ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 99 อ๋องรุ่ยชินแห่งอาณาจักรเหยียน
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 99 อ๋องรุ่ยชินแห่งอาณาจักรเหยียน
บทที่ 99 อ๋องรุ่ยชินแห่งอาณาจักรเหยียน
บทที่ 99 อ๋องรุ่ยชินแห่งอาณาจักรเหยียน
แผนของจี้ชิงเฟิงคือการทำให้อาณาจักรหนานโจวทำสงครามกับอาณาจักรอวี๋ ในทางกลับกัน อาณาจักรเหยียนใช้ประโยชน์ในสงครามครั้งนี้โดยการส่งทัพใหญ่ไปปล้นสะดมตามแนวชายแดนอาณาจักรอวี๋
จี้ชิงเฟิงอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอาณาจักรหนานโจว เขากลับไปยังอาณาจักรเหยียน ฟ้องร้ององค์รัชทายาทจี้ชิงไป่โดยใช้เรื่องอื้อฉาวตอนต่อสู้เพื่อกองทัพ
เพื่ออยู่เหนือกว่าอาณาจักรอวี๋ จี้ชิงไป่ส่งคนที่ไว้ใจได้จำนวนมากไปยังชายแดนโดยตรง ทว่าจี้ชิงเฟิงกลับรวบรวมทหารผ่านศึกจากใต้สุดขึ้นเหนือ มุ่งเข้าสู่ทิศของเมืองหลวง
ทุกคนในอาณาจักรเหยียนไม่ต้องการต่อสู้ จี้ชิงไป่ยืนกรานที่จะต่อสู้กับอาณาจักรอวี๋ ก่อความโกรธเคืองอย่างยิ่งยวด ส่วนจี้ชิงเฟิงมีทหารอยู่ในมือ เขาพาออกไปสู้รบนอกเมืองเสียสิ้น
ด้วยเหตุนี้จี้ชิงไป่จึงไม่มีทหารอยู่ในมือ เขาทำได้เพียงพึ่งพาทหารรักษาพระองค์ในเมืองหลวงเพื่อปกป้องตนเอง จากนั้นจึงเรียกทัพที่ส่งไปยังชายแดนอาณาจักรอวี๋ให้กลับมาอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองฝ่ายจนมุม ครั้นฮ่องเต้อาณาจักรเหยียนเห็นบุตรชายร่วมห้องทั้งสองคนต่อสู้กัน บิดาผู้ชราภาพก็กระอักเลือดออกมา จากนั้นก็ล้มป่วยบนแท่นบรรทม ไร้ความสนใจในการเมืองอีก
ฮองเฮาอาณาจักรเหยียนเป็นมารดาบุญธรรมขององค์รัชทายาทจี้ชิงไป่ นางช่วยบุตรชายบุญธรรมติดต่อกับข้าหลวงเก่า เกิดสงครามแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายระหว่างขุนนางฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นขึ้น
ทหารของจี้ชิงเฟิงไม่สามารถพิชิตเมืองหลวงได้ ส่วนกองทัพที่ส่งไปโจมตีอาณาจักรอวี๋ พวกเขานั้นพ่ายแพ้ในทันที เขาจึงทำได้เพียงตัดสินใจอย่างรวดเร็วเท่านั้น
คืนนั้นเขาเข้าไปในวัง คุ้มกันวังหลวงด้วยดาบ รับพระราชโองการจากบิดาที่เหลือเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจเดียวมา
จี้ชิงไป่และฮองเฮาย่อมไม่อาจล่วงรู้ถึงคำสั่งและการสวรรคตของฮ่องเต้ที่ดูราวกับพายุนองเลือดได้
ข้าหลวงระดับสูงบางคนไม่อาจรอให้อาณาจักรเหยียนยิ่งใหญ่ช้ากว่านี้ได้ สุดท้ายจึงร่วมห้องเข้าถกเถียงกันจนได้ข้อเสนอว่า จี้ชิงไป่และจี้ชิงเฟิงต้องถอยมาก้าวหนึ่ง แล้วให้น้องชายคนสุดท้องอย่างจี้ชิงซ่งขึ้นเป็นองค์รัชทายาทแทน
นี่เป็นผลมาจากการประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่าย ในที่สุด หลังจากที่นกกับหอยทะเลาะกัน คนตกปลาก็ได้รับประโยชน์*[1]
จี้ชิงเฟิงเห็นด้วย เพราะต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว ทว่าจี้ชิงไป่กลับไม่เห็นด้วย ส่วนฮองเฮาสนับสนุนข้อเสนอนี้เพราะนางประสงค์ทำตามพระสนมเจ้า*[2] ในฮ่องเต้ฮั่นอู่แห่งราชวงศ์ฮั่น พระสนมเจ้าทิ้งมารดา เก็บบุตรเอาไว้ กระนั้นก็ยังคงได้รับความนับถือในฐานะไทเฮาเพียงคนเดียว ดังนั้นจี้ชิงซ่งผู้เป็นองค์ชายเก้าจึงเป็นองค์รัชทายาทได้
สองสามวันต่อมา อดีตฮ่องเต้ก็นั่งนกกระเรียนเป็นพาหนะยังไปทิศตะวันตก*[3] จี้ชิงซ่งที่มีอายุเพียงสิบสามหรือสิบสี่ปีเท่านั้นได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ของอาณาจักรเหยียน
ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังทรงพระเยาว์ มีฮองเฮาคอยปกครองภายใต้ม่าน และมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คอยดูแลอาณาจักร
จี้ชิงไป่สูญเสียตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่ได้ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาควบคุมอำนาจในศาล แม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่ก็ยังถือว่ามีหน้ามีตา
แม้ภายนอกจี้ชิงเฟิงจะดูไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่อำนาจที่แท้จริงในกองทัพนั้นอยู่ในมือของเขาแล้ว
ละครวังหลวงเปิดฉากขึ้น แม้ว่าฝุ่นจะจางหายไป จี้ชิงไป่ก็เป็นรัชทายาทมาสามสิบปี หลังบิดาสิ้นพระชนม์ บัลลังก์ก็ควรเป็นของเขา เขาจะเต็มใจปล่อยให้บัลลังก์ตกเป็นของเด็กน้อยได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ฮองเฮาขึ้นสู่อำนาจ นางได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักทุกหนทุกแห่ง อีกทั้งยังชอบขัดขาจี้ชิงไป่ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ช่างเป็นความแตกต่างที่ไม่ลงตัวอย่างมาก
ความโกรธแค้นของจี้ชิงไป่สุมขึ้นในหัวใจ ความชั่วร้ายแปรเปลี่ยนเป็นพลังให้ทำอะไรสิ้นคิด เขาตัดสินใจวางยาพิษฮองเฮาและฮ่องเต้องค์น้อย
ฮ่องเต้องค์น้อยกินน้ำแกงร้อนหนึ่งคำและอาเจียนออกมาเป็นเลือด ณ ที่นั้น ฮองเฮาที่ตื่นตระหนกยังงไม่ทันเอ่ยปากพูดคำใดก็ถูกมีดแทงโดยชายสวมหน้ากาก กระทั่งสิ้นพระชมน์ไปในที่สุด
โชคดีที่จี้ชิงเฟิงรู้ทันรีบเข้าไปในห้องโถง แล้วแก้พิษให้จี้ชิงซ่งโดยให้ดื่มน้ำหลายชามเพื่อให้อาเจียนพิษในท้องออกมา จี้ชิงซ่งได้รับการรักษาโดยหมอทันเวลาจึงรอดชีวิตมาได้
แต่เพราะอายุที่ยังน้อย พิษครั้งนี้จึงทำให้มีอาการสาหัส จากนี้ไป เขาทำได้เพียงฝากชีวิตไว้ที่ยา ไม่อาจมีอายุยืนได้อีก
จี้ชิงไป่ล้มเหลวในการสังหารฮ่องเต้ จี้ชิงเฟิงสั่งการให้จี้ชิงซ่งออกคำสั่งสังหารผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการส่วนตัว
จี้ชิงไป่จะรอดพ้นฝ่ามือของเขาได้อย่างไร? ในเมืองหลวงของอาณาจักรเหยียนเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดอีกครั้ง ในท้ายที่สุด จี้ชิงเฟิงผู้ชนะใจราษฎรและชนะสงครามอันยากลำบากก็ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้น้อยให้คลายความโกลาหล
การต่อสู้ที่ดุเดือดภายในวังแห่งนี้กำลังอยู่ในช่วงแห่งความระทึก
จี้ชิงเฟิงขึ้นเป็นอ๋องรุ่ยชิน คงทุกอย่างไว้เช่นเดิม เขาส่งราชทูตไปยังอาณาจักรอวี๋โดยไม่มีเหตุผลใดเป็นพิเศษ สถานะของอาณาจักรเหยียนที่อยู่ในความวุ่นวายสามารถสงบลงได้ ข้าหลวงในศาลนั้นต่างกระวนกระวายใจ กลัวว่าอำนาจที่แท้จริงจะอยู่ในมือจี้ชิงเฟิงเช่นเดียวกับจี้ชิงไป่
ฮ่องเต้น้อยกับจี้ชิงเฟิงเป็นพี่น้องกัน เขายังเยาว์วัยนัก หลังจากเกิดเรื่องขึ้นมากมาย เขาจึงพึ่งพาจี้ชิงเฟิงอย่างมาก จี้ชิงซ่งเริ่มที่จะมอบอำนาจทางการเมืองให้กับพี่ชาย จี้ชิงเฟิงจึงรู้สึกละอายใจ ไม่ต้องการที่จะแย่งชิงบัลลังก์เช่นเดียวกับที่จี้ชิงไป่ทำ
หลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว จี้ชิงเฟิงก็หาข้ออ้างที่จะอยู่ห่างจากเมืองหลวงของอาณาจักรเหยียน ทั้งนี้เพื่อให้ข้าราชบริพารเก่าในศาลคลายความกังวลว่าเขาไม่มีความทะเยอทะยานที่จะหาประโยชน์จากโอรสสวรรค์
แน่นอนว่าหากเขามีความทะเยอทะยานเรื่องนั้น จะมีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้
อาณาจักรเหยียนและอาณาจักรอวี๋ต่างมองกันคนละมุมเสมอ ตลอดหลายศตวรรษนับตั้งแต่การก่อตั้งราชวงศ์ มีสงครามมากมายเพื่อช่วงชิงอำนาจ แต่ก็ไม่มีอาณาจักรใดได้รับประโยชน์มากนัก
นี่เป็นครั้งที่สองที่จี้ชิงเฟิงมายังอาณาจักรอวี๋
คราวที่แล้วเขาเป็นคนสิ้นหวังที่ใคร ๆ ก็อยากฆ่า แต่คราวนี้เป็นอ๋องรุ่ยชินที่ทุกคนอยากสนับสนุน
ชีวิตผันผวน ผู้คนและเรื่องต่าง ๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก และสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในใจของชายหนุ่มท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ด้วยเหตุผลใดไม่อาจทราบได้ เขามีความคิดที่จะกลับไปบ้านเกิดตนเองอีกครั้ง หลังจากเข้าสู่ดินแดนอาณาจักรอวี๋ เขาไม่ได้ไปทางอวี๋ตูโดยตรง เขาได้ละทิ้งขบวนราชทูต ขี่ม้าในชุดธรรมดา แล้วตรงไปทางทิศตะวันตกเพื่อเดินเล่น
สมัยที่เขาเคยหนีเข้าไปในดินแดนของอาณาจักรอวี๋ เขาใช้ถนนเส้นนี้เดินไปตามถนนเล็ก ๆ เพียงลำพัง ไม่ว่าเมืองจะอยู่ห่างไกลเช่นไร เขาก็ยินดีไปทุกที่ เขาจำได้ว่าตนตระเวนไปหลายเมือง หลายหมู่บ้านในเวลานั้น
…
น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาตื่นตระหนก เตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ ทว่าตอนนี้กลับถวิลหาถนนเส้นนั้นอีกครั้ง กระนั้นก็ไม่อาจหาพบ
หลังจากถามทางอยู่นานถึงสองวัน ในที่สุดเขาก็พบ แต่คนที่พบในตอนนั้นกลับหาไม่เจออีกเลย
หลังจากที่เกืดความล่าช้าไปมาก เขาก็รีบเข้าไปในอวี๋ตูจนสุดทางและแวะพักผ่อน
กู้ฉวี่จี๋ ราชทูตแห่งอาณาจักรเหยียนที่รออยู่ในโรงเตี๊ยม ท้ายที่สุดก็ได้พบเจ้านายที่แท้จริงเสียที
จี้ชิงเฟิงกล่าวว่า “จะเร่งรีบอะไรนักหนา ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เหตุใดต้องส่งสารมา ฮ่องเต้ไม่เสด็จมาที่นี่เพื่อต้อนรับเจ้าเป็นการส่วนตัวหรอก”
กู้ฉวี่จี๋ไม่ร้องขออีก เขาอยากขอโทษจึงเข้ามาช่วยถอดเสื้อคลุมจี้ชิงเฟิงด้วยตนเอง
จี้ชิงเฟิงกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ข้าจะออกไปอีกในไม่ช้า”
กู้ฉวี่จี๋รีบถาม “ฝ่าบาทจะไปไหนหรือ”
“เดินเล่น จะตามมาอีกรึ พูดมากจริง!” จี้ชิงเฟิงเหลือบตาฉายแววหงุดหงิด
วันนี้เหยียนอี้มีโอกาสได้ออกจากวัง
ตั้งแต่เข้ามาในวัง วันที่นางจะออกจากวังได้นั้นมีน้อยนัก
ตามกฎของพระราชวังแล้ว ยกเว้นเจ้าหน้าที่ในวังที่รับผิดชอบในการจัดซื้อและขนส่ง เจ้าหน้าที่วังที่เหลือสามารถเข้าออกได้โดยใช้ป้ายอาญาสิทธิ์ ซึ่งมอบโดยเจ้านายในแต่ละวังเท่านั้น
ในช่วงเวลาสามัญสามารถเข้าและออกจากกำแพงวังได้ในวันที่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ มีเพียงองครักษ์จินอู๋เท่านั้นที่สามารถเข้าไปในวังชั้นในได้ แต่องครักษ์จินอู๋ไม่สามารถเข้าหรือออกจากวังได้ตามต้องการหากไม่แสดงป้ายอาญาสิทธิ์
ทุกปีข้ารับใช้หญิงและขันทีจะมีวันลาประจำปีอยู่สองวัน ส่วนข้าหลวงและกงกงที่ตำแหน่งสูงกว่าชั้นห้ามีวันลาประจำปีได้ห้าวัน
เหยียนอี้เป็นข้าหลวงชั้นสี่ มีวันหยุดประจำปีห้าวัน นางได้ออกไปเพียงสองครั้ง และหนึ่งในนั้นถูกลักพาตัวโดยบุคคลลึกลับที่ตนไม่รู้จัก
แม้ว่าวังจะกว้างใหญ่ ใช้เวลาสองวันในการเดินไปรอบ ๆ กำแพงวังด้วยสองขา แต่เหยียนอี้รู้สึกว่าที่นี่ยังไม่กว้างพอ นางคิดถึงโลกดอกไม้ภายนอก อยากกินถังหูลู่ อยากเที่ยวตลาดสดถนนไป่อิ๋น…
เมื่อนางได้วันหยุด นางจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า รับป้ายอาญาสิทธิ์ที่ฟางกูกูมอบให้ และออกจากวังตั้งแต่เช้าตรู่
เดิมทีนางขอให้โจวเจียเอ๋อร์เดินทางไปกับนาง แต่จ้าวอันเรียกใช้เขาเสียก่อน เหยียนอี้มีบางอย่างต้องทำ และไม่สามารถรอได้ นางจึงขอให้สาวใช้ในวังคนหนึ่งส่งจดหมายไปบอกเขาแล้วออกไปก่อน
ทันทีที่นางออกจากวัง เหยียนอี้ก็เดินตามความทรงจำของนางไปที่ถนนไป่อิ๋น ก่อนจะเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ เพื่อดื่มน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋
เหยียนอี้สามารถทำงานในวัง ทักษะการทำอาหารของนางอยู่ในระดับสูงสุด แต่ไม่สามารถทำปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ที่ง่ายที่สุดได้
การทำน้ำเต้าหู้น้ำต้องการเพียงแค่คนที่ใส่ใจและประณีตเพื่อค่อย ๆ บด รสชาติของการบดก็ไม่ต่างกันมาก แต่คำว่า ‘พอดี’ จะไม่ปรากฏในทุกครั้งสำหรับการทอดแป้ง
สิ่งที่เหยียนอี้ทำได้ดีที่สุดคือขนมทุกชนิด ตั้งแต่เค้กไปจนถึงขนมอบ ซึ่งไม่ใช่การทำบะหมี่ นางสามารถนวดเส้นก๋วยเตี๋ยวได้ทุกประเภท แต่แป้งสำหรับชุบแป้งทอดนั้นมักจะนุ่มเกินไปเสมอ และแผ่นชุบแป้งทอดมักโค้งงอเป็นกล้วย
ไม่ใช่ว่านางไม่ได้ศึกษาวิธีการอย่างหนัก เพราะตอนที่นางอยู่ที่ภัตตาคารกุ้ยซาน นางเคยขอคำแนะนำจากซานกู่จื่อ
ซานกู่จื่อเห็นว่านางทำครัวไหม้ไปแล้วรอบหนึ่ง เขาจึงกล่าวว่า “เจ้าไม่มีความเข้าใจ” และปฏิเสธที่จะสอนอีก เหยียนอี้จึงไม่สามารถทำได้ดี
หลังจากเข้าห้องเครื่องหลวง เหวินต้าชิงสอนนางครั้งหนึ่งโดยใช้วัตถุดิบเหมือนกัน น้ำเหมือนกัน ผงฟูเหมือนกัน น้ำมันเหมือนกัน ทว่าการทอดในหม้อต่างกัน เหยียนอี้จึงไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ตรงไหน
หลังจากลองอีกสองสามครั้ง เหยียนอี้ก็ล้มเลิก เพราะยังมีอาหารอีกมากมายในโลกนี้ ไม่มีใครขอร้องให้นางทำแป้งทอดเสียหน่อย
วันนี้เหยียนอี้ตื่นแต่เช้า รอโจวเจียเอ๋อร์อยู่เป็นเวลานาน นางรู้สึกหิวอย่างมาก หลังจากกินปาท่องโก๋สี่แท่งยังไม่พอ นางจึงขอเกี๊ยวอีกชาม
เต้าหู้ที่ป้าเจ้าของร้านทำนั้นมีรสเลิศมาก แต่เกี๊ยวนั้นธรรมดา อาจเพราะนางอยู่ในวัง เคยชินกับการกินเกลือสีขาวก้อนละเอียด คนทั่วไปไม่สามารถซื้อเกลือชั้นดีได้จึงใช้เกลือหยาบซึ่งใช้เป็นยาสมานแผล เกิดรสขมปร่าขมลิ้น
แม้อาหารล้นปาก แต่นางก็กินเกี๊ยวอีกหนึ่งชามและกินขนมงาอีกชิ้นจนกว่าจะอิ่ม
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นึกได้ว่าโจวเจียเอ๋อร์อาจจะตามหานางและไม่ได้กินอาหารเช้า นางจึงขอขนมงาอีกชิ้นแล้วเก็บไว้ให้
ป้าเจ้าของร้านเข้ามาเก็บชาม ยกนิ้วให้นางแล้วชมว่า “สาวน้อย กินเก่งจริง!”
เหยียนอี้คลี่ยิ้มอย่างเขินอาย
ป้าเจ้าของร้านเอ่ยต่อ “เมื่อครู่นี้พ่อหนุ่มเสื้อทอก็มาที่นี่เช่นเจ้า กินปาท่องโก๋ไปสี่อัน น้ำเต้าหู้หนึ่งชาม เกี๊ยวหนึ่งชาม ขนมงาอีกสองชาม ยังจะซื้อกลับไปอีก หรือพวกชนชั้นสูงจะกินเก่งเหมือนกันไม่มีผิด?”
เหยียนอี้ยิ้มและพูดว่า “ท่านป้า อย่าล้อสิ ข้าไม่ใช่คนชั้นสูงหรอกเจ้าค่ะ”
[1] นกกับหอยทะเลาะกัน คนตกปลาได้รับประโยชน์ มักใช้เพื่อตักเตือนว่าเวลาที่ทะเลาะกับผู้อื่น ควรใช้สติมากกว่าอารมณ์ ไม่เช่นนั้นจะเสียประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ส่วนฝ่ายที่สามได้จะประโยชน์ไปอย่างง่ายดายแทน
[2] พระสนมเจ้า เป็นพระสนมเอกแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตกในฮ่องเต้ฮั่นอู่ หลังสิ้นพระชนม์ได้รับการสถาปนาเป็นเจ้าไทเฮา
[3] นั่งนกกระเรียนเป็นพาหนะไปทิศตะวันตก หมายถึง ผู้วายชนม์มีบารมีสูง เมื่อถึงแก่กรรมจะได้นั่งกระเรียนไปสวรรค์