ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย [ 农女致富记 ] - บทที่ 1527 อิจฉาตาร้อน
บทที่ 1527 อิจฉาตาร้อน
บทที่ 1527 อิจฉาตาร้อน
พอคิดไปคิดมา กู้เสี่ยวหวานก็ชำเลืองมองไปที่ลานบ้านอย่างเงียบ ๆ บริเวณนั้นมีคุณหนูรวมตัวกันอยู่หลายกลุ่ม พูดคุยกันด้วยเสียงแผ่วเบา เมื่อครู่ก่อนที่จะเข้ามา ข้างในเต็มไปด้วยเสียงดังคึกครื้น แต่ตอนนี้เสียงนั้นหายไปแล้ว
อีกทั้งคนเหล่านั้นยังมองมาที่ตนเองเป็นครั้งคราว แม้ว่าจะเปลี่ยนไปมองทางอื่นอย่างรวดเร็ว แต่กู้เสี่ยวหวานนั้นยังเห็นว่าสายตาของคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความริษยา
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้จริง ๆ ว่าคนเหล่านี้อิจฉาอะไรนางกัน แต่ว่าสายตาแบบนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
เมื่อนึกเรื่องนี้ กู้เสี่ยวหวานก็ส่ายหัวเบา ๆ และดูถูกตนเองเล็กน้อย ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับนางจริง ๆ มันทำให้จิตใจนางตกอยู่ในสภาวะที่ตึงเครียดเสมอ ไม่กล้าแม้แต่จะผ่อนคลายเพราะเกรงว่าจะมีคนมาใส่ร้ายนาง
ช่างเถอะ ๆ ไปชมดอกเบญจมาศดีกว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงประสาทเสียแน่
กู้เสี่ยวหวานไม่คิดเรื่องเมื่อครู่อีก ดึงสายตากลับมาและเข้าไปชมดอกเบญจมาศพร้อมกับถานอวี้ซู
“ท่านพี่ ดอกเบญจมาศนี้สวยงามมาก แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันชื่ออะไร” ถานอวี้ซูพูดอย่างน่าเสียดาย
กู้เสี่ยวหวานชำเลืองมองและถามอย่างเบา ๆ “เจ้าไม่รู้จักดอกไหนหรือ?”
“ดอกนี้ ดอกนี้ ดอกนั้น และยังมีรอบ ๆ ตรงโน้น ข้าไม่รู้สักจักสักดอกเลย และไม่รู้ว่าจวนตระกูลซูไปเอาดอกเบญจมาศมากมายขนาดนี้มาจากไหน มันทำให้คนอิจฉาจริง ๆ เพียงแต่เสียดายที่ในนี้ไม่มีคนจวนตระกูลซูอยู่เลย ซูเฉี่ยนเยว่ผู้นั้นก็ถูกข้าทำให้ตกใจจนวิ่งหนีไปแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้นก็ถามพวกนางได้ว่าดอกไม้พวกนี้ชื่ออะไร มันงามมาก”
“นั่นคือชานเซวี่ยจิงหง นั่นคือเตี้ยนเจี้ยงฉุน ยังมีดอกนี้ฤดูใบไม้ผลิที่มีสีสันสวยงาม โบตั๋นดำ และหรงถูจู หรู่ชุ่ยชิวโบ๋ ซิวหนี่ว์ เซวี่ยนโม่ ไห่เซวี่ย” กู้เสี่ยวหวานใช้มือชี้ไปตรงที่ถานอวี้ซูชี้เมื่อครู่นี้ และบอกชื่อดอกไม้ทั้งหมดที่ถานอวี้ซูถามทีละดอกจนหมดทุกสายพันธุ์ภายในลมหายใจเดียว ท่าทางเหมือนคุ้นเคยราวกับว่ารู้นานแล้วว่าสิ่งเหล่านี้เรียกว่าอะไร
ถานอวี้ซูยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาดใจ พอถึงสุดท้าย ฟังถึงดอกสุดท้ายที่กู้เสี่ยวหวานพูดก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ตกตะลึงจนจ้องมองกู้เสี่ยวหวาน ไม่ง่ายเลยที่จะหาประโยคพูดได้ “ท่านพี่ ดอกไม้พวกนี้ท่านรู้จักหมดเลยหรือ”
กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าราวกับไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องใหญ่
นางเรียบจบด้านเกษตร พืชอะไรก็เคยเห็นมาหมดแล้ว ในนี้มีเพียงเบญจมาศไม่กี่ชนิด นางเคยเห็นเบญจมาศมากกว่านี้และราคาแพงกว่านี้
เมื่อได้ยินว่ามีคนชี้ไปที่กระถางดอกเบญจมาศหลายสิบกระถางและพูดชื่อออกมาทุกชนิด เหล่าคุณหนูที่อยู่รอบ ๆ ทั่วสี่ทิศก็มองมาทางนั้นอย่างตกตะลึง และมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง
เด็กผู้หญิงในหมู่บ้านคนนั้นรู้จักชื่อของดอกเบญจมาศทั้งหมดเลย
เป็นไปได้อย่างไร
เกรงว่านางไม่แม้แต่จะรู้ด้วยซ้ำว่าดอกเบญจมาศเป็นอย่างไร แล้วจะรู้ชื่อที่ล้ำค่าและมีชื่อเสียงเช่นนี้ได้อย่างไร
มีบางคนหันมาทางกู้เสี่ยวหวานอย่างประหลาดใจ ครั้นได้ยินกู้เสี่ยวหวานพูดชื่อดอกไม้พวกนี้ต่อ ทุกคนก็ไม่อยากจะเชื่อเลย
บางคนที่เคยเห็นกู้เสี่ยวหวานก็หันหน้าหนีและไม่มองนางอีกเพราะรู้สึกขยะแขยง
ความสามารถของนาง พวกนางรู้นานแล้ว นี่เป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
บางคนทนดูต่อไปไม่ได้จึงเข้าไปตะโกนว่า “ดอกไม้ที่ล้ำค่าและมีชื่อเสียงเหล่านี้ พวกข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยได้ยิน สิ่งที่นางพูด ใครจะเชื่อว่าเป็นความจริงหรือเป็นการพูดขึ้นมาเพียงเพื่อหลอกคนอื่น”
มีคนเหยียบย่ำกู้เสี่ยวหวาน และแน่นอนว่ามีคนเห็นด้วยจึงรีบพูดขึ้น “ถูกต้อง ถูกต้อง ดอกไม้เหล่านี้พวกข้าและคุณหนูสูงศักดิ์บางคนก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยได้ยินมาก่อน นางเป็นเพียงเสี้ยนจู่ที่มาจากชนบท จะรู้ดีมากกว่าพวกเราหรือ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพียงชื่อที่นางพูดขึ้นมาเองก็เป็นได้”
บางคนเริ่มสงสัยว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ได้ใส่ใจกับการเยาะเย้ยของพวกนางเลย แต่ยังบอกชื่อดอกไม้ให้ถานอวี้ซูต่ออย่างเงียบ ๆ
มีคนรวมตัวกันมาใกล้กู้เสี่ยวหวานและฟังที่นางพูดชื่อดอกไม้ต่อ
และยิ่งมีคนเข้ามาฟังมากขึ้น กู้เสี่ยวหวานไม่ได้แสดงความขี้ขลาดและความโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย นางสุภาพเรียบร้อยและในพริบตาเดียวผู้คนก็เข้ามาชื่นชม
“โอ้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีชาวสวนดอกไม้ท่ามกลางเหล่าคุณหนูเช่นนี้” ทันใดนั้นก็มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นมา กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องหันไปมองก็เดาได้ว่าคนผู้นี้คือใคร
“อ้าว หมิงตูจวิ้นจู่”
คุณหนูทั้งหลายที่อยู่ด้านข้างหันไปเคารพอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว กู้เสี่ยวหวานก็หันกลับมาเช่นกัน
วันนี้ซูหมิ่นมาเข้าร่วมด้วยชุดเต็มยศ สวมผ้าคลุมสีเขียวมรกตปักด้วยดอกไห่ถังสีทองลากยาวถึงพื้น กระโปรงปักด้วยลายใบไม้สีเขียวจากด้ายสีทอง ด้านนอกถูกคลุมด้วยผ้าโปร่งใสบาง ๆ สีเขียวขี้ม้า
จอนผมที่ห้อยลงมาถูกเสียบด้วยปิ่นหยกระย้าที่หุ้มด้วยไข่มุก ใบหน้างดงามจนไม่อาจหาผู้ใดเทียบ ดวงตาเรียวคู่นั้นมีเสน่ห์ แต่ก็น่าเกรงขาม ผมถูกมัดเป็นมวยอย่างสง่างาม และมีไข่มุกเม็ดเท่านิ้วก้อยที่ส่องแสงสว่างราวกับหิมะและเปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนเส้นผม
“เสี้ยนจู่อันผิงรู้จักดอกไม้มากมายจริง ๆ จวิ้นจู่อย่างข้าเคยมาจวนตระกูลซูหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยจำมันได้เลย เสี้ยนจู่อันผิงเปรียบเหมือนคนทำสวนในตระกูลซูจริง ๆ” ซูหมิ่นหยิบผ้าเช็ดหน้าในมือที่ปักด้วยด้ายสีทองขึ้นมาและพูดจาเยาะเย้ย
กู้เสี่ยวหวานได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองแต่อย่างใด จะกล่าวว่านางเป็นชาวไร่ที่ทำสวนปลูกดอกไม้ก็ไม่ผิด ชาติที่แล้วนางเป็นชาวนาทำงานอยู่กับโคลนตลอด ในชีวิตนี้ก็แต่งตัวเป็นชาวนาและทำงานอยู่กับโคลนอีก
ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานมักมีรอยยิ้มจาง ๆ เสมอ นางไม่รู้สึกอับอายหรือรำคาญแม้แต่น้อยเลยกับการเยาะเย้ยของหมิงตูจวิ้นจู่
ความไม่แยแสเช่นนี้ ทำให้ซูหมิ่นรู้สึกขัดหูขัดตาไม่น้อย
เดิมทีกู้เสี่ยวหวานงดงามมากอยู่แล้ว และวันนี้แต่งหน้าเบา ๆ ปัดคิ้วบาง ๆ ยิ่งทำให้รูปลักษณ์ที่งดงามดูสง่าขึ้นอีกสามเท่า
โดยเฉพาะรอยยิ้มตื้น ๆ บนใบหน้า สง่างามยิ่งนัก
ทั้งร่างกายสวมกระโปรงยาวสีขาวนวล ปลายแขนเสื้อปักลวดลายผีเสื้อที่มีสีสันสดใสสองตัว และชายกระโปรงมีดอกไห่ถังปักไว้อย่างสวยงาม ยิ่งทำให้นางดูโดดเด่นสวยสดงดงาม
บนศีรษะมีปิ่นปักผมที่ดูเรียบง่ายแต่งดงาม อีกทั้งไม่ได้สวมเครื่องประดับอะไรมากมาย แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูสง่างามมาก สง่างามอย่างไร้ที่ติ ทำให้ในสวนแห่งนี้เต็มไปด้วยสีสันเมื่อเทียบกับเหล่าคุณหนูข้าง ๆ ที่แต่งตัวงามหยาดเยิ้มอย่างเบาบาง
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ซูหมิ่นก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจ