ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย [ 农女致富记 ] - บทที่ 1316 ลับลมคมใน
บทที่ 1316 ลับลมคมใน
บทที่ 1316 ลับลมคมใน
“ท่านแม่ เราตกลงกันแล้วว่าข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง ท่านยังต้องกังวลสิ่งใดอีก” จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์แสดงสีหน้าไม่พอใจที่หงซื่อทำเหมือนไม่มั่นใจในฝีมือของนาง
หงซื่อเห็นสีหน้าจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็รู้ได้ทันทีว่านางไม่พอใจ มีหรือที่คนเป็นแม่จะมองไม่ออก? หงซื่อไม่รอช้า รีบรุดเข้าไปจับมือจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ “เด็กโง่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้า เพียงแต่ครั้งนี้ข้าต้องคว้าตัวกู้เสี่ยวหวานมาให้ได้ แผนการนี้เราจึงไม่อาจล้มเหลว เช่นนั้นข้าจึงวางใจไม่ได้ ข้าจะต้องมัดตัวกู้เสี่ยวหวานไว้บนเกี้ยวเพื่อให้นางแต่งงานกับพี่ชายของเจ้าอย่างเต็มใจด้วยมือของข้าเอง”
“ท่านแม่ แต่สองแม่ลูกนั้นเล่า พวกนางมีประโยชน์อันใดกับเรา วันนั้นที่ร้านจิ่นฝู ท่านก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าพวกนางสองแม่ลูกถูกกู้เสี่ยวหวานปฏิบัติอย่างเลวร้ายเพียงใด” ถึงตอนนี้จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ก็ยังไม่เห็นว่าสองแม่ลูกคู่นี้มีประโยชน์อย่างไร
“เจ้ายังไม่เข้าใจ แม้ว่าสองคนนี้จะไร้ประโยชน์ แต่พวกนางก็เป็นญาติของกู้เสี่ยวหวาน พวกนางจึงเข้าถึงกู้เสี่ยวหวานได้ง่ายกว่าเรา อีกอย่าง ยิ่งพวกนางถูกกู้เสี่ยวหวานทำให้เจ็บช้ำน้ำใจมากเท่าไร พวกนางก็ยิ่งเกลียดกู้เสี่ยวหวานมากขึ้นเท่านั้น โอกาสที่พวกนางจะร่วมมือกับเราก็มากขึ้น ตอนที่เจ้าเพิ่งมาถึงคงไม่ทันได้ยิน เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าซุนซื่อพูดสิ่งใดกับแม่?” หงซื่อพูดอย่างมีลับลมคมใน
“สิ่งใดหรือ?”
“นางขอให้ข้าช่วยพูดกับท่านพ่อของเจ้าว่าให้ช่วยกู้ฉวนลู่” หงซื่อหน้าระรื่น
“ในเมืองหลิวเจียนี้ เพียงท่านพ่อของเจ้ากระทืบเท้า ทั้งเมืองเป็นต้องสั่นสะท้าน แค่เอ่ยปากสองสามคำก็ช่วยกู้ฉวนลู่ได้แล้ว หากเราช่วยกู้ฉวนลู่ออกมาได้ สองแม่ลูกนั่นก็ไม่ใช่แค่ตั๊กแตนในกำมือแล้ว ไม่ว่าจะใช้ให้พวกนางทำสิ่งใดก็ย่อมได้ทั้งนั้น”
ความเยือกเย็นแผ่ออกมาจากใบหน้าของหงซื่อ ท่าทางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ
จ้าวอวิ๋นเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก ได้แต่ครุ่นคิดอย่างอื่นเงียบ ๆ อยู่ในใจ
หลังจากจ้าวอวิ๋นเอ๋อร์กลับไปที่ห้องของตน หงซื่อก็รีบส่งคนไปเชิญจ้าวสวิ่นทันที
เดิมทีคืนนี้จ้าวสวิ่นจะกลับไปที่จวนบรรพบุรุษ แต่เมื่อได้ยินว่าหงซื่อส่งคนมาเชิญ จึงตระหนักได้ว่าตนไม่ได้ไปหานางนานแล้ว เช่นนั้นคืนนี้เขาควรต้องไปหานาง
ด้านหงซื่อก็จัดเตรียมสำรับอาหารเย็นไว้เรียบร้อยพอดี ส่วนจ้าวสวิ่นก็รีบมาหานางทันทีที่เสร็จงาน
เมื่อทั้งสองได้พบกัน จ้าวสวิ่นที่เห็นว่าคืนนี้หงซื่อแต่งตัวเรียบร้อยงดงาม ท่าทางอ่อนหวาน พลันนึกถึงหลายวันที่ผ่านมาที่ตนละเลยนาง ในใจของจ้าวสวิ่นจึงรู้สึกผิดยิ่งนัก และคิดว่าคืนนี้จะต้องชดเชยให้นางอย่างอบอุ่น
หงซื่อเป็นคนฉลาด รู้ว่าเมื่อใดควรพูดสิ่งใด เมื่อใดไม่ควรพูดสิ่งใด
บนโต๊ะอาหารค่ำ หงซื่อดื่มเหล้าเพียงเล็กน้อย ดวงหน้ามนทรงเสน่ห์ชวนให้จ้าวสวิ่นหลงใหลจนไม่รู้เหนือไม่รู้ใต้ ในใจร้อนรนอยากจะเปลื้องผ้าทั้งสองคนแล้วรีบไปทำเรื่องรื่นรมย์กันในทันใด
ทั้งสองผลัดเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จากนั้นจ้าวสวิ่นก็โอบกอดร่างของหงซื่อไว้พลางหอบหายใจหนักเพื่อหยุดพักสักครู่
ครั้นเห็นว่าพักได้พอสมควรแล้ว หงซื่อที่อิงแอบแนบชิดบนอกกว้างของจ้าวสวิ่น และสัมผัสปอยผมของเขาเล่นไปพลาง ๆ ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นายท่าน นานแล้วที่ท่านไม่ได้มาหาข้า คงไม่ใช่ว่าท่านคืนดีกับพี่หญิงแล้วลืมข้าใช่หรือไม่?”
หงซื่อเกิดมาเป็นคนงาม ยามนี้นางยิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นราวกับดอกท้อ ทว่านัยน์ตากลับดูเศร้าสร้อยชวนให้ใจคนมองทั้งเอ็นดูทั้งสงสาร รวมถึงคำพูดอ่อนหวานเหล่านั้น ยิ่งทำให้จ้าวสวิ่นรู้สึกผิดต่อหงซื่อขึ้นไปอีก
เขารีบกอดหงซื่อให้แน่นขึ้น พลางจูบปากบางสีแดงของนางแล้วเอ่ยขอโทษนาง “ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ ช่วงนี้ข้ายุ่งมาก แต่หลังจากเรื่องยุ่ง ๆ นี้ผ่านไป ข้าจะอยู่กับเจ้าให้มากขึ้นเพื่อชดเชยที่ข้าละเลยเจ้า เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”
หงซื่อส่งเสียงตอบรับเอาอกเอาใจ เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าช่วงนี้จ้าวสวิ่นยุ่งจริงหรือไม่
ต่อให้จ้าวสวิ่นจะยุ่งสักเพียงใด แต่เขาก็ยังต้องมีเวลาพัก เพียงแต่เวลาที่ว่าเขาเอาไปใช้กับหญิงชราที่เรือนบรรพบุรุษ ไม่ได้คิดจะมาหานางสักนิด
หงซื่อกดเก็บความแค้นไว้ในใจ นางยังระเบิดออกไปตอนนี้ไม่ได้ เพราะยังมีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องทำ
“นายท่าน ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ท่านอย่าได้ถือสาข้าเลย นายท่านดีต่อข้าขนาดนี้ ข้าจะโทษท่านได้อย่างไร” หงซื่อพูดเอาอกเอาใจไม่หยุด
จ้าวสวิ่นชอบหงซื่อตรงที่นางเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ อีกทั้งนางยังเข้าอกเข้าใจเขาเป็นอย่างดี
เขาได้รับสิ่งเหล่านี้มาก็หลายครั้ง แต่เหตุใดครั้งนี้ในใจเขาถึงไม่ชอบเหมือนเมื่อก่อน
พูดแล้วก็ต้องแปลกใจ ตอนยังเป็นหนุ่มชอบความน่ารักมีเสน่ห์และเข้าอกเข้าใจ หลงคิดไปว่าผู้หญิงต้องเป็นดั่งสายน้ำไหล*[1]
แต่ในวัยนี้กลับพบว่าฮูหยินที่บ้านที่มักทะเลาะกับตนอยู่เสมอคือตัวจริง
เฮ้อ… ภรรยาเอกก็คือภรรยาเอก ต่อให้อนุภรรยาจะดีแค่เพียงใดก็เทียบกับฮูหยินที่ยกย่องออกหน้าออกตาไม่ได้
หลายปีผ่านไปถึงคิดได้ว่าคนที่ตนควรรู้สึกผิดและขอโทษก็คือ ฮูหยินที่จวนบรรพบุรุษต่างหาก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จ้าวสวิ่นก็รู้สึกสบายใจ แต่เมื่อมองใบหน้าอันบอบบางของหงซื่อที่อยู่ในอ้อมแขน เขากลับรู้สึกขยะแขยงในใจ แขนที่กำลังโอบกอดหงซื่อค่อย ๆ คลายออกอย่างไม่รู้ตัว ความเสน่หาที่ปรากฏบนใบหน้าเมื่อสักครู่ก็จางหายไปเช่นกัน
หงซื่อไม่ทันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในใจของจ้าวสวิ่น
เพราะในใจของนางยังมัวคิดเรื่องช่วยกู้ฉวนลู่อยู่
และแล้วนางก็ตัดสินใจว่า ยามนี้แหละคือโอกาสดี
หงซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงแผ่วเบา “นายท่าน ข้ามีบางสิ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”
จ้าวสวิ่นหัวใจกระตุกวูบ แต่สีหน้ายังคงเดิม “เจ้าคือภรรยาข้า ระหว่างเจ้ากับข้า มีสิ่งใดจะพูดก็พูดมาเถอะ”
หงซื่อตอบรับเสียงแผ่ว สีหน้ามั่นใจขึ้น “นายท่านรู้หรือไม่ว่าวันนี้ข้าพบเจอผู้ใด”
“ผู้ใด?”
“ภรรยาและลูกสาวของคนทำบัญชีในร้านซุ่นซินคนก่อน”
“เจ้าหมายถึงกู้ฉวนลู่?” จ้าวสวิ่นรู้จักคนผู้นี้ เมื่อก่อนเขาเป็นบัณฑิตผู้ร่ำเรียนอย่างหนัก แต่ก็สอบปากู่เหวินไม่ผ่าน เขาจึงหันไปเป็นคนทำบัญชีในร้านอาหาร
เขาเป็นคนมีความสามารถ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีศีลธรรม
เรื่องราวฉาวโฉ่ของเขา จ้าวสวิ่นก็เคยได้ยินมาไม่น้อย
“เจ้าพบภรรยาและลูกสาวของเขาได้อย่างไร” จ้าวสวิ่นถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่กี่วันก่อน ร้านจิ่นฝูกลับมาเปิดกิจการแล้ว นายท่านรู้หรือไม่”
จ้าวสวิ่นพยักหน้าแสดงว่าเขารู้อยู่แล้ว
เวลานี้ร้านจิ่นฝูเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดในเมืองหลิวเจีย ตัวเขาเองส่วนใหญ่ก็ไปทานอาหารที่ร้านจิ่นฝู
*[1] ผู้หญิงต้องเป็นดั่งสายน้ำไหล หมายถึง ผู้หญิงต้องมีความอ่อนโยน อ่อนนุ่ม อ่อนไหวเหมือนสายน้ำ เห็นแล้วต้องพาให้ชุ่มชื่นหัวใจ