยนจู่อันผิงนำเสนอการแสดงที่ทำให้เราทุกคนได้ประทับใจ”
ในที่สุดกู้เสี่ยวหวานก็เข้าใจว่าทำไมซูหมิ่นจึงเข้าร่วมในบทกวีเจ็ดก้าว
นางเข้าร่วมรายการนี้ตั้งแต่เริ่มต้น ทำให้หลายคนอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความสนใจกับรายการนี้มากขึ้นโดยธรรมชาติ ซูหมิ่นเป็นที่หนึ่ง ดังนั้นนางจึงเป็นที่หนึ่งโดยธรรมชาติ ถ้ากู้เสี่ยวหวานแสดงรายการนี้อีกครั้ง มันคงเป็นเรื่องตลก
ซูหมิ่นผู้นี้คิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะต้องแสดงรายการนี้ ดังนั้นก่อนที่นางจะแสดง นางจึงได้ปิดกั้นทางเดินอื่นของกู้เสี่ยวหวาน ดังนั้นกู้เสี่ยวหวานจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องค้นหาเส้นทางอื่น
แต่เด็กสาวจากชนบทที่ไม่มีความรู้ นอกเหนือจากหนังสือสองสามเล่มที่เคยอ่านและสมองที่ดีแล้ว บทกวี เพลงอื่น ๆ ก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย
กู้เสี่ยวหวานถอนหายใจอย่างเย็นชา ซูหมิ่นคนนี้ทำทุกอย่างเพื่อให้นางขายหน้าจริง ๆ
เมื่อเห็นซูหมิ่นทำให้พี่สาวของตัวเองลำบาก ถานอวี้ซูก็ลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบเพื่อเผชิญหน้ากับซูหมิ่นและพูดว่า “ซูหมิ่น ท่านก็รู้ว่าท่านพี่ของข้ามาจากชนบท และเกรงว่าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แล้วทำไมท่านถึงต้องทำให้ท่านพี่สาวของข้าลำบากด้วยล่ะ”
ซูหมิ่นเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “โอ้ ข้าไม่รู้จริง ๆ ข้าจึงกลายเป็นวายร้ายอีกแล้วอย่างนั้นหรือ? ถ้าท่านเสี้ยนจู่อันผิงทำไม่ได้จริง ๆ ไม่อย่างนั้นท่านก็ลองพูดมาว่าทำอะไรไม่ได้บ้าง ครั้งต่อไปที่ตระกูลหวงหรือตระกูลหลิวจัดงาน ถ้าท่านเสี้ยนจู่อันผิงไม่พูดออกมาว่าทำอะไรไม่ได้บ้าง เกรงว่าคราวหน้าคงจะมีคุณหนูมาขอให้ท่านเสี้ยนจู่อันผิงแสดงอีกครั้ง มาทำให้ชัดเจนในครั้งนี้กันเถอะ ทุกท่านได้ยินชัดแล้วใช่ไหม คราวหน้าอย่าทำให้ท่านเสี้ยนจู่อันผิงต้องลำบากอีก ทุกท่านได้ยินชัดเจนแล้วใช่ไหม”
“ชัดเจนแล้ว” ผู้หญิงบางตอบติดตลกพร้อมกับปิดปากด้วยผ้าเช็ดหน้าและหัวเราะเบา ๆ สายตาแสดงถึงความเหยียดหยาม
“ซูหมิ่น ท่านก็รู้ว่าท่านพี่ของข้าโตมาอย่างไร การที่ท่านทำเช่นนี้มันน่าเกลียดเกินไป” ปลายนิ้วของถานอวี้ซูสั่นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ แต่นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ดังนั้นจึงได้แต่ชี้ไปที่ซูหมิ่น มองมาที่นาง นางอยากจะก้าวไปข้างหน้าและฉีกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของซูหมิ่นออก
ซูจือเยว่ที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันขมวดคิ้ว ซูหมิ่นทำให้สิ่งต่าง ๆ ยากสำหรับนาง และซูจือเยว่ต้องการที่จะเปิดปากเพื่อช่วยนาง แต่เมื่อนึกถึงอารมณ์และนิสัยของซูหมิ่น ถ้าเขาเปิดปากช่วยนางจริง ๆ ล่ะก็…
เหงื่อไหลหยดย้อยลงจากหน้าผากของซูจือเยว่ เมื่อเห็นลูกชายของนางมีท่าทางลำบากใจ ฮูหยินซูรีบก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ท่านจวิ้นจู่ ถ้าท่านเสี้ยนจู่อันผิงร้องเพลงและเต้นรำไม่เก่งก็ช่างมันเสียเถอะ เราได้เตรียมการแสดงไว้มากมาย ซึ่งทั้งหมดนี้ยอดเยี่ยมมาก เมื่อถึงเวลานั้น ท่านจวิ่นจู่จะต้องพึงพอใจอย่างแน่นอน”
ซูหมิ่นยิ้มเบา ๆ “ฮูหยินซู หมิ่นเอ๋อร์ไม่เคยทำให้ท่านเสี้ยนจู่อันผิงลำบากใจ ตราบใดที่ท่านเสี้ยนจู่อันผิงพูดว่าอะไรที่นางทำไม่ได้ วันนี้ข้าก็จะบอกคุณหนูทุกคนในเมืองหลวงว่า ต่อจากนี้ไป นางจะไม่อนุญาตให้ท่านเสี้ยนจู่อันผิงทำการแสดงใด ๆ ข้าทำสิ่งนี้เพื่อช่วยท่านเสี้ยนจู่”
สิ่งที่ซูหมิ่นพูดนั้นถือเป็นคำศักดิ์สิทธิ์ แต่การพูดในที่สาธารณะว่านางทำอะไรไม่เป็นเลย นั่นจะไม่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะตัวเองหรอกหรือ?
ซูจือเยว่กำมือแน่นภายใต้แขนเสื้อ เส้นเลือดบนข้อมือของเขาปูดโปนและดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ
ซูเฉี่ยนเยว่ปรบมือและพูดด้วยรอยยิ้มในขณะนี้ “ใช่แล้วท่านแม่ ท่านพี่หมิ่นกำลังทำเพื่อประโยชน์ของท่านเสี้ยนจู่อันผิง วันนี้ถ้านางพูดว่าทำอะไรไม่เป็นบ้าง ท่านพี่หมิ่นจะบอกคุณหนูทุกคนในเมืองหลวงว่าอย่าทำอะไรให้นางลำบากใจ”
การบังคับคนอื่นให้ยอมรับในที่สาธารณะว่าไร้ความสามารถ ถ้าไม่ใช่การกลั่นแกล้งแล้วจะคืออะไร
ซูหมิ่นคิดว่ากู้เสี่ยวหวานจะเล่นบทกวีเจ็ดก้าวไม่เป็น นั่นเป็นการทำให้รู้ว่านางทำอะไรไม่เป็นอีก
กู้เสี่ยวหวานหลับตาและหายใจเข้ายาว ๆ
พฤติกรรมแบบนี้ ในมุมมองของถานอวี้ซูเป็นเรื่องที่น่าเสียใจและน่าเห็นใจอย่างยิ่ง
นางลุกจากที่นั่ง เดินไปด้านหน้าจับมือกู้เสี่ยวหวานและพูดอย่างหนักแน่นว่า “ท่านพี่ไปกันเถอะ เนื่องจากงานเลี้ยงนี้ไม่ต้อนรับเรา เช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ”
ถานอวี้ซูเป็นคนรักษาคำพูด เดิมทีแล้วนางไม่ต้องการมา แต่นางต้องการให้ท่านพี่มาสัมผัสบรรยากาศ นางไม่คาดคิดว่าประสบการณ์นี้จะทำให้ท่านพี่ของนางต้องทนทุกข์จากความอับอาย
หลังจากพูดจบ นางกำลังจะบอกลาฮูหยินซู กู้เสี่ยวหวานก็ดึงนางและพูดด้วยรอยยิ้ม “จะไปไหนล่ะ ในเมื่อท่านหมิงตูจวิ้นจู่ต้องการให้ข้าแสดง ถ้าข้าไม่แสดง ข้ากลัวว่าหมิงตูจวิ้นจู่จะผิดหวังมาก”
*[1] อุปมาว่า ใช้ความคิดเห็นที่ตื้น ๆ เพื่อล่อให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นที่ลึกซึ้งและเฉียบแหลมออกมา
…………….