ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย [ 农女致富记 ] - บทที่ 1529 ไร้ความเหมาะสม
บทที่ 1529 ไร้ความเหมาะสม
…………….
บทที่ 1529 ไร้ความเหมาะสม
หลังจากได้ฟังคำแนะนำของกู้เสี่ยวหวาน ทุกคนก็มองไปที่ดอกเบญจมาศดอกนั้น เวลานี้ดอกเบญจมาศยังอยู่ในช่วงเวลาของการออกดอก จริง ๆ ก็เหมือนกับดอกบัวสีม่วง
“หืม? ข้าไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไร ดังนั้นที่เจ้าพูดมาตกลงว่าพูดถูกแล้วใช่ไหม หรือมันก็แค่เหมือนดอกบัวแค่นั้น ตกลงแล้วเรียกว่าดอกเบญจมาศหรือไม่ ทำไมข้ารู้สึกไม่อยากเชื่อเจ้าเลย”
ซูหมิ่นเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ยอมรับว่านางผิด แต่แทนที่จะยกเหตุผลขึ้นมา กลับยิ่งรู้สึกโกรธเกลียดมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถานอวี้ซูกลับอยู่ข้าง ๆ เพื่อปกป้องกู้เสี่ยวหวานตลอด ซูหมิ่นจึงไม่กล้าทำอะไรกู้เสี่ยวหวาน
แต่ว่าความเกลียดชังในใจนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“แม่นางคนนี้ไม่ได้พูดผิด ดอกเบญจมาศนี้เรียกอีกอย่างว่าโม่จวี๋” ในขณะที่ซูหมิ่นกำลังคิดวิธีที่จะกลั่นแกล้งกู้เสี่ยวหวานนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากด้านหลัง
เมื่อได้ยินเสียงนี้ กู้เสี่ยวหวานเห็นว่าดวงตาของซูหมิ่นเป็นประกายขึ้นมา ทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับไปมอง เมื่อหญิงที่สาวรายล้อมอยู่ด้านหลังซูหมิ่นเห็นเช่นนั้นก็รีบถอยออกไปข้าง ๆ ทันทีจนเกิดช่องว่าง เผยให้เห็นชายร่างสูงในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาวยืนอยู่ที่ประตูสวนและมองมาทางด้านนี้
คนที่ปรากฏอยู่นั้นก็คือซูจือเยว่
ทันใดนั้น ความตึงเครียดบนใบหน้าของซูหมิ่นพลันหายไปทันที และถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์บนใบหน้าที่งดงาม น้ำเสียงหวาน ๆ ตะโกนเรียกพี่จือเยว่หนึ่งเสียง พร้อมเดินไปหาอีกฝ่าย
เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา รอยยิ้มที่เคยมีบนใบหน้าของซูเยว่จือก็หายไป และทักทายด้วยมารยาท “คารวะหมิงตูจวิ้นจู้”
“พี่จือเยว่ ข้าเคยบอกท่านนานแล้ว ถ้าพบหมิ่นเอ๋อร์ไม่ต้องแสดงความเคารพ” ซูหมิ่นยิ้มพลางรีบยื่นมือออกไปประคองซูจือเยว่
แต่ซูจือเยว่กลับก้าวถอยหลังเล็กน้อยอย่างใจเย็น ปล่อยให้มือของซูหมิ่นที่ยื่นมานั้นค้างอยู่กลางอากาศ เขาประสานมือไว้ที่หน้าอกพร้อมพูดว่า “จวิ้นจู่นั้นใจดี เพียงแต่จะเสียมารยาทไม่ได้”
เพียงหนึ่งประโยคก็แยกความสัมพันธ์ระหว่างซูจือเยว่และซูหมิ่นได้แล้ว เมื่อเห็นแววตาของซูหมิ่นฉายแววความเศร้าและความโกรธ แต่กลับถูกปกปิดไว้ในชั่วพริบตา พร้อมกับเสียงหวานที่เอ่ยขึ้น “พี่จือเยว่ ท่านเข้ามาได้ถูกจังหวะพอดี หมิ่นเอ๋อร์และเสี้ยนจู่กำลังพูดถึงดอกเบญจมาศ ท่านมาตัดสินหน่อยว่า ตกลงแล้วหมิ่นเอ๋อร์ถูกหรือเสี้ยนจู่ถูก”
เมื่อครู่ที่อยู่ด้านนอก ซูจือเยว่ยังได้ยินกู้เสี่ยวหานพูดถึงดอกเบญจมาศสีดำ เมื่อได้ยินว่าเด็กสาวคนนี้รู้จักมันเป็นอย่างดีก็เกิดความรู้สึกสงสัย จึงเดินเข้าไปข้างในโดยไม่รู้ว่าเป็นคำพูดของเสี้ยนจู่ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของซูหมิ้นเมื่อครู่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกประหลาดใจ
เขาจึงรีบหันไปทางกู้เสี่ยวหวาน แต่น่าเสียดายที่ถานอวี้ซูบังกู้เสี้ยวหวานที่อยู่ด้านข้าง จึงทำให้เห็นางไม่ได้ชัดเจน
หัวใจของซูจือเยว่กำลังโลดเต้นราวกับมีกวางน้อยกระโดดไปกระโดดมาอยู่ในใจ ความใจร้อนโหยหาฉายออกมาในแววตานั้น ทำให้เขาก้าวไปหากู้เสี่ยวหวานโดยไม่สนใจซูหมิ่นที่ประจบเขาอยู่ตลอดแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นซูจือเยว่เดินออกไปโดยไม่สนใจไยดี สายตาของซูหมิ่นก็ฉายแววอาฆาต นางรีบก้มหน้าลงและเดินตามหลังซูจือเยว่ไปติด ๆ
ซูจือเยว่รีบเดินเข้ามาหาถานอวี้ซูพร้อมแสดงความเคารพถานอวี้ซู
หลังจากยืนขึ้น จึงพบหญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีขาวนวลอยู่ตรงหน้า สีสันของดอกไห่ถังที่งดงาม สง่างามโดดเด่น ทำให้ใครที่ได้พบเห็นนั้นยากที่จะลืม
เป็นนาง… เป็นนางจริง ๆ!
ความชื่นชมในดวงตาของซูจือเยว่ทำให้กู้เสี่ยวหวานเกิดความประหลาดใจ ทำไมคนผู้นี้ถึงมองนางเช่นนี้
ซูหมิ่นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองดูอย่างเงียบ ๆ ด้วยรอยยิ้มโง่เขลาบนใบหน้า นางมองซูจือเยว่และกู้เสี่ยวหวานด้วยสายตาเคียดแค้นราวกับมีเลือดออกในใจ เมื่อใดกันที่พี่เยว่จือมองนางเช่นนี้
เมื่อพบนาง บนใบหน้าเขามักจะมีรอยยิ้มที่ดูห่างเหินและไม่เคยยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน แต่ตอนนี้สิ่งที่นางต้องการ สิ่งที่นางคาดหวัง ผู้หญิงอีกคนกลับได้ไปอย่างง่ายดาย
ซูหมิ่นจ้องมองด้วยสายตาโกรธเกลียด ในใจนั้นเกลียดจนอยากจะฉีกกู้เสี่ยวหวานออกเป็นชิ้น ๆ
“คุณชายซู ท่านพี่ของข้าบอกว่านี่คือโม่จวี๋ แต่หมิงตูจวิ้นจู่บอกว่าไม่ใช่ ข้าขอถามคุณชายซูว่าตกลงแล้วใช่หรือไม่ใช่” ถานอวี้ซูเห็นซูจือเยว่มองกู้เสี่ยวหวานเช่นนี้ ในใจก็เกิดความไม่สบายใจจึงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อบังกู้เสี่ยวหานไว้ด้านหลังตน
เมื่อมองไม่เห็นกู้เสี่ยวหวาน ซูจือเยว่จึงได้สติกลับมา ไม่รู้ว่าท่าทางของตนเมื่อครู่นั้นไม่เหมาะสมจึงรีบมองไปที่ซูหมิ่นพร้อมพูดว่า “ที่เสี้ยนจู่พูดเมื่อครู่นั้นไม่ผิด ดอกเบญจมาศนี้จริง ๆ แล้วเมื่อดอกเริ่มบานจะเรียกว่าโม่จวี๋ จะมีรูปทรงคล้ายดอกบัว”
ใบหน้าของซูหมิ่นมีรอยยิ้มหวานประดับหน้า เมื่อเห็นว่าซูจือเยว่มองมาที่ตน ใบหน้าของนางก็ขึ้นสีแดงทันทีและพูดอย่างเขินอายว่า “อ๋อ เป็นหมิ่นเอ๋อร์ที่จำผิดแล้ว เดิมทีพี่จือเยว่เคยบอกให้หมิ่นเอ๋อร์ดู เสี้ยนจู่อันผิงนั้นยอดเยี่ยม ดอกเบญจมาศสายพันธุ์ใดในสวนนี้ล้วนบอกได้”
“ดอกไม้พันธุ์อะไรในสวนนี้ท่านก็รู้หมดทั้งนั้น”
ซูเยว่จือได้ฟังเช่นนั้น ดวงตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม กู้เสี่ยวหวานเห็นแล้วรู้สึกประหลาดใจ กวาดสายตามองซูจือเยว่อย่างรวดเร็ว สายตาเช่นนี้ นางจะไม่คุ้นเคยได้อย่างไร
ยามที่ฉินเย่จือมองนางก็มีสายตาชื่นชมเช่นนี้
ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานกวาดมองไปที่ซูหมิ่นและซูจือเยว่ ทันใดนั้นก็มีเสียงเตือนดังขึ้นในใจ
หรือว่าซูเยว่จือผู้นี้และซูหมิ่นผู้นี้…
ใบหน้าของซูหมิ่นที่ดูเศร้าและโกรธเช่นนี้ กำลังตั้งตัวเป็นศัตรูของนางแน่ ๆ
ความคิดนี้แวบผ่านเข้ามาในหัวของกู้เสี่ยวหวานอย่างรวดเร็ว ที่ซูหมิ่นตั้งตนเป็นศัตรูกับนาง จู่ ๆ ในใจก็มีอีกความคิดหนึ่ง
หรือว่าซูหมิ่นผู้นี้ตั้งตนเป็นศัตรูกับนางเพียงเพราะซูจือเยว่
แต่ว่าซูจือเยว่ผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเคยพบกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทำไมเขาถึงมองนางเช่นนี้
กู้เสี่ยวหวานก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วและหยุดความคิดที่อยู่ในใจลง ถ้าเป็นเช่นนี้จริง…
“คำพูดของคุณชายซูเมื่อครู่ ข้าเป็นเพียงสาวบ้านนอกธรรมดา ข้าอยู่กับดอกไม้ก้อนหินดินโคลนมาตั้งแต่เด็ก สิ่งเหล่านี้ข้าก็เคยเห็นมาบ้าง ดังนั้นจึงรู้จักชื่อของพวกมัน”
กู้เสี่ยวหวานกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งเพื่อเว้นระยะห่างและนอบน้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้
“คาดไม่ถึงว่าเสี้ยนจู่จะเป็นผู้รอบรู้เช่นนี้ ข้าขอชื่นชม ชื่นชมจริง ๆ ซูจือเยว่ไม่ได้มองท่าทีเหินห่างที่กู้เสี่ยวหวานแสดงออกมา ในใจของเขามีเพียงความรู้สึกตื่นเต้น
การพบนางแค่แวบเดียวที่ข้างวัดกว่างหยวนก็ทำให้เขานั้นทำอะไรไม่ถูก แค่นั้นก็ทำให้เขารู้ฐานะของนางแล้ว
…………….