ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 92 องค์ชายแปดและเหยียนจื่อ
บทที่ 92 องค์ชายแปดและเหยียนจื่อ
บทที่ 92 องค์ชายแปดและเหยียนจื่อ
หลังเหยียนอี้ได้ยินหลี่หรงเฉิงเรียกตนว่า ‘ท่านพี่’ นางก็แทบจะกระอักเลือดออกมา
“องค์ชายแปด ได้โปรดอย่าทำร้ายเหยียนจื่อเลยเพคะ” เหยียนอี้พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้า… ข้าจะทำร้ายนางได้อย่างไร” หลี่หรงเฉิงกล่าว
“เหยียนจื่อถูกทุบตีแบบนี้ องค์ชายแปดคิดว่ามันไม่ใช่การทำร้ายหรือ?” เหยียนอี้นั้นชักจะกังวล จึงเปล่งน้ำเสียงแข็งกระด้างออกมา
“ท่านพี่ อย่า… !” เหยียนจื่ออยากจะขยับ แต่ยามขยับตัว นางก็อดน้ำตาปริ่มไม่ได้
หลี่หรงเฉิงโน้มตัวเข้ามาปลอบนางเร็วรี่ นัยน์ตาคลอความทุกข์ระทมเต็มหน่วย
เหยียนอี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับท่าทีของทั้งสองที่ทำตัวราวกับเป็นเด็ก ๆ
“องค์ชายแปด หากท่านไม่อยากทำร้ายเหยียนจื่อก็รีบออกไปเถิด อย่าให้คนอื่นรู้ว่าท่านติดต่อเหยียนจื่ออย่างใกล้ชิดเช่นนี้อีก” เหยียนอี้กล่าว
“แต่เหยียนจื่อเป็นแบบนี้ ข้าจะ…” หลี่หรงเฉิงลังเลที่จะจากไป
“เหยียนจื่อถูกเฆี่ยนตี องค์ชายแปดนำหมอหลวงมาอย่างเร่งรีบเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ข้างนอกต่างเห็นกันหมด ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องซุบซิบมากขนาดไหน องค์ชายแปดมีสถานะสูงส่ง หม่อมฉันไม่อยากสนใจเรื่องซุบซิบพวกนี้หรอกเพคะ แต่เหยียนจื่อเป็นครอบครัวของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะยอมให้มีเรื่องซุบซิบเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าถึงหูของฮองเฮาและจักรพรรดิขึ้นมา ชีวิตเหยี่ยนจื่อจะเป็นอย่างไร? หากองค์ชายแปดคิดถึงเหยียนจื่อจริง ๆ ก็ออกไปเดี๋ยวนี้เพคะ!” เหยียนอี้ใจร้อนรุ่มจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
หลี่หรงเฉิงเข้าใจดีว่าสิ่งที่นางพูดนั้นสมเหตุสมผล กระนั้นเขาก็ไม่อยากแยกจากเหยียนจื่อไป เขาเลื่อนสายตาไปที่เหยียนจื่อ ค้างอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจตรัสว่า “เจ้าพักผ่อนเถอะ แล้วเจอกันใหม่”
เหยียนจื่อกลัวว่าพี่สาวของตนจะโกรธ จึงพูดว่า “ข้าไม่เป็นไร ท่าน …ท่านไม่ต้องมาอีกแล้ว”
รอยยิ้มหลี่หรงเฉิงประดับไปด้วยความเศร้าตรม “ข้ามักจะคิดหาวิธีที่จะได้พบเจ้าอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา ข้าหวังว่าในภายภาคหน้า เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างถูกต้อง”
ใครเล่าจะไม่หวั่นไหวเมื่อมีบุรุษให้คำมั่นสัญญาเป็นครั้งแรกในชีวิต?
เหยียนจื่อรับฟัง แม้ว่าร่างกายของนางจะเจ็บปวด แต่นางก็ยังเผยรอยยิ้มหวานเชื่อมออกมา ส่วนเหยียนอี้นั้นรู้สึกว่าเรื่องราวช่างน่ารันทด
หลี่หรงเฉิงลุกขึ้นจากไป เขาตรัสกับลั่วอิ๋งที่รออยู่ข้างนอกว่า “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้บอกเจ้านายของเจ้าเกี่ยวกับเรื่องของวันนี้”
แต่ลั่วอิ๋งกล่าวว่า “หากองค์ชายแปดต้องการหาวิธีที่ดีกับทั้งสองฝ่าย เกรงว่าปรึกษากับองค์รัชทายาทจะดีกว่าเพคะ”
หลี่หรงเฉิงไม่เห็นด้วย “พี่รองของข้าเป็นคนที่ไร้เหตุผลที่สุดในเรื่องแบบนี้ หากเจ้าบอกเขา ข้าต้องถูกลงโทษแน่นอน”
ลั่วอิ๋งคิดในใจว่า ‘บางทีพวกท่านสองคนพี่น้องควรกอดกันแล้วถอนหายใจยาว ๆ’
เมื่อไม่มีหน้าที่ใดอีก หลังจากที่หลี่หรงเฉิงจากไปแล้ว ลั่วอิ๋งก็กลับมาที่ตำหนักตะวันออก
ในห้องพักนั้น เหยียนอี้ยังสับสนเล็กน้อย
เหยียนจื่อจับมือเหยียนอี้เอาไว้ ขยับนิ้วอย่างเงียบ ๆ เหมือนตอนเด็ก เหยียนอี้ทนไม่ไหว จึงถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“ท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วง ถึงท่านจะเตือนข้าหลายครั้งแล้ว แต่ท่านพี่ ช่วยไม่ได้จริง ๆ… ข้าอดไม่ได้ที่จะไม่เจอเขา ไม่คิดถึงเขา ไม่…” เหยียนจื่อกล่าว น้ำตารินไหลกลั้นไว้ไม่อยู่
“เหยียนจื่อ เจ้ายังจำได้ไหมว่าเจ้าเป็นใคร” เหยียนอี้ถามนาง
เหยียนจื่อตอบ “แน่นอน ข้าจำได้ ข้ารู้ว่าตัวตนของข้ากับตัวตนของเขามีช่องว่างมากมาย แต่ท่านพี่ ข้า…”
“ลืมไปเถอะ เจ้าโตแล้ว ข้าห้ามอะไรเจ้าไม่ได้หรอก อย่าว่าแต่หัวใจของเจ้าเลย” เหยียนอี้เอ่ย ไร้ความหวังใดในน้ำเสียง “เพียงแต่ถ้าเจ้าสองคนรักกันจริง ๆ ถนนสายนี้จะยากและอันตรายยิ่ง เจ้าพร้อมหรือไม่?”
เหยียนจื่อหวั่นใจอยู่บ้าง ความเจ็บปวด ความตื่นตระหนกยามถูกไม้กระดานฟาดยังติดตรึงอยู่ตามร่างกาย แต่นางรู้อยู่แก่ใจว่าหากนางต้องการอยู่กับเขาจริง ๆ มันคงยากกว่านี้ร้อยเท่า
“ถึงแม้มารดาขององค์ชายแปดจะไม่เป็นที่โปรดปราน เขาก็เป็นองค์ชายอยู่ดี เป็นไปไม่ได้ที่ฮ่องเต้จะอนุญาตให้เขาอภิเษกกับนางรำสำนักเยว่ฝู่ เจ้ารู้ใช่หรือไม่” เหยียนอี้ถามนาง
“ท่านพี่ จริง ๆ แล้ว ข้ารู้ว่าข้าเป็นแค่สาวใช้ชนบท ไม่คู่ควรกับเขาเลย แต่ท่านพี่ ตราบใดที่ข้าสามารถอยู่กับเขาได้ ข้าจะยอมทำทุกอย่าง เป็นเพียงนางสนมก็ไม่เป็นไร” เหยียนจื่อเอ่ยทั้งที่รอยยิ้มยังคงหลงเหลืออยู่บนใบหน้า
“เป็นนางสนม?” เหยียนอี้ประหลาดใจ
“แม้ว่าองค์ชายแปดจะบอกว่า เขาจะแต่งงานกับข้าอย่างถูกต้องและให้ข้าเป็นภรรยาของเขา มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ข้าไม่คาดหวังอยู่แล้ว”
เหยียนจื่อกล่าวต่อ “หลังจากนี้ แม้ว่าข้าจะเป็นนางสนม แต่หัวใจของเขาอยู่กับข้า เช่นนั้นข้าคือภรรยาของเขา สถานะจะสำคัญอย่างไร”
เหยียนอี้ถอนหายใจ “ในเมื่อองค์ชายเต็มใจที่จะมีความรักเช่นนั้น แม้ว่าสุดท้ายจะลงเอยกันมิได้ นี่ก็เป็นเรื่องล้ำค่ามาก”
เหยียนจื่ออธิบาย “เขาบอกข้าว่าในบรรดาองค์ชายในวัง ยกเว้นองค์ชายคนแรกที่แต่งงานแล้วออกจากวังไปมีตำหนักเป็นของตัวเอง ที่เหลือยังไม่มีใครแต่งงาน เขาจึงยังพูดถึงเรื่องนี้ไม่ได้ และอยากให้ข้ารอ”
เหยียนอี้ถามว่า “เหยียนจื่อ แน่ใจเหรอว่าใช่เขาจริง ๆ”
เหยียนจื่อช้อนตาขึ้น ระบายยิ้มให้เหยียนอี้ แล้วพยักหน้าด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว
“แล้วเจ้า… เจ้ามี…” เหยียนอี้ต้องการถามคำถามที่ชัดเจน แต่นางยังไร้ประสบการณ์ในเรื่องนั้น นางจึงเอ่ยออกมาไม่ได้
แต่เหยียนจื่อเข้าใจสิ่งที่นางต้องการจะเอ่ยถึง “ไม่ เขา… เขาเคารพข้ามาก”
“ก็ดี” เหยียนอี้โล่งใจ จากนั้นถึงตักเตือนน้องสาวต่อ
“เหยียนจื่อ ถึงเจ้าจะมีแผนในใจแล้ว แต่ข้าแค่อยากเตือนเจ้า ข้าหยุดเจ้าไม่ได้ นี่คือวังไม่ใช่เมืองอวิ๋นเจี้ยน มีหลายสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้ด้วยตัวเอง”
“เจ้ากับเขา… ควรอยู่ห่างจากกันก่อนที่เรื่องในวังก่อนหน้านี้จะคลี่คลาย หากเจ้าถูกจับหรือถูกโบยอีก เจ้าจะไม่เพียงแต่ถูกทุบตีอย่างวันนี้ แต่อนาคตของเจ้าจะถูกทำลายด้วย เพราะแค่ใครสักคนต้องการสร้างปัญหาให้เจ้า”
เหยียนจื่อฟังพี่สาวพูดอย่างจริงจัง เพราะนางเจอกับเรื่องแย่ ๆ มา นางจึงหวั่นใจอยู่บ้าง สุดท้ายจึงยอมพยักหน้าแล้วตอบรับไปว่า “ท่านพี่ไม่ต้องกังวล ข้าจะระวังให้มากขึ้น”
เหยียนอี้รู้ว่าน้องสาวของนางมีความคิดกว้างไกลมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นเหยียนจื่อถูกขอให้ไปเรียนที่โรงเรียน แต่นางปฏิเสธที่จะเรียนเต้นรำกับชาวหู
ต่อมานางก็ตามมาที่ลั่วหยาง เหยียนอี้บอกให้กลับไป แต่นางปฏิเสธ พอเข้าวังก็ตามมาอีก การเป็นนางรำสำนักเยว่ฝู่ก็เป็นความตั้งใจของเหยียนจื่อ
ตอนนี้ในวังหลวงกำลังห้ำหั่นกัน ในเมื่อไม่มีประโยชน์ที่จะเกลี้ยกล่อม จึงต้องให้นางระมัดระวัง
เหยียนอี้ลูบหลังน้องสาวแล้วกล่าวเตือนต่อไป เหยียนจื่อค่อย ๆ เคลิ้มเหนื่อย นางหลับตาพริ้มหลับไป เหยียนอี้มองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดประตูอย่างแผ่วเบาแล้วยอมจากไป
…
ย้อนกลับไปที่ตำหนักฉืออัน หลางกวนเอ๋อร์ที่กลับมาก่อนได้ถามเหยียนอี้ว่า “แม่ครัวเหยียน เจ้าหายไปนาน มีอะไรเกิดขึ้นกับเหยียนจื่อหรือ”
เหยียนอี้ย่อมไม่อยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นกับเหยียนจื่อแพร่งพรายออกไป นางจึงส่ายหัวตอบกลับไป “ไม่มีหรอก ข้าแค่กังวลมากไป”
เมื่อหลางกวนเอ๋อร์ได้ยินว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็โล่งใจ และถามเหยียนอี้ต่อว่า
“เช่นนั้นทำอย่างไรกับดอกกุ้ยฮวาที่เพิ่งเก็บมาดี?”
เหยียนอี้กล่าว “ข้าอยากทำสูตรใหม่ ของหวานนี้ข้าไม่เคยทำมาก่อน เพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้เองว่าจะทำอย่างไร ขอข้าคิดสักครู่ เจ้ามาช่วยข้าเถิด แช่ดอกไม้พวกนี้ในน้ำเกลือให้ข้าหน่อย”
“น้ำเกลือ?” หลางกวนเอ๋อร์ถามเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“ใช่ อย่าใส่เกลือมากเกินไปล่ะ ในอ่างนี้สามช้อนโต๊ะก็เพียงพอแล้ว ใช้ล้างคราบสกปรกน่ะ” เหยียนอี้กล่าว
หลางกวนเอ๋อร์ตอบตกลงแล้วเดินไปทำตามที่สั่ง
เหยียนอี้พบพู่กันและกระดาษ จึงวางแผนจดสูตรของตัวเอง เพราะนางอยากดูว่าแต่ละขั้นตอนนั้นเป็นอย่างไร
สาหร่ายทะเลแดง สาหร่ายน้ำตาลแดง กราซิลาเรีย*[1] หญ้าเฉาก๊วย ข้าว มันหวาน แป้งข้าวเหนียว แป้งถั่วเหลือง
อย่างที่นางคิด สิ่งแรก ๆ ที่เขียนมักไม่ค่อยใช้กันในวัง นางไม่รู้ว่าในวังมีอยู่บ้างหรือเปล่า
หลังจากที่เขียนไปไม่กี่คำ เหยียนอี้ก็ฉุกคิดถึงภาพของเหยียนจื่อที่เปียกโชกไปด้วยเลือด นางท้วมท้นไปด้วยความหวั่นใจ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บของปลายฤดูใบไม้ร่วง เหงื่อกาฬกลับไหลออกมา
ยิ่งคิดเรื่องของเหยียนจื่อก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ และยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร
นางไม่ได้รู้สึกมีความสุขในฐานะพี่สาวแม้แต่น้อย น้องสาวหาที่พักพิงได้แล้วแท้ ๆ กลับมีแต่ความหวาดกลัว
ในตอนเย็น หลังจากเหยียนอี้ทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว นางก็ขอป้ายจากเหวินต้าชิงเพื่อเปิดห้องเก็บวัตถุดิบ จากนั้นก็ขอให้หลางกวนเอ๋อร์หยิบของในนั้นออกมา นางนำหอมหมื่นลี้ที่ล้างและแช่มาเรียบร้อยแล้วมาตั้งแล้วคิดสูตรของหวานจานใหม่
ขั้นแรก นางต้มพวกสาหร่ายเข้าด้วยกันด้วยน้ำเดือด หลังจากกรองสิ่งเจือปนออกแล้วก็กลายเป็นวัตถุดิบที่โปร่งใส เนื้อสัมผัสอ่อนนุ่มดูละมุนลิ้น
เหยียนอี้วางทุกอย่างที่ผสมกันแล้วลงในหม้อเหล็ก และต้มมันด้วยไฟอุณหภูมิสูง ไม่นานก็กลายเป็นวุ้นใส ๆ
หลางกวนเอ๋อร์ไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “แม่ครัวเหยียน นี่อะไรน่ะ?”
“นี่คือวุ้น” เหยียนอี้ตอบ
“วุ้น? วุ้นที่มีเฉพาะในงานเลี้ยงของไทเฮาน่ะรึ มันกินได้หรือไม่?” หลางกวนเอ๋อร์ทนไม่ไหวจึงเอื้อมยื่นมือออกไปสัมผัส
เหยียนอี้หยิบไม้พายมาเคาะนิ้วของหลางกวนเอ๋อร์ที่กำลังเคลื่อนไปที่วุ้น แล้วดุออกมา “ปากเสีย ของที่ข้าทำ เหตุใดจะกินไม่ได้”
นางขอให้หลางกวนเอ๋อร์นำแป้งมัน แป้งข้าวเหนียว แป้งถั่ว และหญ้าเฉาก๊วยแช่น้ำให้ชุ่มแล้วคนให้เข้ากัน ส่วนนางต้มน้ำจนเดือด ใส่สารส้ม กวนหม้อจนเนื้อนุ่ม โปร่งแสง ดูเหนอะหนะ นั่นคือสิ่งที่เรียกกันว่าวุ้นนั่นเอง
หลางกวนเอ๋อร์ไม่เคยเห็นวิธีการผสมแป้งหลายชนิดเข้าด้วยกันให้ออกมาโปร่งใสเช่นนี้ เขาจึงได้แต่ตะลึง
หลังวุ้นเย็นตัวลง เหยียนอี้ก็เทกลับลงไปในหม้อ ใส่น้ำตาลกรวด ต้มอีกครั้งให้กลายเป็นของเหลว จากนั้นก็ใส่หอมหมื่นลี้ลงไป ห่อด้วยแป้ง ราวกับมีดอกไม้ลอยอยู่ด้านใน ดูสวยงามน่ารับประทานที่สุด
หลางกวนเอ๋อร์ที่ถูกใช้ให้เตรียมของเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เจอแม่พิมพ์สำหรับปั้นอาหารให้เป็นลูกกลม ๆ จึงเอามาวางไว้ใกล้ ๆ เหยียนอี้ค่อย ๆ เทของเหลวในหม้อลงในแม่พิมพ์ด้วยช้อนเล็ก ๆ นางปิดฝาแล้วหันไปพูดกับหลางกวนเอ๋อร์ว่า “เอาไปแช่ในห้องเย็น”
“หนาว ๆ แบบนี้ยังจะกินของเย็น ๆ อีกหรือ” หลางกวนเอ๋อร์ถาม
เหยียนอี้เคาะหัวเขาแล้วยิ้มขำ “ต้องรอถึงพรุ่งนี้ถึงจะกินได้!”
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ทันทีที่หลางกวนเอ๋อร์เข้าไปในห้องเครื่อง เขาก็ถามว่า “แม่ครัวเหยียน ข้ากินลูกแก้วที่ทำเมื่อวานได้หรือยัง”
เหยียนอี้กล่าวว่า “รีบร้อนไปไย ไม่ได้ทำให้เจ้ากินเสียหน่อย”
หลางกวนเอ๋อร์ยิ้มเผล่ “ก็มันน่ากินมากนี่ ไปดูกันเถอะ”
[1] กราซิลาเรีย เป็นสาหร่ายที่ใช้ทำวุ้น ซึ่งจะแข็งตัวได้เมื่อใช้ในปริมาณค่อนข้างสูง