ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 89 ความจริงเปิดเผย
บทที่ 89 ความจริงเปิดเผย
บทที่ 89 ความจริงเปิดเผย
หลังจากสาปแช่งฮองเฮา สนมจางก็รีบรุดขึ้นประสงค์ทำร้าย เฉินฟู่เซินจึงรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วหยุดนางเอาไว้
สนมจางที่ไม่อาจขยับตัวได้ก็ถ่มน้ำลายใส่ฉลองพระองค์ของฮองเฮา
“ลากตัวออกไป!” ฮ่องเต้สั่ง
ข้าราชบริพารฝ่ายในสามสี่คนลุกขึ้นมาลากตัวสนมจางออกไป
นางสบถ ร่ำไห้ โวยวายราวกับคนเสียสติ
เมื่อฮองเฮาเห็นว่าฮ่องเต้ยังเห็นแก่สนมจางโดยการไว้ชีวิต ก็เกรงว่าจะเป็นการถอนหญ้าไม่ถึงราก นางจึงต้องการจะเอ่ยต่อ แต่ฮ่องเต้ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
“ฮองเฮา นี่คงเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับเจ้าแล้ว ยังไม่พอพระทัยอีกรึ” ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ราวกับว่าคำพูดทั้งหมดติดอยู่ในลำคอ นางจำได้ว่าตอนถูกกักบริเวณในตำหนัก แม้ว่าจะถูกปล่อยตัวในภายหลัง นางก็ไม่ได้เอ่ยคำใดแม้แต่คำเดียว
ตอนนี้สนมผู้สูงศักดิ์อย่างสนมจางถูกลดระดับเป็นสามัญชน แต่น้ำเสียงของฮ่องเต้ที่มีต่อนางยังคงไร้ความปรานีเช่นเคย นางจึงขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย
ความขุ่นเคืองหวนกลับมาอีกครา นางไม่เคยเรียนรู้ที่จะทำตัวออดอ้อนเหมือนสนมจางกระมัง ไม่ว่าจะไปที่ใด เมื่อไร สิ่งแรกที่นางสนใจคือตัวตนและหน้าตา
ฮ่องเต้เอาแต่ขัดคำพูดของนาง นางจึงทำได้เพียงกลืนคำพูดลง แล้วออกไปจากห้องทรงอักษรโดยไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก
ทันทีที่ก้าวออกจากห้องทรงอักษร นางก็ได้ยินเสียง ‘เพล้ง ตึง โครม’ ตามมา ฮ่องเต้คงโกรธจัดจนต้องโยนถ้วยชาระบายอารมณ์
ฮองเฮาทรงเย้ยหยันกับกิริยานั้น เสด็จขึ้นเกี้ยวแล้วสั่งว่า “กลับวัง!”
ข้าราชบริพารฝ่ายในที่เพิ่งเดินไปไม่กี่ก้าวเห็นองค์ชายสี่หลี่หรงซือ รีบเสด็จเข้ามาหลังจากได้รับข่าว
องค์ชายอยู่ทัพหลวงจึงยังคงสวมชุดเกราะทหารเอาไว้ แต่เขาไม่ได้แบกดาบเข้ามาในวังด้วย
หลี่หรงซือไม่ได้หยุดให้ขบวนของฮองเฮา เขากลับกำหมัดแน่นแล้วรีบไปที่ห้องทรงอักษร
นางในของฮองเฮาไม่พอใจกับท่าทางไร้มารยาทนั้น “มันจะมากไปแล้ว!”
ริมฝีปากของฮองเฮากระตุก จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะ “เพราะวันนี้อากาศดี ข้าจะไม่สนใจเรื่องนี้”
ฮ่องเต้ไม่อนุญาตให้หลี่หรงซือรุกล้ำเข้าไป แต่ส่งจ้าวอันออกไปเพียงคนเดียว หลี่หรงซือไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาคุกเข่าลงหน้าประตู จ้าวอันเกลี้ยกล่อมเขาอยู่สองสามคำ แต่ก็เปล่าประโยชน์ เขาจึงกลับเข้าไปรับใช้ฮ่องเต้ด้านใน
ฮองเฮากลับมายังตำหนักจาวหยาง ตรัสสั่งขันทีว่า “ไปเอาสุรามา วันนี้ข้าจะดื่มสุราดี ๆ สักแก้ว”
ขันทีโค้งรับคำสั่ง จากนั้นจึงเดินออกไปสั่งให้ทุกคนกลับไป ส่วนเฉินฟู่เซินนั้นให้อยู่เฝ้าตำหนักเพียงคนเดียว
ฮองเฮามองเฉินฟู่เซินอยู่นาน สายตาเต็มไปด้วยความหมาย นางตรัสขึ้นว่า “วันนี้อันตรายจริง ๆ แต่โชคดีที่เจ้าพาหลานชายคนใหม่ของตระกูลหรงมาที่นี่ล่วงหน้า ไม่เช่นนั้นนางคงทรยศข้าแล้วยกหินทุบเท้าตัวเองพอดี”
เฉินฟู่เซินกล่าวว่า “ทั้งชีวิตครอบครัวนางอยู่ในมือของกระหม่อม นางย่อมไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก”
ฮองเฮาแย้มสรวลพลางกล่าวต่อ “ต้องขอบใจเจ้าที่มีแผนการแยบยลเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นหรงกูกูที่เป็นดั่งสหายของไทเฮากว่าห้าสิบปีจะเต็มใจเสียสละชีวิตเพื่อช่วยเราใส่ร้ายสนมจาง นังสุนัขตัวเมียนั้นเหรอ?”
เฉินฟู่เซินกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม “กระหม่อมจะออกจากวังเงียบ ๆ ในตอนเย็น แล้วปล่อยลูกชายไร้ประโยชน์ทั้งสองคนของนาง แต่…”
“แต่อะไร” ฮองเฮาถาม
“กระหม่อมอยากทูลฮองเฮาว่าหากทรงมีเวลาว่าง พระองค์ช่วยพูดกับท่านแม่ทัพ และให้ตำแหน่งทางการแก่ลูกชายทั้งสองของหรงกูกูได้หรือไม่” เฉินฟู่เซินเอ่ยขอ
ฮองเฮานวดขมับ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “หรงกูกูเพิ่งวางยาพิษเพื่อคร่าชีวิตไทเฮา หากบุตรชายทั้งสองได้รับการเลื่อนยศมันจะไม่มากไปหน่อยหรือ?”
เฉินฟู่เซินรีบยกริมฝีปาก “ฮองเฮายังคงคิดอย่างรอบคอบเสมอ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ กระหม่อมได้แลกเปลี่ยนสัญญานี้กับชีวิตของหรงกูกู จึงอยากรักษาสัญญาก็เท่านั้น”
ฮองเฮากลับมีท่าทีไม่แยแส นางเล่นกับชุดในมือแล้วถามขึ้น “พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เจ้าทำให้หรงกูกูมาอยู่ฝ่ายเราได้อย่างไร ก่อนหน้านี้ข้าคร้านจะถามนาง”
เฉินฟู่เซินตอบ “ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูกยิ่งใหญ่นัก เต็มใจสละทุกสิ่ง หรงกูกูมีลูกชายสองคนทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของท่านแม่ทัพ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เอาแต่ดื่มเหล้า เล่นการพนันตลอดทั้งวัน เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ลูกชายคนโตของนางสูญเสียเงินในบ่อนไปแทบหมดตัว เกือบโดนตัดแขน แต่มีคนช่วยไว้”
ฮองเฮาพ่นลมหายใจเบา ๆ “เป็นคนที่เจ้าจัดเตรียมไว้หรือ?”
“ข้า?” เฉินฟู่เซินยิ้มราวกับต้องการเยาะเย้ยตัวเอง
“ลูกชายคนที่สองของหรงกูกูเมามายมากจนมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่น ๆ เขาไปทำให้ลูกชายคนที่สามของจวนหนิงกัวขุ่นเคือง เพียงคำสั่งเดียว เขาก็ถูกคุมขังในจวน หรงกูกูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทูลถามไทเฮา แต่ไทเฮากลับสั่งสอนนางว่าลูกชายนางสมควรได้รับผลการกระทำแล้ว จึงไม่ได้ยื่นมือช่วยเหลือ”
ฮองเฮารับฟังอย่างยินดีปรีดา พยักหน้าตามคำพูดของเฉินฟู่เซิน “หรงกูกูขอความช่วยเหลือไม่ได้ จึงเกลียดชังไทเฮาอย่างสุดซึ้ง จับลูกชายของนางมาถูกเวลาจริง ๆ”
“เป็นฮองเฮาต่างหากที่ช่วยผู้คนจากไฟและน้ำ” เฉินฟู่เซินโค้งกาย ดูคล้ายอยากจะชมเชย แต่มีความหมายมากกว่านั้น
“หืม เจ้าน่ะเป็นมารร้าย ทำสิ่งเหล่านี้โดยที่ข้าไม่รู้ ให้คนอื่นคิดว่าเป็นแผนการของข้า” ฮองเฮาตรัส
เฉินฟู่เซินลอบเย้ยหยันอย่างเงียบงัน เขาก้มศีรษะลง ไม่เผยสีหน้าใด
“สิ่งที่กระหม่อมทำไม่ใช่เพื่อฮองเฮาหรอกหรือ” เขากล่าว
“เจ้าอยู่เพื่อวังนี้หรือเพื่อตัวเอง เจ้ารู้อยู่แก่ใจ” ฮองเฮาถ่มน้ำลาย
“ฮองเฮาทรงฉลาดล้ำ เข้าใจความอุตสาหะของกระหม่อมอย่างยิ่ง” เฉินฟู่เฉินตอบ
ฮองเฮาเหยียดนิ้ว พยักหน้าให้เฉินฟู่เซิน “วังนี้แตกต่างจากลูกชายที่ไร้ประโยชน์ของกษัตริย์ยง เจ้าไม่ควรมีลูกเล่ห์ใด ตราบใดที่เจ้าทำงานอย่างซื่อสัตย์เพื่อวังแห่งนี้ ตัวตนของเจ้าจะไม่มีวันถูกเปิดเผย”
แผ่นหลังเฉินฟู่เซินสั่นสะท้าน เขาตอบไปว่า “ฮองเฮากุมความลับและชีวิตกระหม่อมไว้ในฝ่ามือ กระหม่อมจะกล้าดีทำผิดพลาดได้อย่างไร กระหม่อมจะทำตามคำสั่งพระองค์เพียงเท่านั้น”
“เจ้าจะไม่ได้รับจุดจบที่ดีหากร่วมมือกับนังสารเลวนั่น เข้าใจไหม” ฮองเฮาย้ำอีกครั้ง
เฉินฟู่เซินยืนยัน “กระหม่อมเข้าใจแล้ว”
“ดีมาก ออกไปเถิด” หลังจากพูดจบ ฮองเฮาก็หลับตาลงเพื่อพักผ่อน
เฉินฟู่เซินเดินออกจากห้องโถง ขันทีและข้าราชบริพารสองสามคนในตำหนักจาวหยางอยู่ด้านนอก เขาพยักหน้าให้ขันทีเป็นคำทักทายแล้วเดินตรงไปที่ทางเดินทิศตะวันตก
มีนางในตัวน้อยยืนอยู่ตรงทางเดินด้านทิศตะวันตก นางตัวเล็กไม่มีราศีใด
เฉินฟู่เซินเดินผ่าน นางเดินมาทางเดียวกันเช่นกัน
ทั้งสองเดินไปจนสุดทาง เข้าสู่ที่เปลี่ยวไร้ผู้คนจึงหยุดฝีเท้าลง
“ท่านทำธุระเสร็จแล้วหรือ” นางถาม
ใบหน้าของเฉินฟู่เซินไม่ค่อยดีนัก เขาตอบไปว่า “กลับไปบอกหลี่หงเสวี่ยว่าแผนการนี้แย่สิ้นดี หากภายหลังจะทำเช่นนี้อีกก็ต้องแจ้งข้าก่อน”
นางในคนเดิมยกมุมปากแล้วกล่าวขึ้น “ข้าน้อยเองก็เพิ่งได้รับแจ้งเมื่อวานนี้”
“หยุดแสร้งทำเป็นโง่ได้แล้ว! เฉินฟู่เซินตำหนิ เสียงทุ้มพร่าลง “หากยังถือว่าข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนก็อย่าผลีผลามทำเอง เรื่องพระสนมมันเป็นอย่างไร แน่ใจแล้วหรือว่าจะคุ้มค่า”
เห็นได้ชัดว่านางในผู้นี้สมคบคิดกับหลี่หงเสวี่ย นางเอ่ยแต่ละประโยคอย่างราบนิ่ง ไม่ถ่อมตัว ไม่หยิ่งผยองจนเกินไป “เรื่องของสนมจางไม่ได้สำคัญอะไร สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับท่านคือการได้รับความไว้วางใจจากฮองเฮาต่างหาก”
“ข้าจะได้รับความไว้วางใจจากฮองเฮาหรือไม่ ก็ไม่ควรเอาชีวิตของผู้อื่นมาเป็นตัวประกัน” เฉินฟู่เซินตะโกน น้ำเสียงโกรธจัด
คนฟังยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า “นายน้อยต่อสู้กับพวกเรามาอย่างดีในครั้งนี้ ถ้าบอกว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่วงหน้า ฮองเฮาจะเชื่อได้อย่างไร”
เฉินฟู่เซินไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่เขาก็รู้ว่าโกรธไปก็เปล่าประโยชน์ “เจ้าต้องการให้ข้าแสดงความจงรักภักดีต่อฮองเฮา มันดีอย่างไร ฮ่องเต้คิดว่าข้าเป็นคนของฮองเฮา ข้าเสียความไว้วางใจไปแล้ว”
“นายน้อยจะเอาความไว้วางใจไปทำอะไร” นางถาม
มีคนบังเอิญผ่านมาพอดี เฉินฟู่เซินและคนของหลี่หงเสวี่ยจึงต้องซ่อนตัวชั่วคราว
เมื่อคนมาใหม่เดินออกไปไกลแล้ว เฉินฟู่เซินก็กล่าวว่า “โชคดีที่ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องในครั้งนี้ หากเจ้ากล้าแตะต้องคนในตำหนักฉืออันอีก อย่ามาโทษข้าที่หยาบคายล่ะ!”
…
ในเวลาเดียวกันที่ตำหนักฉืออัน ไทเฮากำลังนั่งสนทนากับเหยียนอี้และฟางกูกู ของหวานฝีมือเหยียนอี้ได้รับความนิยมจากไทเฮาเป็นอย่างยิ่ง พระองค์จึงมักเรียกนางมาพบ
ทั้งสามคนพูดคุยและหัวเราะกันอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานไทเฮาก็ถามว่า “หรงกูกูอยู่ที่ใด ข้าไม่เห็นมาตั้งแต่ตื่นแล้ว?”
ฟางกูกูกำลังจะตอบ เแต่โจวเจียเอ๋อร์เข้ามาเสียก่อน
โจวเจียเอ๋อร์ได้รับคำสั่งจากจ้าวอันให้มาบอกไทเฮาว่าหรงกูกูเป็นผู้ร้าย ตั้งใจลอบปลงพระชนม์ บัดนี้สิ้นในห้องทรงอักษรไปแล้ว
เขากลัวว่าไทเฮาจะรับไม่ไหวเพราะเพิ่งหายจากอาการป่วยหนัก จึงลังเลอยู่นาน กระนั้นเมื่อพูดจบ โจวเจียเอ๋อร์ก็มองดูไทเฮาอย่างระมัดระวัง
ไทเฮาถือผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือ เงียบไปครู่หนึ่ง
ฟางกูกูได้ยินว่าหรงกูกูถูกคนตำหนักจาวหยางพาไปในตอนเช้า นางไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่นางไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเช่นนี้ นางจึงเผลอทำของในมือร่วงลงพื้น
พวกนางทั้งคู่รับใช้ฮองเฮามาตั้งแต่อายุสิบสามสิบสี่หนาว มีความสัมพันธ์รักใคร่กันมาห้าสิบหนาว สนิทสนมกันกว่าคนในตระกูลเสียอีก ใครจะไปคิดว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น?
“ไทเฮา…” เหยียนอี้อยากจะพูดปลอบใจสักสองสามคำ แต่นางไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร
หลังจากที่ไทเฮาประสบเรื่องถึงแก่ชีวิตและความตาย ร่างกายของนางก็ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน เหยียนอี้กังวลว่าไทเฮาจะทนไม่ไหว กระนั้นก็ไม่มีอาการใดน่าตกใจอย่างที่เหยียนอี้และโจวเจียเอ๋อร์กังวล
“หรงกูกู นาง…” ไทเฮานิ่งเงียบไปนาน จากนั้นตรัสกับฟางกูกูว่า “ชีวิตนางไม่ได้ง่ายนัก ความสัมพันธ์เราเป็นเพียงระหว่างเจ้านายและข้ารับใช้ ไม่ลึกซึ้งเท่าเจ้ากับข้า”
“หรงกูกูมาตอนนางอายุสิบสองหนาว มีชีวิตรักที่ไม่ดีนัก และกลายเป็นม่าย ชีวิตนางทุกข์ตรมขมขื่นมาก นายหญิงสาม อย่าโทษนางเลย” ฟางกูกูกล่าว
ฟางกูกูต่างจากหรงกูกู นางเป็นข้ารับใช้จากตระกูลไทเฮา จึงเติบโตมากับฮองเฮาตั้งแต่ยังเด็ก นางไม่เคยแต่งงาน หากพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและข้ารับใช้ นางย่อมมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า