ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 94 วันเกิด
บทที่ 94 วันเกิด
บทที่ 94 วันเกิด
หลังจากหลี่หรงอวี่ทักเรื่องวันเกิด เหยียนอี้ก็จำได้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของตน
พ่อแม่ของนางไม่อยู่ด้วยในปีนี้ เหยียนจื่อเองก็ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังลุกจากเตียงไม่ได้ เหยียนอี้ก็กลัวว่าจะไม่มีใครมาฉลองวันเกิดของตนแล้ว แต่นางก็ไม่อยากละเว้นตัวเอง พรุ่งนี้นางคงต้องดูแลตัวเองให้ดีแล้วทำบะหมี่อายุยืนสักหนึ่งชาม
ขณะที่นอนอยู่บนเตียง นางก็พลิกตัวและครุ่นคิดถึงการกระทำขององค์รัชทายาท หัวใจของนางไหวสั่นอยู่เล็กน้อย
นางผล็อยหลับไปด้วยความสับสนที่ยังอัดอึ้งอยู่ในใจ เมื่อลืมตาขึ้นก็เป็นเช้าวันต่อมาเสียแล้ว
“นี่! แม่ครัวเหยียน เช้าแล้ว!”
เหยียนอี้เลื่อนประตู เห็นหลางกวนเอ๋อร์รออยู่หน้าประตู ในมือถือชามบะหมี่อายุยืนอยู่
ขอบตาเหยียนอี้ร้อนผ่าว นางคิดว่าในวังนี้ ยกเว้นเหยียนจื่อและองค์รัชทายาทจะไม่มีใครจำวันเกิดนางได้เสียแล้ว ในเวลาเช้าเช่นนี้ไม่คิดว่าจะมีใครมาหานาง
เหยียนอี้รับชามบะหมี่มา นึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ล้างหน้า นางจึงวางชามลงแล้วถามหลางกวนเอ๋อร์ว่า “ข้าไม่เคยบอกเจ้าเรื่องวันเกิดนี่ เจ้ารู้ได้อย่างไร”
หลางกวนเอ๋อร์ผงะ “วันนี้วันเกิดของเจ้าหรือ? ข้าไม่รู้”
เหยียนอี้ถามด้วยความสงสัย “แล้วเหตุใดเจ้าถึงเอาบะหมี่มาให้ตั้งแต่เช้า”
หลางกวนเอ๋อร์กล่าวว่า “บะหมี่เป็นของขวัญจากตำหนักตะวันออก ทุกคนได้รับกันหมด ห้องเครื่องเล็ก ๆ ตำหนักตะวันออกเป็นฝ่ายทำให้ ไม่ว่าจะผู้น้อยผู้ใหญ่ก็ไปเอาได้ ข้าเห็นเจ้ายังหลับอยู่จึงไปเอามาให้เจ้า”
เหยียนอี้แปลกใจกับเรื่องที่ได้ยิน “ดีแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ปีใหม่หรือเทศกาลสักหน่อย เหตุใดตำหนักตะวันออกถึงให้บะหมี่อายุยืน?”
หลางกวนเอ๋อร์เกาหัว กระนั้นก็ยังคิดไม่ออก “บางทีในห้องเก็บวัตถุดิบอาจมีแป้งที่กำลังจะหมดอายุมากเกินไปกระมัง”
เหยียนอี้ระบายลมหายใจ หลางกวนเอ๋อร์กล่าวต่อว่า “แม่ครัวเหยียน ในเมื่อวันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า เรามาทำอาหารดี ๆ ในห้องเครื่องเล็ก ๆ นี่กันเถิด แล้วค่อยดื่มสักจอกสองจอกกันในตอนเย็น ฟังดูเป็นอย่างไร”
เหยียนอี้ส่ายหัว “ข้าว่าจะทำอาหารดี ๆ กิน แต่ไม่รู้ว่าจะดื่มสุราอย่างไร ข้าดื่มแล้วหน้าแดงทุกที”
หลางกวนเอ๋อร์เป็นคนช่างพูด ทันทีที่นางเข้าไปในครัว เขาก็ตะโกนให้ทุกคนรู้เรื่องวันเกิด ทุกคนจึงมาอวยพรวันเกิดนางทีละคน เหวินต้าชิงเองก็แล่ปลาเฉาฮื้อปรุงเป็นอาหารให้นางเนื่องจากเป็นวันสำคัญ
เหวินต้าชิงรับผิดชอบมื้ออาหารของไทเฮามาหลายปีแล้ว พ่อครัวในวังไม่ค่อยทำอาหารให้ข้ารับใช้ง่าย ๆ แต่เป็นเพราะเหยียนอี้ วันนี้จึงมีอาหารดี ๆ
ในห้องเครื่องเล็ก ๆ มีเพียงเหยียนอี้และเหวินต้าชิงที่มักจะได้รับรางวัล คนอื่น ๆ ไม่ได้มีเงินมาก เมื่อรู้ปุบปับจึงไม่มีใครให้ของขวัญกับเหยียนอี้ แม้วันเกิดเล็ก ๆ จะไม่ได้จัดทั้งวัน นางก็ยังรู้สึกยินดีที่มีคนมากมายให้พรนาง
เมื่อเหยียนอี้ว่างในตอนเย็น นางก็หาข้ออ้างไปเยี่ยมเหยียนจื่อ
เหยียนจื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส โชคดีที่ยาของหมอหลวงเปี้ยนช่วยเอาไว้มาก แต่เจ้าตัวก็ยังลุกจากเตียงไม่ได้
เหยียนอี้ถามว่าองค์ชายแปดมาพบนางในสองวันที่ผ่านมาหรือไม่ เหยียนจื่อพยักหน้า แต่กลัวว่าจะถูกเหยียนอี้ดุ นางจึงพูดต่อว่า “แต่เขาไม่ได้มาบ่อยนัก และข้าก็ไม่ให้มาด้วย ข้าไม่ได้ให้เขาเข้าไปในห้องเลยนะท่านพี่”
เหยียนอี้พยักหน้าพอใจ “อย่างไรบุรุษก็ไม่ควรเข้ามาในห้องสตรีเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว ครั้งก่อนที่องค์ชายเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจนั้นไม่เหมาะสมมากนะ”
เหยียนจื่อท้วง “ตอนเราอยู่ในหมู่บ้านอู่ซาน พี่ชายเฉินก็เข้ามาในห้องของเราไม่ใช่หรือ ท่านพี่ ตั้งแต่ท่านเข้าวังก็เป็นคนเจ้าระเบียบ และเอาแต่พูดเรื่องมารยาท ท่านดูไม่มีความสุขเลยนะ”
เหยียนอี้ดุ “เด็กโง่ เราเคยอยู่ในหมู่บ้าน ห้องนอนมีแค่สองห้อง ไม่ใกล้วังหลวงแม้แต่นิด แต่ตอนนี้เราอยู่ในวังที่มีระเบียบวินัยที่สุด เราจะทำตัวเหมือนในอดีตได้อย่างไร?”
เหยียนจื่อกะพริบดวงตาคู่โตแล้วถามขึ้นว่า “ท่านพี่ชอบตอนนี้หรือตอนนั้นมากกว่าหรือ”
เหยียนอี้เอ่ยโดยไม่ลังเล “ตอนนี้”
เหยียนจื่อถามด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดกัน? ข้าไม่คิดว่าตอนนี้ท่านมีความสุขนะ”
เหยียนอี้ยิ้มแล้วถามว่า “แล้วเจ้าล่ะ เจ้าชอบเมืองอู่ซานหรือวังหลวง”
เหยียนจื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าจึงแดงระเรื่อขึ้นน้อย ๆ “ข้าอยู่ที่ไหนก็มีความสุข เมืองอู่ซานมีท่านแม่ เมืองนี้มีเขา ข้าจึงชอบมาก”
เหยียนอี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วลูบหัวนางด้วยความรัก
เหยียนจื่อเงยหน้าขึ้น กะพริบดวงตาคู่โตแล้วถามต่อ “ท่านพี่คิดว่าข้าโง่เกินไปไหมที่หลงผิดแบบนี้”
เหยียนอี้เงียบไป
เหยียนจื่อจึงกล่าวต่อ “แต่ท่านพี่ ข้า… ข้าสับสน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย”
ครั้นเหยียนอี้ออกมาจากห้องของเหยียนจื่อ นางก็กังวลขึ้นเรื่อย ๆ
นางกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเหยียนจื่อ อยากจะปลุกนางให้ตื่นจากฝันหวาน แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่มีความสุขเหลือล้นของเหยียนจื่อแล้ว นางก็ทนไม่ได้ที่จะต้องดุ
แล้วคนสองคนรักกันมันผิดตรงไหนหรือ?
ความรู้สึกนี้ไม่อาจเป็นไปได้ในวังหลวงแห่งนี้
ลมกลางคืนพัดผ่านมาทวีความหนาวเหน็บ เหยียนอี้กระชับเสื้อผ้าของนางให้แน่น เร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น
ราชวังใหญ่เกินไป อีกทั้งระยะห่างจากสำนักเยว่ฝู่ถึงตำหนักฉืออันยังอีกไกล เหยียนอี้จึงจงใจเลือกเส้นทางเล็กเพื่อให้เดินเร็วขึ้น
ทางเดินค่อนข้างเปลี่ยว ไร้เงาผู้ใดระหว่างทาง มีเพียงใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ให้เหยียบเพียงเท่านั้น เสียงย่ำเท้ากรอบแกรบดังคลอไปตลอดทาง
เหยียนอี้เพิ่งเลี้ยวเข้าไปด้านใน พบว่าตนอยู่อยู่ใกล้กำแพงตำหนักฉืออันแล้ว แต่แล้วนางก็ชนเข้ากับใครบางคนจึงรีบขอโทษ “ข้าขอโทษ! ข้าขอโทษ! ข้ารีบ”
แต่ชายคนนั้นคว้าตัวนางเอาไว้แล้วไม่พูดคำใด
คืนนั้นมืดสนิท ไม่มีแสงจันทร์ส่องมานัก เหยียนอี้ช้อนตามอง บุรุษผู้นี้รูปร่างสูง ดูไม่เหมือนคนฝ่ายในเลยสักนิด
“เหยียนอี้…” ชายคนนั้นเรียกชื่อนางด้วยน้ำเสียงทุ้มพร่า
เขาคือหลี่หรงอวี่
เหยียนอี้เข้าไปใกล้ ได้กลิ่นสุราฉุนกึกบนเนื้อตัวขององค์รัชทายาท
“เมื่อวานเป็นข้าเองที่จู่ ๆ ให้ปิ่นปักผมเจ้าไป เจ้าคงกลัวว่าเรื่องของเราจะเกิดขึ้นเข้าสักวัน เจ้าอาจไม่อยากยอมรับ สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เป็นความผิดของข้าเอง” เสียงของรัชทายาทเบาหวิวแต่คำพูดกลับชัดเจน เขาคว้าแขนของเหยียนอี้ไว้ ไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ
“ฝ่าบาทเมาหรือ?” เหยียนอี้ใจเย็นลงบ้างแล้ว
หลี่หรงอวี่ยกแขนเสื้อขึ้นดมราวกับกลัวว่ากลิ่นสุราบนร่างจะทำให้เหยียนอี้ไม่พอใจ เขายอมปล่อยมือแล้วถอยหลังไปครึ่งก้าว ก่อนจะพูดว่า “วันนี้ราชทูตจากเป่ยเอี้ยนและหุยเหอมาที่เมืองหลวง เสด็จพ่อจัดงานต้อนรับที่อารามหงหลู ชาวเยี่ยนชอบดื่ม ข้าจึงดื่มสองถ้วยกับพวกเขา”
เหยียนอี้กล่าวว่า “ฝ่าบาทเมาแล้วเพคะ อากาศหนาวแล้วด้วย กลับไปพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”
เขาระบายยิ้มแล้วเอ่ยเสียงต่ำออกมา “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้เมาหรอก”
เหยียนอี้ก้าวถอยหลังอีกก้าวแล้วกล่าวอย่างกะบึงกะบอน “ข้าจะไปแล้ว”
หลี่หรงอวี่ถาม “เจ้าหลีกเลี่ยงข้าแบบนี้เพราะน้องแปดกับน้องสาวเจ้าใช่หรือไม่?”
เหยียนอี้แปลกใจและนึกสงสัย เขารู้เกี่ยวกับองค์ชายแปดและเหยียนจื่อได้อย่างไร เป็นไปได้ไหมที่องค์ชายแปดปากสว่างถึงขนาดบอกเรื่องส่วนตัวกับพี่น้องตนเองทั้งหมด?
หลังจากคิดดูแล้ว ตอนที่เหยียนจื่อถูกทุบตีและขยับตัวแทบไม่ไหวในวันนั้น ลั่วอิ๋ง ข้ารับใช้ของหลี่หรงอวี่ก็อยู่ด้วย เรื่องนี้คงไม่อาจปกปิดได้
“เจ้ากลัวคนอื่นพูดถึง กลัวว่าข้าจะปกป้องเจ้าไม่ได้ใช่หรือไม่” หลี่หรงอวี่เดินเข้าไปใกล้แล้วถามนาง
เหยียนอี้กล่าวต่อ “ฝ่าบาททรงขวางข้าในที่เปลี่ยวเช่นนี้ในยามวิกาล หากมีใครรู้ ฝ่าบาทคิดอย่างไรกับผลที่ตามมาเพคะ ท่านมีตำแหน่งสูงส่ง ไม่มีใครกล้านินทาท่านหรอก แต่ข้าน้อยไม่”
หลี่หรงอวี่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ก็ได้ หลังจากนี้ข้าจะไม่มาหาเจ้าอีก”
เหยียนอี้ไม่ได้คาดหวังว่ารัชทายาทจะยอมตอบตกลงง่ายดายเยี่ยงนี้ นางจึงชะงักไป
“แต่วันนี้ ข้าต้องการคำพูดที่จริงใจจากเจ้า” หลี่หรงอวี่กล่าวต่อ
“อะไรหรือเพคะ” เหยียนอี้ถาม
หลี่หรงอวี่มองมาที่นาง บรรยากาศหนาวสะท้าน ดวงตาดุจผืนน้ำไร้คลื่น ขณะที่ในใจของเหยียนอี้เต็มไปด้วยความว่างเปล่า
เหยียนอี้คิดในใจว่าในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว หากนางไม่พูดให้กระจ่าง นางอาจจะมีปัญหาไม่สิ้นสุดในภายหลัง
“เหยียนจื่อและองค์ชายแปดเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หม่อมฉันหยุดพวกเขาไม่ได้ แต่ควบคุมตัวเองได้ หากพวกเราพี่น้องตระกูลเหยียนสนิทสนมกับองค์ชาย แล้วในสายตาของคนอื่น พวกเราจะเป็นอย่างไร?”
หลี่หรงอวี่พยักหน้า ไม่เอ่ยคำใด
เหยียนอี้สูดหายใจแล้วกล่าวต่อ “องค์รัชทายาทอาจคิดว่าสิ่งนี้ไม่เป็นอะไร แต่หม่อมฉันเกิดมาพร้อมกับชีวิตอันต่ำต้อย ไม่สามารถรับความโปรดปรานมากมายได้ ในวังนี้ ผู้สูงศักดิ์ทำเพียงแค่เหลือบตาขึ้นก็สามารถทำให้ข้าลงไปยังปรโลกได้แล้ว ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด!”
หลี่หรงอวี่ยังคงไม่เอ่ยอะไรออกมา กระนั้นก็ไม่ได้พยักหน้าอีก
ผ่านไปเนิ่นนาน
ทั้งสองยังคงเงียบใส่กัน มีแต่ลมหายใจเงียบงันที่พัดผ่านเป็นสายลมเพียงเท่านั้น
สัตว์ตัวเล็กคลับคล้ายกระรอกคลับคลาพังพอนกระโดดมาพร้อมกับส่งเสียง ‘แซ่ก’
“กลับตำหนัก… ฝ่าบาท ข้าขอตัว” เหยียนอี้เคลื่อนเท้า หวังจะตรงเข้าไปในตำหนัก
“เจ้ายังไม่ได้พูด” หลี่หรงอวี่คว้าแขนนางจากด้านหลังไว้
“ท่านต้องการฟังอะไรเพคะ ฝ่าบาท” นางถาม
“หาก…หากข้าไม่ได้เกิดในราชวงศ์ หากเจ้าและข้าไม่ได้อยู่ในวัง เจ้าจะยังให้ข้าอยู่ห่างออกไปหลายลี้เช่นนี้อีกหรือไม่” หลี่หรงอวี่ถามนาง
หากงั้นหรือ? เหยียนอี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน
นางดูละคร ได้ฟังมาว่าความรักนั้นไม่อาจบอกได้ว่าเริ่มจากที่ใด ถลำลึกไปถึงไหน ความรักทำคนอยู่ตาย ทำคนตายอยู่ต่อได้ เราต่างไม่ได้เกิดแล้วตาย คนที่ไม่สามารถฟื้นคืนหลังตายได้นั้นไม่ใช่ที่สุดแห่งความรัก
ประโยคนี้มาจากเพลงดัง ‘ศาลาดอกโบตั๋น*[1]’ ฟังแล้วอดชื่นชมไม่ได้ นางหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เจอความรักเช่นนี้
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลี่หรงอวี่ นางก็คิดว่ามันกลายเป็น ‘ความรักไม่รู้ว่าเริ่มต้นจากที่ใด คราหนึ่งถลำลึกลงไป และลงไปเรื่อย ๆ จนคราสามกลายเป็นทรมานใจ’ แทน
“เจ้าคิดมากเช่นนี้ เป็นเพราะเจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ใช่หรือไม่” หลี่หรงอวี่ถามอย่างเศร้า ๆ “เจ้าระมัดระวังกับข้าเสมอมา ไม่มากกว่านี้แม้แต่น้อย ข้า… ข้า…”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ใช่คนระมัดระวัง หากต้องการสิ่งใด หม่อมฉันก็จะกล้า เสี่ยง หากหม่อมฉันไม่เสี่ยง ก็คงเพียงเพราะไม่ต้องการมัน แม้เพียงเล็กน้อยหม่อมฉันก็ไม่อยากเสี่ยงเพคะ หม่อมฉันไม่อยากทำตัวเองเจ็บ”
พูดจบเหยียนอี้ก็รู้สึกหายอัดอึ้ง
หลี่หรงอวี่เข้าใจ เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะออกมา “ข้าเข้าใจ”
เหยียนอี้ถามว่า “เข้าใจอะไรหรือ ฝ่าบาท”
หลี่หรงอวี่เอ่ย รอยยิ้มยังแย้มอยู่ให้เห็น “เพราะเป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกเช่นนี้ ข้าคงเอาแต่ใจตัวเองเกินไป ไม่ได้คิดถึงผลที่จะตามมา จึงรบกวนเจ้าโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตสินะ”
เหยียนอี้ต้องการให้เขาพูดเช่นนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่นางไม่รู้ว่าเหตุใด หลังได้ยินเช่นนั้น หัวใจของนางก็รู้สึกบีบรัดขึ้นมา
[1] ศาลาดอกโบตั๋น เป็นบทละครโรแมนติกโศกนาฏกรรม พูดถึงเรื่องราวความรักระหว่าง Du Liniang และ Liu Mengmei ที่เอาชนะความยากลำบากและก้าวผ่านความตายไปด้วยกันจนถึงตอนสุดท้าย