ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย [ 农女致富记 ] - บทที่ 1528 โม่เหอ
บทที่ 1528 โม่เหอ
…………….
บทที่ 1528 โม่เหอ
“เมื่อจวิ้นจู่ชมดอกเบญจมาศก็คิดว่ามันสวยงามมาก ใคร ๆ ก็พูดว่านายน้อยจวนตระกูลซูเป็นคนรักดอกไม้ หลายปีมานี้เดินทางไปทั่วภูเขาแม่น้ำ และเก็บดอกเบญจมาศที่สวยงามมามากมาย พี่จือเยว่พูดอธิบายให้ข้าฟังนานแล้วว่าดอกเบญจมาศพวกนี้เอามาจากที่ไหนและมีชื่ออะไร วันนี้จวิ้นจู่อย่างข้าขอทดสอบเสี้ยนจู่อันผิงดูหน่อยว่าสิ่งที่เสี้ยนจู่อันผิงพูดกับสิ่งที่พี่จือเยว่พูด มันเหมือนกันหรือไม่” ใบหน้าของซูหมิ่นมีรอยยิ้มที่สวยงามเสมอราวกับว่ากำลังถามความเห็นของกู้เสี่ยวหวาน
เพียงแต่มีเจตนาร้ายที่แฝงอยู่ภายใต้สายตา กู้เสี่ยวหวานรู้ดีว่านางหมายถึงอะไร
อย่างไรก็ตาม ก็แค่ต้องการดูว่าสิ่งทีกู้เสี่ยวหวานพูดเป็นความจริงหรือไม่
นายน้อยจวนตระกูลซูเป็นคนที่มีความรู้และความสามารถมากมาย สิ่งที่เขาพูดจะผิดได้อย่างไร
แน่นอนว่านางอยากเห็นกู้เสี่ยวหวานเสียหน้า
คุณหนูที่ดูดอกไม้อยู่รอบ ๆ ล้วนหันหน้าเดินมาทางนี้ และในพริบตาเดียวก็ล้อมกู้เสี่ยวหวานและซูหมิ่นไว้ตรงกลาง เพียงแต่คนส่วนใหญ่ยืนอยู่หลังซูหมิ่นกันหมด และมองกู้เสี่ยวหวานด้วยรอยยิ้มเยาะราวกับว่ารอดูกู้เสี่ยวหวานขายขี้หน้า
กู้เสี่ยวหวานยิ้มบาง ๆ และแกว่งนิ้วที่เรียวยาว “จวิ้นจู่โปรดสอนข้าด้วย”
รอยยิ้มบาง ๆ นั้น ไม่ได้ใส่ใจการข่มขู่ของซูหมิ่นเลยสักนิด
ยิ่งไม่สนใจเช่นนี้ ซูหมิ่นก็ยิ่งเคียดแค้นมากกว่าเก่า
นางพยายามระงับความโกรธในใจอย่างเต็มที่ และชี้ไปที่มือเรียวยาวที่ทาเล็บสีแดงมา “เสี้ยนจู่ ลองบอกมาสิว่านี่คือดอกอะไร มีต้นกำเนิดจากที่ไหน”
ใต้แสงตะวัน มีดอกเบญจมาศสีชมพูที่เพิ่งผลิบาน กลีบดอกบานออกเหมือนนกที่กำลังจะโบยบินอยู่ภายใต้แสงตะวัน
“ดอกนั้นมีชื่อว่า ชิงเตี้ยนเชียนเหนี่ยว” กู้เสี่ยวหวานแยกริมฝีปากสีแดงออกและพูดเบา ๆ
“โอ้ ทำไมถึงเลือกชื่อนี้” ซูหมิ่นขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำตอบของนาง และถามต่อไปโดยตั้งใจว่าจะไม่ปล่อยกู้เสี่ยวหวานไป
“กลีบของมันบานออกเหมือนปีกของนกที่พร้อมจะโบยบิน ดังนั้นจึงเรียกว่าชิงเตี้ยนเชียนเหนี่ยว”
สีหน้าซูหมิ่นไม่ค่อยดีนัก แต่ต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรและพูดต่อ “เสี้ยนจู่อันผิงเก่งจริง ๆ ตอบถูกแล้ว”
ถานอวี้ซูยิ้มอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าที่ภูมิใจ แค่ชื่อแรกพี่สาวก็ตอบถูกแล้ว
เมื่อซูหมิ่นเห็นถานอวี้ซูหัวเราะอย่างชอบใจ ก็ถอนหายใจอย่างเย็นชา “เพิ่งตอบถูกแค่ชื่อเดียวเท่านั้น จะภูมิใจอะไรนักหนา”
ถานอวี้ซูก็ไม่ยอมแพ้และรีบพูดว่า “หมิงตูจวิ้นจู่ ท่านพี่ของข้าได้บอกชื่อของดอกเบญจมาศทุกชนิดให้ข้าฟังหมดแล้ว เมื่อครู่ก็บอกว่าชิงเตี้ยนเชียนเหนี่ยว ไม่รู้ว่าหมิงตูจวิ้นจู่จะถามชนิดไหนอีก”
หมิงตูจวิ้นจู่ทำเสียงไม่พอใจและชี้ไปที่ดอกไม้อย่างตามใจ กู้เสี่ยวหวานก็ตอบได้อย่างทันท่วงที ถามแล้วถามอีก แต่กู้เสี่ยวหวานก็ตอบถูกหมดจนทุกคนตกใจ เมื่อเห็นสีหน้าของหมิงตูจวิ้นจู่มืดมิดขึ้นเรื่อย ๆ ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ก็ยิ่งชอบใจ
ดูเหมือนเสี้ยนจู่อันผิงผู้นี้จะตอบถูกหมดเลย
คนผู้นี้รู้จักชื่อของดอกเบญจมาศจำนวนมากมายเหล่านี้ได้อย่างไร
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเคยเห็นมาหมดแล้ว
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ว่าในใจคนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าหากรู้ล่ะก็… นางจะต้องเยาะเย้ยพวกเขาแน่นอน ไม่เพียงแค่เคยเห็นมาก่อน แต่นางเข้าชมดอกเบญจมาศทุกปี และดอกเบญจมาศที่นางเคยเห็นก็มีมากกว่าตอนนี้หลายสิบเท่า ตรงนี้มันถือว่าน้อยมาก
ซูหมิ่นถามทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ แต่กู้เสี่ยวหวานก็ตอบได้ทันที ใบหน้านิ่ง ๆ ที่สง่างามไม่เป็นสองรองใครจริง ๆ
ในทางกลับกัน ซูหมิ่นกลับยิ่งกังวลและยิ่งรำคาญใจมากยิ่งขึ้น
“แล้วอันนั้นล่ะ” ซูหมิ่นชี้ไปที่กระถางดอกเบญจมาศสีเข้มด้วยความโมโห หากไม่ใช่เพราะทาแป้งมาหนา ๆ เกรงว่าตอนนี้หน้าคงเปลี่ยนเป็นสีแดงไปแล้ว
กู้เสี่ยวหวานมองไปตามสายตาของนาง แต่ก็ไม่เห็นอะไรจนกระทั่งนางเปลี่ยนมุมจึงเห็นว่ามันซ่อนอยู่ท่ามกลางดอกเบญจมาศสีแดง สีขาว สีเหลือง และยังมีช่อดอกเบญจมาศสีเข้ม นางยืนอยู่ท่ามกลางดอกเบญจมาศเหล่านั้นอย่างไม่ถอยออกมา มันช่างดูโดดเด่นเหมือนหงส์ดำ
เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานไม่เห็นกระถางดอกเบญจมาศใบนั้น ซูหมิ่นก็มีความสุขจนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างพอใจ “ฮู้กั๋วจวิ้นจู่ เมื่อครู่เสี้ยนจู่อันผิงบอกเจ้าไปแล้ว ดอกเบญจมาศชนิดนี้เรียกว่าอะไร”
เมื่อครู่ถานอวี้ซูก็ไม่เห็นดอกเบญจมาศดอกนี้ และกู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้บอก เมื่อเห็นซูหมิ่นทำท่าทางที่ภูมิใจเช่นนี้จึงพูดว่า “พวกข้ามองไม่เห็น”
กู้เสี่ยวหวานไม่ได้บอกชื่อดอกเบญจมาศนี้ นางก้มหน้าแล้วทำท่าทางเหมือนกำลังคิดอยู่ ซูหมิ่นจึงหัวเราะอย่างขบขัน “โอ้ มองไม่เห็นหรือว่าไม่รู้จักกันแน่ แสร้งทำเป็นไม่เห็น ถ้าไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเสี้ยนจู่อันผิงรู้จักชื่อมากขนาดนี้แล้ว”
ตอนนี้กู้เสี่ยวหวานก้มหน้าและกำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรดี
นางรู้ว่าดอกนี้ชื่ออะไร แต่ว่าถ้านางยังถามและตอบไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ซูหมิ่นผู้นี้ไม่ยอมจบเรื่องแน่ ๆ
เมื่อนึกได้เช่นนี้ กู้เสี่ยวหวานจึงแสร้งทำเป็นไม่แน่ใจ และเงยหน้าแล้วบอกว่า “โม่เหอ”
“เจ้าว่าอะไรนะ” สีหน้าของซูหมิ่นชอบใจมากจนแม้แต่ตาก็เป็นประกาย ไม่รอให้กู้เสี่ยวหวานพูดต่อ นางก็ตัดสินแล้ว “เจ้าบอกว่านี่คือโม่เหอ ฮ่า ๆ เสี้ยนจู่อันผิง นี่เห็นได้ชัด ๆ ว่าเป็นดอกเบญจมาศ ทำไมเจ้ายังบอกว่ามันคือโม่เหอ ฮ่าฮ่าฮ่า ครั้งนี้เจ้าตอบผิดแล้ว”
ซูหมิ่นมองหาความผิดพลาดของกู้เสี่ยวหวานมาโดยตลอด ครั้งนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะจับความผิดพลาดของกู้เสี่ยวหวานได้ จึงรีบหัวเราะขึ้นมาทันที “คิดว่าเสี้ยนจู่อันผิงจะเก่งจริง แต่แค่สายตาก็ไม่ดีแล้ว เห็นดอกเบญจมาศเป็นดอกบัว”
เมื่อเห็นว่าในที่สุดกู้เสี่ยวหวานก็ตอบผิดแล้ว ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ก็พากันหัวเราะเยาะเย้ยกู้เสี่ยวหวาน “ถูกต้อง เสี้ยนจู่อันผิงมีสายตาแบบไหนกัน นี่เห็นได้ชัด ๆ ว่าเป็นดอกเบญจมาศ”
“ดูเหมือนว่าสายตาของเสี้ยนจู่อันผิงไม่ค่อยดีเท่าไร”
ทุกคนก็เอ่ยเยาะเย้ยเช่นเดียวกันกับซูหมิ่น แต่กู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้ใส่ใจ ใบหน้าของนางยังมีรอยยิ้มบาง ๆ แต่คำที่นางพูดต่อจากนี้กลับทำให้ซูหมิ่นพ่ายแพ้อย่างยับเยิน “หมิงตูจวิ้นจู่ ไม่รู้ว่าสาวชาวบ้านอย่างข้าพูดผิดหรือไม่ ดอกเบญจมาศชนิดนี้มีสีดำแดงที่แวววาว เรียกได้ทั้งโม่เหอและโม่จวี๋ ในระยะแรกดอกตูมจะเป็นสีม่วงเข้มเหมือนดอกบัว ดังนั้นจึงเรียกว่าโม่เหอ และในช่วงที่ดอกบาน กลีบดอกจะมีความบางจึงทำให้กลีบม้วน ตรงกลางเกสรสีจะไม่เข้มมาก และปลายกลีบจะมีลักษณะที่คดเคี้ยว ดอกมีขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือ มีทั้งสีแดงอมม่วงและสีม่วงอมดำ เกสรดอกจะหนาเหมือนผ้าไหมและมีสีดำเหมือนน้ำหมึก สีสันโดดเด่นมีชีวิตชีวาทำให้ดูมีเสน่ห์”
…………….