ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 91 เหยียนจื่อถูกโบย
บทที่ 91 เหยียนจื่อถูกโบย
หลี่หรงอวี่พูดกับเหยียนอี้ว่า “ไม่มีใครกล้าให้ข้าเรียกว่าอาจารย์ ลั่วอิ๋งก็ไม่กล้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ น่าเบื่อยิ่งนัก”
เหยียนอี้คิดในใจว่า เขาเป็นถึงองค์รัชทายาทมีสถานะสูงส่ง ไม่รู้ว่ามีกี่คนแล้วที่สอนศิลปะการต่อสู้ให้เขาตั้งแต่เด็ก กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าอ้างว่าเป็นอาจารย์สักคน
“หากข้ามีทักษะดีเหมือนฝ่าบาทและพี่สาวลั่วอิ๋ง หลังจากนี้ข้าคงไม่ต้องลำบากตัวเองปีนต้นไม้ข้ามแม่น้ำ” เหยียนอี้กล่าวยิ้ม ๆ
“หากเจ้าอยากเรียนก็หาเวลามา แล้วข้าจะให้ลั่วอิ๋งสอนเจ้า” หลี่หรงอวี่กล่าว
ลั่วอิ๋งรีบถอยหลังสองก้าวแล้วเอ่ยขึ้นว่า “สาวใช้คนนี้จะกล้าสอนแม่นางเหยียนได้อย่างไร?”
เหยียนอี้แลบลิ้นใส่อย่างซุกซน “พี่ลั่วอิ๋ง ข้าอายุก็มาก กระดูกก็แข็ง สายเกินกว่าจะเรียนแล้วกระมัง”
พวกเขาต่อบทสนทนาด้วยรอยยิ้มอยู่พักหนึ่ง หลางกวนเอ๋อร์ก็เห็นขบวนเกี้ยวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ
หลี่หรงอวี่มองตาม ตระหนักได้ว่าเป็นเกี้ยวของฮองเฮาจึงเดินนำไปทักทาย
ฮองเฮาเห็นหลี่หรงอวี่สนทนาอยู่กับสาวใช้ในสวนหลวงมาแต่ไกล เมื่อทุกคนเดินเข้ามาใกล้ นางก็จำเหยียนอี้ได้ “คนในตำหนักฉืออัน เหตุใดไม่ไปปรนนิบัติไทเฮา มาทำอะไรอยู่ที่นี่?”
เหยียนอี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ทูลฮองเฮา เหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ที่นี่นั้นมาเก็บดอกกุ้ยฮวาหอมกรุ่นไว้ทำของหวานให้ไทเฮาเพคะ”
ฮองเฮาเหลือบมองหลี่หรงอวี่แล้วตรัสอย่างใจเย็น “รัชทายาทเก็บดอกกุ้ยฮวาทำเองเพียงพอหรือไม่”
หลี่หรงอวี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลก่อนจะตอบไปว่า “เพื่อไทเฮา หลานชายอย่างข้าก็แค่อยากจะทำหน้าที่ให้ดี”
ฮองเฮาตอบรับแล้วกล่าวต่อ “เจ้ากตัญญูมาตลอด แต่เจ้าก็เป็นถึงองค์รัชทายาท สถานะของเจ้ามีค่า อย่าเลียนแบบข้ารับใช้ การเย้าแหย่สาวใช้ในวังตามใจชอบเช่นนี้ดูน่าขำนัก”
หลี่หรงอวี่รับฟังสิ่งที่ฮองเฮาพูด แต่ไม่ง่ายเลยที่จะได้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงพูดได้เพียงแค่ “ฮองเฮาสอนบทเรียนให้ข้า ข้าควรจดจำไว้”
ฮองเฮายกมือเชิงสั่งให้ยกเกี้ยวนางขึ้น แต่ก่อนที่นางจะไป นางก็หยุดและหันไปมองเหยียนอี้ “ข้าจำได้ว่านามสกุลของเจ้าคือเหยียน?”
เหยียนอี้ตอบอย่างนอบน้อม “ใช่เพคะ”
ฮองเฮาครุ่นคิด “นามสกุลนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ”
ขันทีซึ่งอยู่ข้าง ๆ ฮองเฮา จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือพ่ะย่ะค่ะ นางรำคนนั้นก็นามสกุลเหยียนเช่นกัน”
เหยียนอี้ได้ยินว่านางรำ นางเดาว่าน่าจะหมายถึงเหยียนจื่อ จึงโพล่งออกมาว่า “นางรำอะไร”
ขันทีจึงกล่าวต่อ “มีนางรำในสำนักเยว่ฝู่เพิ่งได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ตัวนางเบาเหมือนนกนางแอ่น ระบำมือได้ เป็นไปได้หรือไม่ที่นางกับแม่ครัวเหยียนจะรู้จักกัน?”
เหยียนอี้รู้สึกตกใจจึงรีบถาม “นางรำที่พูดถึงชื่อเหยียนจื่อใช่หรือไม่”
หลังขันทีได้ยินก็ถากถางต่อ “ชื่ออะไรข้าจำไม่ได้แน่ชัด ทำไมคนคนนั้นถึงติดต่อกับแม่ครัวเหยียนเล่า?”
เหยียนอี้ได้ยินว่าน้ำเสียงของนางไม่ดี ราวกับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเหยียนจื่อ นางจึงต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “หากนางคือเหยียนจื่อ นางก็เป็นน้องสาวของข้า”
ขันทียังคงรักษาท่าทีสงบ กระนั้นน้ำเสียงก็ยังดูถูกดูแคลน “โอ้…เป็นน้องสาวของแม่ครัวเหยียนงั้นรึ ไม่แปลกใจเลยที่หน้าตาเหมือนกัน”
ฮองเฮาขัดจังหวะขันทีว่า “รัชทายาท ตอนนี้อากาศหนาว สวนหลวงลมแรงนัก อย่ายืนอยู่กับพวกข้ารับใช้นานเลย”
ฮองเฮาขยับกาย ขบวนจึงเคลื่อนจากไปอย่างช้า ๆ
เหยียนอี้สงสัยในใจ ‘ทำไมขันทีคนนั้นถามถึงเหยียนจื่อนัก’
หลี่หรงอวี่ยังคงสับสนเล็กน้อยจึงไม่แสดงท่าทางอะไรออกมา
“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเหยียนจื่อใช่ไหม” หลางกวนเอ๋อกล่าวด้วยความกังวล
“ข้าจะไปหานาง! เจ้านำหอมหมื่นลี้กลับไปที่ห้องเครื่องก่อน” หลังจากที่เหยียนอี้พูดจบ นางก็กล่าวลาหลี่หรงอวี่แล้วตรงไปที่สำนักเยว่ฝู่
หลี่หรงอวี่ไม่สบายใจ แต่การจะตามเหยียนอี้ไปโน่นไปนี่รอบวังไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ เขาจึงหันไปสั่งลั่วอิ๋ง “ตามไปดู”
ลั่วอิ๋งและเหยียนอี้ไปที่สำนักเยว่ฝู่ พบว่าด้านหน้ามีคนเข้าออกปกติ
เหยียนอี้เดินเข้าไป คว้ามือคนที่เดินผ่านมาแล้วถามขึ้น “เจ้ารู้จักเหยียนจื่อหรือไม่ นางอยู่ที่ใด”
ชายคนนั้นดูระแวดระวังมาก “เหยียนจื่อรึ เหตุใดต้องมาหานาง ออกไปซะ ออกไป!”
ลั่วอิ๋งถาม “เกิดอะไรขึ้น กฎของสำนักเยว่ฝู่เข้มงวดมากจนขอพบไม่ได้เลยรึ?”
ทุกคนรู้ว่าลั่วอิ๋งเป็นคนข้างกายองค์รัชทายาทที่น่านับถือ จึงยอมพูดออกมา “เหยียนจื่อมีปัญหาใหญ่ ถูกฮองเฮาลงโทษด้วยการโบยยี่สิบไม้ ตอนนี้ถูกพาไปที่ห้องทิศตะวันตกแล้ว”
เหยียนอี้ได้ยินแล้วก็รีบเข้าไปข้างใน นางเจอห้องพักของเหยียนจื่อในที่สุด องค์ชายแปดหลี่หรงเฉิงและหมอหลวงเปี้ยนก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องเช่นกัน
เหยียนอี้และลั่วอิ๋งรีบโค้งคำนับแล้วถามว่า “เหตุใดองค์ชายแปดจึงมาที่นี่เพคะ?”
หลี่หรงเฉิงดูกังวลไม่น้อย เขาเดินไปที่ประตู ตรัสกับทั้งสองว่า “ข้าพาหมอหลวงมาที่นี่ แต่เหยียนจื่อได้รับบาดเจ็บ รักษาไม่ง่าย ข้าก็เข้าไปไม่ได้เช่นกัน ตอนนี้หมอเปี้ยนสั่งยา มีคนกำลังให้ยานางอยู่”
เหยียนอี้รีบผลักประตูเข้าไปข้างใน เห็นเหยียนจื่อนอนอยู่บนเตียง ดวงตาปิดสนิท ผิวซีดราวกับกระดาษ มีข้ารับใช้แต่งตัวเหมือนนางรำสำนักเยว่ฝู่กำลังทายาบนขาของนาง
“เหยียนจื่อ!” เหยียนอี้มองบาดแผลของน้องสาวแล้วแทบจะเป็นลมด้วยความปวดใจ
ตั้งแต่ต้นขาถึงก้นของนางเต็มไปด้วยรอยเลือด ผิวหนังเปิดถลอก เนื้อบวมเป่ง ยารักษาบาดแผลควรจะบรรเทาความเจ็บปวด แต่เมื่อสัมผัสผิวหนังแล้วกลับทำให้ปวดแสบแทน
เหยียนจื่อกัดฟัน แต่อดทนไม่ส่งเสียงใดออกมา
“เหยียนจื่อ!” เหยียนอี้เรียกอีกครั้งแล้วจับมือน้องสาวเอาไว้ น้ำตาไหลพร่าลงมาตามใบหน้า
เหยียนจื่อรั้งสติไว้ตลอดเวลา แต่เมื่อนางได้ยินเสียงของพี่สาว นางก็ไม่สามารถลืมตาได้ในทันทีทันใด น้ำตาพลันร่วงกราวราวกับไข่มุกที่กำลังร่วงหล่น
เหยียนอี้กอดเหยียนจื่อเอาไว้ ร้องไห้ออกมาอยู่สองคราก่อนจะมองบาดแผลของนาง
เพื่อนของเหยียนจื่อทายาเกือบเสร็จแล้ว นางลุกไปยังประตูเพื่อถามหมอหลวงเปี้ยนว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
หมอหลวงยื่นผ้าพันแผลม้วนใหญ่ให้แล้วกล่าวว่า “แผลใหญ่เกินกว่าจะพันผ้าพันแผลได้ เจ้าพันผ้านี้ให้หนาหลาย ๆ ทบแล้วค่อยคลุมด้วยผ้าห่ม”
นางรำคนเดิมนำผ้าพันแผลเข้ามา เหยียนอี้หยิบมันขึ้นมาแล้วพันให้เหยียนจื่อ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว นางรำก็ถอยจากไปอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะตรงไปที่ห้องน้ำเพื่อดูยาสำหรับเหยียนจื่อ
ทันทีที่เหยียนอี้เอาผ้าห่มคลุมให้เหยียนจื่อ หลี่หรงเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะรุดเข้ามาแล้วถามซ้ำ ๆ ขึ้นว่า “เจ้าสบายดีหรือไม่ เจ็บไหม”
เหยียนจื่อเงยหน้าขึ้น คลี่ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
มองดูท่าทางของสองคนนี้ เหยียนอี้ก็เข้าใจขึ้นมา กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เหยียนจื่อ เจ้ากับข้าเป็นเพียงข้ารับใช้ เขาเป็นองค์ชายที่สง่างาม เราจะทำได้อย่างไร…”
“แล้วเกิดอะไรขึ้น มันเกิดขึ้นได้อย่างไร” เหยียนอี้ถาม
“ใช่ เกิดอะไรขึ้นในตำหนักจาวหยาง?” หลี่หรงเฉิงก็ถามเช่นกัน
เหยียนอี้คิดว่าองค์ชายเองก็คงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เหยียนจื่อกำลังอดทนต่อความเจ็บปวด เลยส่งเสียงเสียงหอบออกมา “อึก…” กว่าจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น เวลาก็ล่วงเลยไปนานแล้ว
นางเล่าว่านางรำหลายคนได้รับคำสั่งให้ไปแสดงในตำหนักจาวหยาง มีฮองเฮา องค์ผิงหยาง และสนมราว ๆ สองคนอยู่ที่นั่นด้วย
หลังจากเหยียนจื่อร่ายรำเสร็จ นางก็รับรางวัลแล้วออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะที่กำลังเตรียมเต้นรำครั้งต่อไป นางก็ทำแหวนหล่น
แหวนนี้ไม่ได้เหมือนแหวนทั่ว ๆ ไป มันเป็นแหวนงูเหลือม มีเพียงองค์ชายในวังเท่านั้นที่จะมีได้
นางรำที่เห็นของแปลกตาจึงหยิบขึ้นมาก่อนแล้วพูดติดตลกเล่น ทว่าเผอิญขันทีที่เดินผ่านมากลับได้ยินเข้า
ขันทีผลักประตูแล้วเข้าไปในห้องแต่งตัว ถามว่ามันคืออะไร เป็นเพียงนางรำไม่มีทางได้มานอกจากองค์ชายเป็นคนมอบแหวนให้
เมื่อขันทีเห็นใบหน้าของเหยียนจื่อ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาจึงกลับไปกระซิบเรื่องนี้กับฮองเฮา
เพราะมีนางสนมคนอื่น ๆ อยู่ด้วย ฮองเฮาจึงไม่ต้องการให้มีการเผยแพร่เรื่องอื้อฉาวในวัง นางจึงให้ขันทีจัดการกำจัดอย่างเงียบ ๆ
คำว่า ‘กำจัด’ หมายถึงการสังหารเหยียนจื่อโดยไม่รู้ตัว แล้วโยนศพทิ้ง
เหยียนจื่อเป็นนางรำยศสูง ได้แสดงพระพักตร์ต่อหน้าฮ่องเต้และไทเฮามาก่อน การสังหารนางตามใจชอบไม่ใช่เรื่องง่าย ขันทีไม่กล้าจัดการนาง เขาจึงถามคำถามเพิ่มอีกสองสามข้อ
เหยียนจื่อบอกว่านางไม่รู้ว่าแหวนนี้เป็นของใคร และไม่รู้ว่าเป็นแหวนขององค์ชาย นางเพิ่งหยิบมันขึ้นมาจากทางเดินโดยบังเอิญ นางคิดว่าแหวนดูมีค่าจึงเก็บมันไว้เงียบ ๆ
ขันทีมองดูบนแหวน พบว่าแหวนทั้งเก่าทั้งมีร่องรอยเสียหาย เขาคิดว่าองค์ชายคนใดคนหนึ่งคงสวมมันมาเป็นเวลานาน พอสายรัดขาดก็หลุดหายไป
ขันทีไม่อาจตัดสินใจได้ว่าจะจัดการอย่างไร ดังนั้นเขาจึงต้องรอจนกว่าทุกคนจะออกไปก่อนที่จะรายงานฮองเฮา
ฮองเฮาไม่ประสงค์จัดการกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ แต่นางกลัวว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่อย่างการผิดประเวณีของนางสนม นางจึงต้องตัดสินเรื่องนี้เอง
เหยียนจื่อยืนยันว่านางเผอิญเก็บแหวนมา หลังเห็นความงามของนาง ฮองเฮาก็หวั่นใจว่านางจะเป็นวิญญาณมาลวงล่อ ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น ฮ่องเต้ก็เสด็จมาที่ศาลพอดี
เมื่อเห็นฮองเฮากำลังลงโทษนางรำ ฮ่องเต้ก็เข้าใจว่าฮองเฮาเพียงแค่หึงหวงหญิงรับใช้หน้าตาสะสวยจนต้องเฆี่ยนตีนางรำที่อุตส่าห์ทำงานหนัก สีหน้าฮ่องเต้จึงไม่พอพระทัยเท่าใดนัก พระองค์หยิบแหวนขึ้นมาดูแล้วตรัสว่า
“ฮองเฮาตรัสว่ามีองค์ชายคนใดคนหนึ่งให้แหวน… แก่นางรำคนนี้งั้นรึ ไร้สาระ! การจะให้ของส่วนตัวกันเช่นนี้ เจ้าจะให้ของเก่าหัก ๆ กับคนอื่นหรือเช่นนี้หรือ”
ฮองเฮาไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาได้ สุดท้ายจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเลิกกล่าวหาเหยียนจื่อที่ล่อลวงองค์ชาย กระนั้นฮองเฮาก็ไม่อาจปล่อยเหยียนจื่อจากข้อหา ‘เก็บของมีค่าจากองค์ชายได้แล้วไม่รายงาน’ ได้ เหยียนจื่อจึงถูกสั่งให้โดนเฆี่ยนตีสามสิบไม้
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ท้วงว่าสามสิบไม้หนักเกินไป ให้เปลี่ยนเป็นยี่สิบไม้แทน
นางถูกตีจนเกือบขาดใจ นางรำสำนักเยว่ฝู่เองก็ไม่สามารถรำต่อไปได้ พวกนาจึงพาเหยียนจื่อกลับมา เผอิญองค์ชายแปดอยู่ที่นี่ เขาจึงเรียกหมอหลวงมา
องค์ชายแปดกังวลถึงอาการบาดเจ็บของเหยียนจื่อ จึงไม่ได้ถามจนกระทั่งเหยียนอี้และลั่วอิ๋งเข้ามา
เมื่อฟังจบเหยียนอี้ก็ตำหนิเหยียนจื่อ “เอาล่ะ แล้วเจ้าจะทำอย่างไรกับของล้ำค่าไร้ที่มาวงนี้?”
เหยียนจื่อเหลือบมองหลี่หรงเฉิง จากนั้นก็ระบายรอยยิ้มออกมา “ข้าไม่คิดอย่างนั้นนะ” หลังจากพูดเสร็จ นางก็รู้สึกแสบแผลอีกครั้ง จึงร้องคร่ำครวญออกมาเบา ๆ
หลี่หรงเฉิงกุมมือนางก่อนจะกล่าวขอโทษ “แหวนนั่นเป็นของข้าเอง แต่เหยียนจื่อเห็นว่าด้านบนเก่าแล้วจึงตั้งใจจะเอาไปทำใหม่ให้ข้า”
เหยียนจื่อเอ่ยปลอบขวัญองค์ชาย “มันเป็นเพราะหม่อมฉันไม่ระวังเอง หม่อมฉันใส่มันในกระเป๋าเสื้อแล้วลืมเอามันออกมา มันหล่นตอนนั้นพอดี ถ้าฮ่องเต้กับฮองเฮารู้ว่ามันเป็นของท่านขึ้นมาล่ะ?”
หลี่หรงเฉิงยืนยัน “ไม่เป็นไร เพราะหากเสด็จพ่อไม่เชื่อว่าข้าทำหาย หลังจากนั้นข้าค่อยแสร้งทำเป็นว่าของหายแล้วเดินไปรอบ ๆ ทางเดินแค่นั้นเอง”
เหยียนอี้แอบประหลาดใจเมื่อได้ยินว่าทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันเช่นนี้ ไม่คิดว่าน้องสาวตนจะเอาของใกล้ชิดองค์ชายติดตัวกลับไป
“เจ้าสองคนติดต่อกันมานานแค่ไหนแล้ว” เหยียนอี้ถาม
เหยียนจื่อซุกใบหน้านางไว้ในผ้าห่มด้วยท่าทีเขินอาย
หลี่หรงเฉิงจึงเป็นฝ่ายตอบขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้าจริงใจกับเหยียนจื่อ”