ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย [ 农女致富记 ] - บทที่ 1332 อดหลับอดนอน
บทที่ 1332 อดหลับอดนอน
บทที่ 1332 อดหลับอดนอน
ฉินเย่จือกวาดสายตาตั้งแต่บนลงล่าง แต่เมื่อเขาเห็นเท้าเปลือยเปล่าสีขาวราวหิมะคู่หนึ่งของนางยืนอยู่บนพื้นเย็นเยือก ฉินเย่จือก้าวไปข้างหน้าและช้อนตัวกู้เสี่ยวหวานขึ้น จากนั้นปิดประตูเบา ๆ และเดินไปที่เตียง
หยกบอบบางในอ้อมกอด นุ่มนวล และส่งกลิ่นหอมละมุน กลิ่นกายของสาวน้อยเจือจางแต่ลึกล้ำ ฉินเย่จือหลับตาและหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความโลภที่หาที่เปรียบมิได้
หลังจากที่วางกู้เสี่ยวหวานลงบนเตียง ตนเองก็ยังคงไม่ผละออกไป เขาขึ้นไปบนเตียงอย่างแผ่วเบา ยื่นมือออกไปและกอดกู้เสี่ยวหว่านไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง
นอนซุกอยู่ในผ้าห่มอันอบอุ่นที่คุ้นเคย รับรู้อ้อมกอดที่อบอุ่นและคุ้นเคยตรงหน้า กู้เสี่ยวหวานยังคงรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
เดิมทีนางต้องการที่จะหลับพักผ่อน แต่นอนอยู่บนเตียงและพลิกตัวไปมาอยู่นานก็นอนไม่หลับ
หลังจากนอนกระวนกระวายอยู่นานก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงลุกขึ้นมา และต้องการดูอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าเมื่อประตูเปิดออกไปก็จะเจอฉินเย่จือยืนอยู่ตรงหน้าของนาง
โชคดีที่นางยังไม่หลับ ถ้าไม่อย่างนั้นนางต้องคิดว่าตัวเองฝันอยู่แน่ ๆ
กู้เสี่ยวหวานยิ้มน้อย ๆ ในมือดึงปอยผมของฉินเย่จือไว้และเล่นกับมันอย่างแผ่วเบา “ดึกดื่นเช่นนี้ ท่านไปไหนมา เหตุใดถึงไม่กลับบ้าน”
กู้เสี่ยวหวานไม่รู้ตัวเลยว่าน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความคับแค้นใจเช่นเดียวกับภรรยาตัวน้อยที่กำลังตำหนิสามีที่กลับบ้านไม่ตรงเวลา ทั้งตำหนิและคับแค้นใจ นางดูเหมือนภรรยาตัวน้อยที่น่ากลัว
ฉินเย่จือรู้สึกชอบเวลาที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ หัวใจพลันเดือนพล่าน
วันนี้เขาออกไปข้างนอกทั้งวันเพื่อตามหาของบางอย่าง โชคดีที่ได้พบมัน ทันทีที่พบมัน เขาก็รีบกลับบ้านทันที ไม่ได้พักสายตาเลยตลอดทั้งวัน
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานอีกครั้งและได้ยินคำตำหนิของนาง ความเหนื่อยก็หายไปทั้งหมด
แขนของฉินเย่จือกระชับกอดแน่นขึ้น เขากอดกู้เสี่ยวหวานไว้พลางโอบศีรษะของนางให้ซุกลงตรงหน้าอกของตัวเอง จากนั้นวางมือลงบนศีรษะของกู้เสี่ยวหวานพลางลูบเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบเล็กน้อยเนื่องจากความเหนื่อยล้า “ข้าไปหาของบางอย่าง หลังจากตามหามันมาหลายวัน ในที่สุดข้าก็เจอมันจนได้”
“ตามหาสิ่งใดกัน” กู้เสี่ยวสงสัย แค่หาของ เหตุใดต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้
“ผ้าผืนหนึ่ง” ฉินเย่จือตอบกลับสั้น ๆ ภายในห้องมืดสนิท แต่กู้เสี่ยวหวานยังคงมองเห็นดวงตาของฉินเย่จือได้อย่างชัดเจน ราวกับมีดวงดาวระยิบระยับอยู่ข้างใน สว่างวาบ ช่างงดงามจริง ๆ
“ผ้าหรือ?” กู้เสี่ยวหว่านถามกลับด้วยความสงสัย “มันใช้ทำอะไรงั้นหรือ?”
ฉินเย่จือวางมือลงบนแก้มของกู้เสี่ยวหวานพลางลูบเบา ๆ ชายหนุ่มคลี่ยิ้มจาง “เมื่อถึงเวลา เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง”
กู้เสี่ยวหวานเห็นเขาไม่ยอมบอก จึงตอบรับเสียงเบาในลำคอ อย่างไรเสียเดี๋ยวก็รู้แล้ว เช่นนั้นก็ไม่ถามแล้วกัน
ดังนั้นจึงซบหน้าลงในอ้อมแขนของฉินเย่จืออีกครั้งอย่างเชื่อฟัง
หลังจากรอมาครึ่งค่อนคืน กู้เสี่ยวหวานก็รู้สึกง่วงเล็กน้อย เตียงและอ้อมกอดที่อบอุ่นทำให้หัวใจของนางนิ่งสงบ ดังนั้นจึงขยับตัวเล็กน้อย จัดท่าที่สบายที่สุดสำหรับตัวเองและหลับตาลง หากแต่มือไม่ยอมขยับ ไม่แม้แต่จะปล่อยและกอดฉินเย่จือเอาไว้แน่น
คนในอ้อมแขนของเขาส่งเสียงฟึดฟัดออย่างน่ารัก ฉินเย่จือต้องการที่จะปล่อยมือ แต่เรี่ยวแรงของนางก็ไม่น้อยเลย ทำให้เขาขยับไม่ได้
หากออกแรงมากไปก็เกรงว่าจะแรงจนทำให้แมวน้อยตื่นขึ้น ฉินเย่จือจึงทำได้เพียงนอนนิ่ง ยังดีที่เขานอนอยู่บนเตียงในท่านี้ เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมาและดึงหมอนใบหนึ่งที่อยู่ด้านหลังศีรษะออก เพื่อให้ดูเหมือนท่าทางการนอนปกติ
หยกอ่อนในอ้อมแขนกอดแน่นแนบสนิทกับร่างกายของเขา ทำให้ฉินเย่จือรู้สึกกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
แมวน้อยตัวนี้ช่างมั่นใจในตัวนางมากเหลือเกิน อยู่ใกล้เขาขนาดนี้ ไม่กลัวเลยหรืออย่างไร
เฮ้อ… เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเย่จือไม่กล้าคิดเรื่องที่ไม่มีเหตุผล โชคดีที่หลังจากวิ่งเต้นไปมาหลายวัน ร่างกายก็อ่อนล้ามาก เมื่อเขานอนลงก็ขยับร่างกายส่วนล่างของเขาห่างจากลูกแมวเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจูบหน้าผากนางด้วยความพึงพอใจและยิ้มอย่างอ่อนโยน “ลูกแมวของข้าหลับแล้ว”
จากนั้นเขาก็หลับตาลงและเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา
เช้าวันรุ่งขึ้น เนื่องจากว่าเมื่อคืนกว่าจะได้นอน เวลาก็ล่วงเลยไปจนดึกดื่น กู้เสี่ยวหวานจึงไม่ยังไม่ตื่นจนกว่าจะถึงตอนสาย
ถึงแม้ว่าจะตื่นช้ากว่าเดิม แต่เพราะอดหลับอดนอน รอบดวงตายังคงมีร่องรอยดำคล้ำ
ป้าจางมีท่าทางทุกข์ใจมาก จึงต้มไข่สองฟอง ปอกเปลือกแล้วนำมากลิ้งรอบดวงตาของกู้เสี่ยวหวาน “เสี่ยวฉินก็เหลือเกินนัก จะไม่กลับมาก็ไม่บอกกันสักคำ ดูเจ้าสิ รอจนถึงดึกดื่นเลยใช่ไหม ดูสิ รอบตาเจ้าคล้ำหมดแล้ว รอเขากลับมาก่อนเถอะ ข้าจะว่าเขาสักคำ!”
ป้าจางรู้สึกสงสารกู้เสี่ยวหวานมากที่เห็นนางไม่ได้นอน รอบดวงตานั้นก็คล้ำขึ้นเรื่อย ๆ ในใจคงรู้สึกเป็นทุกข์ จึงได้แต่เอาไข่ต้มไปกลิ้งรอบ ๆ ดวงตาของกู้เสี่ยวหวาน ปากของนางเอาแต่บ่นไม่หยุด
กู้เสี่ยวหวานหลับตาลงและสัมผัสได้ถึงความอุ่นบริเวณรอบดวงตา จึงรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก “ท่านป้า ที่บ้านยังมีน้ำมันทาแก้ฟกช้ำที่ซื้อมาคราวก่อนหรือไม่”
“เจ้าต้องการยาไปทำอะไร บาดเจ็บตรงไหนให้ข้าดูหน่อย” ครั้นป้าจางได้ยินสิ่งนี้ คิ้วของนางก็ขมวดเข้าหากัน และกำลังจะเปิดเสื้อของกู้เสี่ยวหวาน
กู้เสี่ยวหวานคลี่ยิ้มหวานและเอ่ยว่า “ท่านป้า ข้าไม่ได้บาดเจ็บ”
“แล้วเป็นอันใดเล่า” ครั้นป้าจางได้ยินว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บก็รู้สึกโล่งใจ แม้ปากจะเอาแต่ถามไม่หยุด แต่ก็รีบนำมันมาให้กู้เสี่ยวหวานทันที
หลังจากกลิ้งไข่แล้ว รอยดำคล้ำบริเวณรอบดวงตาก็ดีขึ้น ป้าจางมองซ้ายทีขวาทีแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ “ดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว”
กู้เสี่ยวหวานปิดปากแล้วคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เดิมทีนางนอนดึกเพราะนอนไม่ค่อยหลับ กู้เสี่ยวหวานไม่ได้สนใจเรื่องรอยดำคล้ำที่ตาของตนเองมากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากพักผ่อนไม่กี่วัน รอยคล้ำเหล่านี้ก็จะหายไปตามธรรมชาติ
ทว่าป้าจางที่รู้สึกเครียดและเอาแต่กลิ้งไข่ไปมารอบดวงตา และบอกแต่ว่ามันจะหายเร็ว ๆ นี้
กู้เสี่ยวหวานที่เห็นท่าทางเคร่งเครียดของป้าจาง ในใจก็รู้สึกตื้นตันใจ แต่ก็ให้ความร่วมมือกับนางเป็นอย่างดี “ท่านป้า อย่าทำเหมือนกับว่าข้าเป็นเด็กสิ”
“อะไรเรียกว่าเป็นเด็ก เดิมทีเจ้าก็เป็นเด็กคนหนึ่งอยู่แล้ว”
“ท่านป้าข้าอายุสิบหกแล้วนะ ไม่ใช่เด็กแล้ว” กู้เสี่ยวหวานหัวเราะคิกคักเบา ๆ
ชาติก่อนยังนับว่าเป็นเด็กคนหนึ่ง แต่ในยุคโบราณนี้ อายุสิบหกก็เป็นแม่คนได้แล้ว