ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 90 หอมหมื่นลี้
บทที่ 90 หอมหมื่นลี้
บทที่ 90 หอมหมื่นลี้
“ไปเอาเงินมาซื้อสุสานให้นาง เผาแล้วฝังซะ อย่าให้นางอยู่ในหลุมศพรวมกับคนอื่น ๆ” ไทเฮาตรัส
ฟางกูกูพยักหน้า
โจวเจียเอ๋อร์ขอตัว เหยียนอี้จึงรีบหาเหตุผลขอตัวออกมาเช่นกัน นางตามโจวเจียเอ๋อร์แล้วถามออกไป
“สนมจางทำจริง ๆ งั้นหรือ?”
โจวเจียเอ๋อร์ตอบไปว่า “หรงกูกูสิ้นชีวิตหลังกระแทกเสา คำพูดของนางในตอนสุดท้ายของชีวิตจึงเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อได้”
‘สนมจางจะลอบปลงพระชนม์เพื่ออะไรกัน?’ เหยียนอี้นึกในใจ
“คนในวังต่างอยากอยู่สงบ ๆ และมั่นคงกันทั้งนั้น ตอนแรกก็ไม่มีอะไรหรอก แต่วังเป็นสถานที่ที่กลืนกินผู้คน ทว่าลำพังเพียงแค่จิตใจไม่อาจกลืนช้างทั้งตัวได้” โจวเจียเอ๋อร์ถอนหายใจ
เหยียนอี้ลอบยิ้มให้กับคำพูดของขันทีตัวน้อย “เจ้าเด็กนี่ถอนหายใจเป็นด้วยรึ”
นางยิ้มขำกับโจวเจียเอ๋อร์พักหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวต่อ “หรงกูกูเป็นคนอารมณ์ดี ตอนข้ามาตำหนักฉืออันครั้งแรก นางพูดกับข้าเยอะมาก ไทเฮาก็สนิทกับนางมานานหลายทศวรรษ นางจะทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”
“อนิจจา” โจวเจียเอ๋อร์ถอนหายใจ “ท้ายที่สุด พวกเราเป็นเพียงข้ารับใช้ที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้”
เหยียนอี้เตือนโจวเจียเอ๋อร์ “หลังเกิดเรื่องนี้กับไทเฮา ฮ่องเต้คุมเข้มเพื่อไม่ปล่อยให้วังต้องเปื้อนเลือดอีก เขาส่งขันทีและสาวใช้ในวังที่ส่งอาหารและทดสอบยาพิษไปที่ห้องลงทัณฑ์ ใช้งานหนักหน่วง ข้าเกือบจะโดนไล่ออก โชคดีที่ไทเฮาช่วยเอาไว้”
“เจ้าอยู่เคียงข้างฮ่องเต้ มีหลายคนจดจ้องเจ้าอยู่ เจ้าต้องระมัดระวังในทุกเรื่อง อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ว่าอะไรถูกอะไรผิด เหมือนข้า”
โจวเจียเอ๋อร์ระบายยิ้ม “แม่ครัวเหยียนไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร ข้ารับใช้เหล่าราชวงศ์ ข้าระวังทุกอย่าง”
เหยียนอี้ส่งโจวเจียเอ๋อร์ออกไปแล้วค่อยย้ายกลับไปที่ห้องเครื่องเพื่อทำงาน
ตั้งแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ข้าราชบริพารในครัวต่างกังวลเกี่ยวกับงานของตนมากขึ้น ตั้งแต่การตักน้ำ การล้างผัก หรืออาหารที่ออกจากหม้อไปยังปากของไทเฮา เหวินต้าชิงแทบทนสายตาร้อยแปดสิบคู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะวัตถุดิบหรือรายการอาหารอะไร เขาต้องถามย้ำหลายครั้ง
“ใต้เท้าเหวิน ท่านเหนื่อยเกินไปแล้ว ท่านใช้พลังทำทั้งหมดนี้ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เหยียนอี้ปลอบโยน
เหวินต้าชิงส่ายหัว สีหน้าเหนื่อยเต็มที
“ถึงจะไม่ได้เกิดเหตุในห้องเครื่อง แต่เราถูกใช้อาหารเป็นเครื่องมือ ทั้งห้องเครื่องวุ่นวายขนาดนี้คงหลีกเลี่ยงคนร้ายได้ยาก จะไม่ระวังได้หรือ หากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นอีก ข้าจะชดใช้ได้อย่างไร!”
อู่ต้าถง ขันทีผู้ชิมอาหารตรวจสอบพิษกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเหวินไม่ต้องกังวลไป ภายภาคหน้าไม่ว่าไทเฮาจะรับประทานอาหารอะไร คนรับใช้ของข้าจะคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิด หากใครวางยาพิษอีก ข้าจะเป็นคนแรกที่ต้องชดใช้”
เหวินต้าชิงเหวี่ยงมีดทำครัวดังลั่น ใบหน้าฉาบรอยยิ้ม “อาชีพของเจ้านั้นอันตรายจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าได้เป็นผู้บังคับบัญชาฝ่ายในระดับแปด ทั้งที่เข้าวังมาเดือนเดียวกับข้า”
อู่ต้าถงพูดไม่ออก “งานที่มีความเสี่ยงสูง จะดีหรือไม่ดี ในภายภาคหน้านั้น เราทำได้เพียงเหลือโลงศพไว้ดูต่างหน้า”
“อย่ากังวล หากเจ้าได้ลิ้มรสอาหารมีพิษจริง ๆ ไทเฮาจะสร้างสุสานให้เจ้าอย่างแน่นอน ดูอย่างหรงกูกู แม้นางทำเรื่องเช่นนี้ แต่ไทเฮากลับไม่ยอมปล่อยให้นางตายอย่างยากลำบาก อีกทั้งยังสวดมนต์ให้นางด้วย” ขันทีอีกคนกล่าว
เหวินต้าชิงหน้าซีดเผือด “ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้วว่าจะไม่มีใครในวังพูดถึงชื่อหรงกูกูอีก!”
ขันทีคนนั้นถูกตักเตือน เขารีบย่นคอเช็ดโต๊ะต่อไป ไม่ปริปากคำใดอีก
แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนว่าไทเฮานิ่งกับเรื่องนี้ แต่หรงกูกูก็รับใช้พระองค์มานานหลายทศวรรษ
ไม่ว่าในกรณีใด ไทเฮาก็คงมีบาดแผลในใจที่ยากต่อการบรรเทา ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ป่วยในครั้งนี้ สุขภาพของพระองค์ก็ไม่ค่อยดีเท่าเมื่อก่อน พระองค์สูญเสียความอยากอาหารไปมาก
เหยียนอี้คิดว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้แสดงความสามารถออกมา นางอยากทำอาหารอร่อยสดใหม่เพื่อทำให้ไทเฮาอารมณ์ดีขึ้น
แม่ครัวอย่างนางจะทำอะไรได้อีก
ไม่มีอะไรมีความสุขไปกว่าของหวานแล้ว
แต่ไทเฮาชรามากแล้ว กลัวว่าจะเป็นเบาหวาน ทรงเสวยของหวานไม่ได้ ของที่หวานเกินไปยิ่งแล้วใหญ่ อีกทั้งตอนนี้อากาศเริ่มหนาวเหน็บ พระองค์เสวยอะไรที่เย็นเกินไปไม่ได้เช่นกัน แล้วนางสามารถทำอะไรได้บ้าง?
ขณะที่นางกำลังคิด นอกห้องเครื่องก็เกิดโกลาหล
“พวกมาใหม่มาแล้วกระมัง แม่ครัวเหยียน ออกไปดูกันเถอะ” เหวินต้าชิงกล่าว
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดกับตำหนักฉืออันครั้งก่อน หลายคนถูกคัดออกจากห้องครัว กระนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่คนเก่าจะออกไปและมีคนใหม่เข้ามา
มีสาวใช้ในวังสี่คนและขันทีห้าคนในกลุ่มที่ได้รับเลือกมาใหม่ ฟางกูกูเลือกเองเป็นการส่วนตัว ทุกคนล้วนมีมือและเท้าที่สะอาดสะอ้าน ทำงานรวดเร็วและมีประสบการณ์ เหวินต้าชิงมองไปทีละคนแล้วจึงมอบหมายงานให้พวกเขา
เหยียนอี้เห็นหลางกวนเอ๋อร์ผู้เป็นสหายรักสมัยอยู่ในห้องเครื่องหลวง หลางกวนเอ๋อร์เองก็เห็นนางเช่นกัน เขาจึงทักทาย
เหยียนอี้พูดกับเหวินต้าชิงว่า “ท่านสามารถมอบหมายขันทีคนนี้ให้ข้าได้หรือไม่ ข้าเป็นสหายกับเขาตอนอยู่ในห้องเครื่องหลวง”
เหวินต้าชิงไม่ปฏิเสธคำขอนั้น
หลางกวนเอ๋อร์เดินตามเหยียนอี้ก่อนจะถามนางเบา ๆ ว่า “เจ้าอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง โดนรังแกหรือเปล่า”
เหยียนอี้กล่าวยิ้ม ๆ “นี่เป็นสิ่งที่ข้าจะถามเจ้าตั้งแต่แรกเช่นกัน หลังจากที่ออกจากห้องเครื่องหลวง มีใครมารังแกเจ้าไหม”
หลางกวนเอ๋อร์ยืดหลังตรงแล้วพูดว่า “อย่างน้อยข้าก็เป็นผู้ชาย ต่อให้ถูกรังแก ข้าจะบอกเจ้าได้อย่างไร”
เหยียนอี้ยกมือขึ้นกลั้นเสียงหัวเราะ “ไม่ต้องกังวลน่า ข้าจะปกป้องเจ้าในตำหนักนี้เอง จะไม่มีใครรังแกเจ้าอีก!”
หลางกวนเอ๋อร์ยิ้มร่า “แม่ครัวเหยียน เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถมากยิ่ง ข้ารู้ว่าข้าติดตามคนไม่ผิด”
เหยียนอี้ได้กลิ่นน้ำหอมลอยผ่านจมูกมา “เจ้าใช้ผงหอมหรือเปล่า?”
ขันทีน้อยยกแขนเสื้อขึ้นแล้วดมตัวเองดู “ไม่ใช่หรอก ข้าเก็บดอกไม้ตลอดบ่าย กลิ่นเลยติดตัวมาน่ะ”
เหยียนอี้ถามต่อ “ตอนนี้ก็ปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ดอกไม้ร่วงหล่นอยู่ที่ใดรึ ข้าเห็นใบไม้ร่วงอยู่ทุกหนทุกแห่ง เจ้าไปเรือนบุปผาแล้วหรือยัง?”
ในเรือนบุปผานั้นรวบรวมดอกไม้ที่มีชื่อเสียงมากมายที่ชาวสวนหลวงปลูกไว้ ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ด้านใน เรียกว่าเหมือนปกคลุมด้วยฤดูใบไม้ผลิตลอดทั้งปี
หลางกวนเอ๋อร์กล่าวว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่ามีต้นกุ้ยฮวาหลายต้นปลูกไว้ที่ทิศตะวันออกของสวนหลวง ดอกไม้ชนิดอื่นบานช้ากว่าต้นกุ้ยฮวาเล็กน้อย ตอนนี้มันบานสะพรั่ง ลู่อวิ๋นกับคนอื่นอยากเอาไปทำหมอนเครื่องหอม จึงลากข้าให้ไปช่วยเก็บดอกไม้ที่ร่วงแล้ว ได้ยินว่าข้าจะได้ใบหนึ่ง ข้าเลยยอมไปด้วย”
เหยียนอี้บอกว่าตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ดอกกุ้ยฮวารอบ ๆ ร่วงโรยไปหมด นางไม่อยากได้ดอกไม้ชนิดอื่น จึงเอ่ยเสียงหวานออกมา “หลางกวนเอ๋อ พาข้าไปนะ ข้าจะเก็บดอกกุ้ยฮวามาทำของหวาน”
“เอาไปทำของอร่อยอีกแล้วหรือ” หลางกวนเอ๋อร์ถาม
เขายังจำได้ว่าเมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ขนมดอกกุ้ยฮวาที่เหยียนอี้ทำให้เขาทานก็มีรสชาติอร่อย และรสชาติของขนมกุ้ยฮวาที่นางจะทำคงอร่อยมากเช่นกัน
เหยียนอี้ไม่ต้องการทำขนมดอกกุ้ยฮวารสชาติหวานนัก นางต้องการทำของหวานชนิดใหม่ แต่นางยังไม่เคยทำ นางจึงอยากลองฝีมือ
สถานที่ที่ดอกกุ้ยฮวาบานอยู่ค่อนข้างไกลจากตำหนักฉืออัน เหยียนอี้และหลางกวนเอ๋อร์เดินไกลเพื่อไปถึง เดิมทีเหยียนอี้คิดว่านางสามารถยืนเก็บใต้ต้นไม้ได้ ไม่คิดว่าพอมาถึงแล้วต้นจะสูงใหญ่เช่นนี้
แม้ว่าหลางกวนเอ๋อร์จะพบก้อนหินให้เหยียบขึ้นไปเก็บ แต่เขาก็เอื้อมไม่ถึงอยู่ดี
เหยียนอี้อยากรีบทำ นางจึงตัดสินใจปีนต้นไม้
“เหยียนอี้ อย่าเลย มันอันตราย! ในวังมีกฎห้ามคนในวังปีนต้นไม้” หลางกวนเอ๋อร์เตือน
“แล้วอย่างไร?” เหยียนอี้กล่าวว่า “ดอกเล็กเช่นนี้ดันต้นให้ร่วงลงมาจะไม่สกปรกหรือ?”
“ดูนี่สิ ร่วงบนพื้นตั้งมากมาย ตอนเช้าลู่อวิ๋นกับคนในครอบครัวเก็บดอกที่ร่วงไปทำหมอนเช่นกัน” หลางกวนเอ๋อร์อธิบาย
เหยียนอี้ส่ายหัว “อาหารของไทเฮา เราจะใช้ดอกบนพื้นดินได้อย่างไร มันไม่สะอาด อีกทั้งยังถือว่าดูหมิ่นพระองค์เกินไป”
หลางกวนเอ๋อร์ประเมินความสูงแล้วนั่งยอง ๆ ลง เขาเสนอว่า “เอาล่ะ เหยียบหลังข้าแล้วกัน”
เหยียนอี้งงอยู่ชั่วขณะ “ไม่ได้หรอก ข้าตัวหนักมาก เจ้าเหยียบข้าแทนไหม”
หลางกวนเอ๋อร์หัวเราะแล้วกล่าวต่อ “พี่สาวที่ใจดีของข้า พูดเป็นเล่นไป เดี๋ยวเจ้าก็แบนพอดี”
“กำลังทำอะไรกันอยู่?” จู่ ๆ หลี่หรงอวี่ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหนึ่ง ตามด้วยผู้ติดตามที่ใกล้ชิดทั้งสองคน นั่นคือลั่วอิ๋งและอู๋เกา
เหยียนอี้และหลางกวนเอ๋อร์ทำความเคารพอย่างรวดเร็ว
เหยียนอี้ตอบไปว่า “ต้นกุ้ยฮวาสูงเกินไปที่จะเก็บเพคะ พวกข้าเอื้อมไม่ถึงจึงกำลังหาวิธี”
หลี่หรงอวี่มองดูต้นกุ้ยฮวา จากนั้นปรายตาไปยังลั่วอิ๋ง
นางรับคำสั่ง ค่อย ๆ ยกขาแล้วกระโดดขึ้นไปบนต้น วางเท้าบนกิ่งไม้กิ่งบาง ประคองตัวด้วยการจับกิ่งข้างหนึ่ง จากนั้นเปลี่ยนไปจับอีกกิ่งที่แข็งแรงกว่า แล้วทิ้งน้ำหนักลงบนกิ่งใต้ฝ่าเท้าที่อยู่ไม่ไกลจากเหยียนอี้และหลางกวนเอ๋อร์
เหยียนอี้และหลางกวนเอ๋อร์ทึ่งกับความเท่ของลั่วอิ๋ง คนที่อยู่เหนือกว่าจึงเอ่ยขึ้นว่า “รออะไรอยู่เล่า เก็บดอกไม้เร็วเข้า”
หลางกวนเอ๋อร์รีบหยิบถุงผ้าฝ้ายที่ถืออยู่ออกมา เขย่าเล็กน้อย แล้วใส่ดอกกุ้ยฮวาลงไป
เหยียนอี้รีบเข้าไปช่วย หลี่หรงอวี่เข้ามายืนข้างนางโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งสองจึงได้เก็บดอกกุ้ยฮวาด้วยกัน
ปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ กลิ่นหอมหมื่นนี้นั้นหอมไปทั่วจริง ๆ เหยียนอี้จึงเผลอจามออกมาเพราะกลิ่นนี้
นางไม่อยากจามใส่ดอกไม้ที่ต้องใช้ปรุงอาหารให้ไทเฮา จึงเบี่ยงศีรษะไปอีกทาง “ฮัดชิ้ว”
เหยียนอี้จามใส่หลี่หรงอวี่
ใบหน้านางแดงซ่านด้วยความอับอาย
หลางกวนเอ๋อร์นั้นราวกับคนตาบอด หลังเห็นเหยียนอี้จาม เขาก็ถามนางว่า “เจ้าแพ้กลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาหรือ เหตุใดต้องหน้าแดงเล่า”
เหยียนอี้มองไปที่คนพูด ทาบมือผ่านผิวแก้มของตัวเองที่เห่อร้อนและกำลังขึ้นสีแดงระเรื่อ
ทั้งสามคนเก็บดอกกุ้ยฮวาได้ครึ่งถุงในเวลาไม่นาน
ลั่วอิ๋งจึงผละออกจากกิ่งแล้วลงพื้นอย่างมั่นคง
เหยียนอี้ยกนิ้วโป้งให้แล้วชมว่า “ข้าไม่เคยนึกเลยว่าพี่สาวลั่วที่เงียบขรึมจะมีวรยุทธ์สูงเช่นนี้”
รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของหลี่หรงอวี่ “ลั่วอิ๋งเรียนเกี่ยวกับกังฟู ยกเว้นการฝังเข็ม นางเรียนรู้เรื่องนี้กับข้าตั้งแต่ยังเด็ก คนที่สอนเราล้วนเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ไม่แปลกที่นางจะเก่งกาจ”
เหยียนอี้ถามขึ้น “พี่สาวลั่วและฝ่าบาทเป็นศิษย์สำนักเดียวกันหรือ?”
ลั่วอิ๋งรีบพูดว่า “ข้าเป็นแค่ข้ารับใช้ อาจารย์ของฝ่าบาทสอนข้าสองสามท่าเป็นครั้งคราวเท่านั้น ฝ่าบาทไม่ได้เรียกว่าอาจารย์ ข้าก็ไม่ได้รับการสอนเป็นการส่วนตัว จะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันได้อย่างไร?”