ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย [ 农女致富记 ] - บทที่ 1506 ทุบตีลูก
บทที่ 1506 ทุบตีลูก
บทที่ 1506 ทุบตีลูก
ฟางสิงเจิ้งยกมือขึ้นมาและฟาดลงไปบนหน้าของฟางเพ่ยหยาทันที “ลูกสารเลว ไม่มีความเคารพ เจ้าสมควรโดนตี”
ทั่วบริเวณเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงฝ่ามือกระทบลงบนแก้มเนียนนุ่มของฟางเพ่ยหยา เกิดรอยฝ่ามือบนใบหน้าของฟางเพ่ยหย่าชัดเจน ใบหน้าที่ถูกแรกกระแทกหันไปด้านข้าง มีเลือดไหลซึมที่มุมปากเล็กน้อย
“ฟางเจิ้งสิง” ฮูหยินหลูเห็นว่าหลานสาวสุดที่รักของตนเองถูกทุบตี ต่อหน้าตนที่เป็นยายยังกล้าลงมือได้โหดเหี้ยมเช่นนี้ จึงทำให้ตนเองโกรธจนไม่สนใจฐานะของฟางเจิ้งสิงเลยสักนิด และแผดเสียงออกมาด้วยความโกรธ “นางเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลฟาง เจ้าช่วยคนใช้รังแกลูกสาวคนโตของเจ้า ใคร ๆ ก็พูดว่าฟางเพ่ยหยาอยู่ในตระกูลฟางไม่ได้รับความรัก ข้ายังคิดว่าฟางเพ่ยหยาเป็นลูกสาวของเจ้า ไม่ว่าจะรำคาญอย่างไร ก็คงไม่ชอบลูกสาวตัวเองขนาดนั้นหรอกกระมัง มาวันนี้ข้าตาสว่างแล้ว เพื่อนางบำเรอเพียงคนเดียว นึกไม่ถึงว่าจะทุบตีลูกสาว เจ้ามันก็แค่คนที่สนใจแต่นางบำเรอ”
คำพูดของฮูหยินหลูนั้นค่อนข้างรุนแรง จึงทำให้ฟางเจิ้งสิงรู้สึกหวั่นเกรงอยู่บ้าง
เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้น หากแต่ว่าฝ่ามือนี้มันได้ฟาดลงไปแล้ว
หลังจากทุบตีลูกสาวเสร็จ ก็พบว่าตนอยู่ในบ้านตระกลูหลู ไม่ใช่บ้านตระกลูฟาง จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอารมณ์เสีย แต่อย่างไรเสียตีก็ตีไปแล้ว และก็ถูกคนมากมายเห็นเขา ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังอยู่ที่บ้านตระกูลหลูและจะพาหลูเหวินซินไปได้หรือไม่ แน่นอนว่าคงพานางไปไม่ได้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงยกมือประสานไว้ที่อกอย่างรอบคอบและหันไปทางฮูหยินหลูแล้วพูดว่า “ฮูหยินหลู ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ขอตัวลาก่อน ถ้าเหวินซินคิดว่าการพักฟื้นอยู่ที่บ้านตระกลูหลูนั้นดีแล้ว เช่นนั้นก็ตามใจนาง หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ก็อย่าโทษบรรพบุรุษตระกูลฟางของข้า”
พูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อและเดินออกไป ไม่ได้อธิบายเรื่องที่ทุบตีฟางเพ่ยหยาเมื่อครู่เลยสักนิด
ฮูหยินหลูโกรธมาก นางชี้ไปที่ฟางเจิ้งสิงเตรียมจะสั่งสอนเขาให้หลาบจำ แต่ฟางเพ่ยหยาก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อรั้งนางไว้ พร้อมกะพริบตาให้นางด้วยใบหน้าดีอกดีใจ
เมื่อเห็นสีหน้าของหลานสาว ฮูหยินหลูกลืนทุกคำที่กำลังจะพูดกลับเข้าปาก
หลังจากที่ฟางเจิ้งสิงและหลิวซื่อเดินจากไป ฟางเพ่ยหยาเหมือนยกภูเขาออกจากอก และถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ไปได้เสียที” ฟางเพ่ยหยาพูดพร้อมกับถอนหายใจ
รอยฝ่ามือบนใบหน้าของฟางเพ่ยหยานั้นดูสะดุดตา มันทำให้ฮูหยินหลูรู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็น “เร็วเข้า รีบไปเอาที่ทาหน้าในห้องข้ามา”
เมื่อเห็นรอยฝ่ามือชัดเจนบนใบหน้าที่งดงามของฟางเพ่ยหยา ฮูหยินหลูแตะมันเบา ๆ พร้อมถอนหายใจ “คนเฮงซวย ทุบตีหลานของข้าต่อหน้าข้าเช่นนี้ ลับหลังข้า มันคงเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วสินะ”
ขณะพูด หยาดน้ำตาของฮูหยินหลูก็ไหลออกมา “เพ่ยหยา เจ้าและแม่ของเจ้านั่นต้องทนทุกข์มากสินะ”
ฟางเพ่ยหยาลูบไปที่ใบหน้าของนาง เมื่อเห็นว่าท่านยายมีท่าทางโศกเศร้า จึงรีบไปก้าวข้างหน้าเพื่อพูดปลอบใจว่า “ท่านยาย ข้าไม่เป็นไร มันไม่เจ็บเลย มันก็แค่เป็นรอยที่หน้าเท่านั้น”
“ทำไมเจ้าถึงไม่รู้จักหลบ เจ้าเด็กคนนี้ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าฟางเจิ้งสิงรักผู้หญิงคนนั้นมาก เจ้ายังไปทำให้เขาโกรธอีก”
ฮูหยินหลูพูดอย่างเป็นทุกข์ “เจ้าเป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ เป็นลูกสาวคนโตของตระกูลฟ่าง ฐานะสูงส่งเช่นนี้ ไม่เห็นจะต้องโต้เถียงกับฟ่างเจิ้งสิงในเรื่องนางบำเรอนั้นเลย แม่ของเจ้าจะต้องรับรู้เรื่องนี้”
“ท่านยาย อย่าเสียใจไป ข้าแค่ตั้งใจยั่วโมโหเขาเท่านั่น” ฟางเพ่ยหยาพูดด้วยความโกรธ “มาถึงพวกเขาก็เอาแต่บอกว่าจะพาท่านแม่ไป เพราะพวกเขาคงคิดว่าท่านแม่ของข้ากำลังจะตาย คนที่วางยาท่านแม่ พวกเราก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ถ้าให้ข้าเดา นอกจากหลิวซื่อแล้วล่ะก็… ไม่มีคนอื่นแล้วที่อยากจะให้แม่ข้าตายมาตลอด เพื่อที่นางจะได้มีโอกาสปีนขึ้นไปยังตำแหน่งนายหญิง ตอนที่รู้ว่าแม่ข้าป่วยหนัก เกรงว่านางคงดีใจมาก ที่พวกเขามาวันนี้ก็ต้องมีเจตนาไม่ดีแน่นอน”
คำพูดของฟางเพ่ยหยาทำให้ฮูหยินหลูได้สติ “เช่นนั้นที่เจ้าจงใจยั่วยุเขา เพียงเพื่อให้เขาตั้งใจทุบตีเจ้า จากนั้นพวกเขาก็จะยอมแพ้แล้วปล่อยแม่ของเจ้าไป”
“อืม” ฟางเพ่ยหยากำหมัดแน่น “อาการป่วยของท่านแม่สามารถรักษาให้หายได้ หากไม่มีผู้ใดพูด ฟางเจิ้งสิงกับหลิวซื่อก็ไม่มีวันได้รู้ คิดดูแล้วท่านหมอหลวงคงไม่ได้บอกใครเพื่อท่านแม่ เดิมทีแล้วต้องการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับแม้ว่าข่าวจะแพร่กระจายออกไปว่าแม่ของข้ากำลังจะตายก็ตาม พวกเราจะทำให้ข่าวรั่วไหลออกไปไม่ได้ คนวางยาตัวจริงรู้แค่ว่าท่านแม่กำลังจะตาย คนคนนั้นต้องดีใจเป็นอย่างมาก และอย่างไรเสียก็ต้องมาดูให้เห็นกับตาว่าท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง การที่เราซ่อนตัวท่านแม่ไว้ที่นี่นั้นเป็นเรื่องที่ดีแล้ว แต่ถ้าไปนางกลับไปที่ตระกูลฟาง ที่นั่นไม่มีสักคนที่เข้าข้างเรา เราอยู่ที่นั่นไม่ต่างไปจากปล่อยให้ท่านแม่เดินเข้าไปอยู่ในประตูนรก”
ดังนั้นนางจึงยอมถูกตบ และทำให้ฟางเจิ้งสิงกับหลิวซื่อพาแม่ของนางไปไม่ได้
ถ้าหากหลิวซื่อเป็นคนวางยาจริง ๆ นางก็คงจะรู้แล้วว่าสามารถรักษาอาการท่านแม่ได้ ดังนั้นไม่รู้ว่านางจะคิดแผนชั่วร้ายอะไรอีก
อาการป่วยของท่านแม่จะประมาทไม่ได้อีก คราวนี้แม้ว่าจะถูกคนตราหน้า แม้ว่าฟางเจิ้งสิงจะต้องการหย่ากับท่านแม่ นางก็จะไม่ปล่อยให้ท่านแม่กลับไปที่ตระกลูฟางอีก จะไม่ให้ใครมาทำร้ายท่านแม่อีก
“ท่านยาย ถ้าพวกเราอยู่ที่นี่ตลอดไป ท่านจะรังเกียจข้ากับท่านแม่หรือไม่” เมื่อฟางเพ่ยหยาคิดถึงเรื่องนี้จึงมองไปที่ฮูหยินหลูอย่างเป็นกังวลและถามอย่างไม่แน่ใจ
เมื่อฮูหยินหลูได้ฟังก็ตบไหล่ของฟางเพ่ยหยาเบา ๆ อย่างเศร้าสร้อย “เจ้าเด็กโง่ เจ้าพูดอะไรออกมา เจ้ากับแม่เจ้าก็อาศัยอยู่ที่ตระกลูหลูมาตลอดชีวิต ผู้ใดจะกล้ามาว่าเจ้า เจ้ากับแม่ของเจ้าเป็นลูกเป็นหลานของข้า เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ถ้าข้าไม่รักพวกเจ้าแล้วจะรักใคร ในเมื่อเจ้าคิดดีแล้วก็อยู่ที่นี่กับข้าเถอะ อยากอยู่ถึงไปถึงเมื่อไรก็ได้หรืออยู่ไปตลอดชีวิตก็ได้”
ฟางเพ่ยหยาพิงไหล่ยายที่น่ารักของนาง น้ำตาแห่งความสุขแทบจะเอ่อล้นออกมาจากดวงตา แต่ก็ทำได้เพียงกลั้นความรู้สึกของตนเองเอาไว้ “ท่านยาย ขอบคุณท่านมาก”
ในใจของฮูหยินหลูนั้นรู้สึกหวั่นไหว
ตอนนี้เพ่ยหยานั้นโตขึ้นและรู้จักคิดถึงเหวินซินแล้ว รู้ว่าต้องสู้กับหลิวซื่ออย่างไร ทั้งยังคิดวิธีทีที่ไม่ให้ฟางเจิ้งสิงนั้นพาเหวินซินไปได้
เพียงเหวินซินอยู่ที่บ้านตระกูลหลู พวกเขาจะดูแลนางเป็นอย่างดี เหวินซินจะดีขึ้นอย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้นจะไม่มีใครทำร้ายเหวินซินได้อีกต่อไป
อีกทั้งถ้าผ่านเรื่องราวเลวร้ายครั้งนี้ไป เพ่ยหยาก็จะเติบขึ้นอย่างรวดเร็ว จะมีความโง่เขลาไร้เดียงสาอย่างเมื่อก่อนได้อย่างไร อยู่ในครอบครัวใหญ่นั้น การมีตัวตนไร้เดียงสาจะถูกคนอื่นคิดว่าเป็นแค่คนโง่ และถูกล้อเลียนเป็นตัวตลก”