ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 88 ผู้อยู่เบื้องหลัง
บทที่ 88 ผู้อยู่เบื้องหลัง
บทที่ 88 ผู้อยู่เบื้องหลัง
เมื่อได้ยินหรงกูกูกล่าวเช่นนั้น ฮองเฮาก็ถึงกับพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เป็นใครกันแน่?” ฮ่องเต้ถาม
“หม่อมฉัน… หม่อมฉันไม่สามารถพูดได้เพคะ!” หรงกูกูก้มหัวลงกับพื้น
“หรงกูกู คนที่สั่งเจ้าอยู่ในห้องเครื่องหลวงใช่หรือไม่” เฉินฟู่เซินพูดแทรกขึ้น
หรงกูกูก้มศีรษะลงแล้วส่ายหัว
“ฝ่าบาท ในเมื่อหญิงชราผู้นี้ไม่ยอมพูด ก็ควรถูกลงโทษอีกครั้งนะเพคะ” จางกุ้ยเฟยกล่าว
ตอนนางถูกฮ่องเต้ถามเกี่ยวกับเฮยอวี้หลิงเจา เข่านางยังคงคุกลงบนพื้น หลังได้ยินว่าผู้กระทำผิดถูกจับได้แล้ว จึงคิดว่าตนรอดแล้วก็โล่งใจอย่างมาก
ทุกอย่างเกิดจากแรงจูงใจฮองเฮาได้อย่างไร? ฮองเฮาจะส่งคนร้ายไปทำร้ายไทเฮาอย่างลับ ๆ ได้อย่างไร? นางคิดจะอะไรอยู่กันแน่?
จางกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความสงสัย หวังจะคลี่คลายคดีได้อย่างรวดเร็ว นางจึงท้วงขึ้น “ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินว่ามีเครื่องมือทรมานสี่สิบเก้าอย่างสามสิบหกชุดในเสินซิง ไม่มีผู้ได้สามารถทนต่อเครื่องมือพวกนี้ได้ ลองใช้เครื่องมือทรมานสักชุดกับนางสิเพคะ หม่อมฉันมั่นใจว่านางจะพูดความจริงออกมา”
เฉินฟู่เซินเอ่ยขึ้น “นางแก่มากแล้ว จะบอกความจริงได้อย่างไร? อีกอย่าง นางจะทนการลงโทษได้หรือ”
จางกุ้ยเฟยพ่นลมหายใจด้วยความเย็นชา “ก่อนที่เจ้าจะพานางมายังห้องทรงอักษร เจ้าไม่ได้ลงโทษนางสักครั้งหรือ? แค่นางดูเป็นคนซื่อสัตย์ก็แปลว่าไม่กระทำผิดฐานโป้ปดฮ่องเต้หรือ”
ฮองเฮาท้วงขึ้น “บาดแผลบนร่างกายของหรงกูกูถูกทุบตีโดยเจ้าหน้าที่กรมยุติธรรมตามระเบียบทุกแผล ไม่ได้แตะนิ้วแม้แต่ปลายก้อย สนมจางยังประสงค์ให้นางถูกลงโทษต่อไป สนมตั้งใจจะทำอะไรกันแน่? จะฆ่าปิดปากนางใช่หรือไม่”
หรงกูกูส่ายหัว ศีรษะแนบลงกับพื้น หลังได้ยินว่าตนจะถูกประหารก็เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยกับสนมจางว่า “สนมจางต้องการฆ่าข้ารับใช้เก่าจริง ๆ หรือเพคะ?”
จางกุ้ยเฟยไม่คาดคิดว่าหรงกูกูจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้านางเต็มไปด้วยความตกใจ “เจ้าไม่สมควรตายเพราะสร้างปัญหาและฆ่าไทเฮารึ”
หรงกูกูหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางผสานไปด้วยความน่าสงสาร แต่ก็มีความน่าขนลุกแฝงอยู่ สนมจางชักหวั่นใจ เริ่มทวีความกังวลขึ้นมา
“หรงกูกู ยังไม่บอกความจริงอีกรึ” ฮ่องเต้เปล่งสุรเสียงออกมาดังลั่น
หรงกูกูจึงเงยหน้าแล้วสารภาพมาอย่างหนึ่ง “คนในครอบครัวหม่อมฉันถูกจับตัวไว้เป็นตัวประกัน จึงมิกล้าเอ่ยชื่อออกไปเพคะ แต่ตอนนี้ หม่อมฉันได้เห็นจิตใจอันโหดร้ายของคนที่อยู่เบื้องหลังแล้ว หม่อมฉันไม่เชื่อว่าหลังจากนี้แม่และลูกชายของหม่อมฉันจะถูกปล่อยตัว
หม่อมฉันขอเสี่ยงชีวิตของพวกเขาเพื่อบอกความจริงเพคะ!”
ฮองเฮาและจางกุ้ยเฟยตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พวกนางกลัวว่าหรงกูกูจะพูดโดยไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
เฉินฟู่เซินยืนอยู่ด้านหลัง เอ่ยออกมานิ่ง ๆ “กระหม่อมออกจากวังไปตรวจสอบมาแล้ว หรงกูกูมีลูกชายสองคนและลูกสาวหนึ่งคน ลูกชายคนโตเพิ่งมีหลานชายคนใหม่ให้กับนางเมื่อเดือนที่แล้ว เด็กน้อยคนนั้นเหมือนกับเกี๊ยวข้าวเหนียวไม่มีผิด ทั้งน่ารักและน่าสงสารในคราวเดียว”
หลังได้ยิน หรงกูกูก็สั่นไปทั้งตัว
ฮองเฮาเหลือบมองเฉินฟู่เซินก่อนจะตรัสว่า “ข้าคิดว่ามีคนคุกคามครอบครัวนาง บังคับให้ทำสิ่งที่ชั่วร้ายเช่นนี้ หรงกูกู สิ่งที่เจ้าทำ ตระกูลย่อมร่วมรับผิดชอบไปเก้าโคตร ยกโทษให้ข้าด้วย
ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่เจ้าบอกชื่อคนที่อยู่เบื้องหลัง เราจะละเว้นลูกชายของเจ้าไว้”
จางกุ้ยเฟยไม่พอใจอย่างยิ่ง “ฮองเฮากำลังผลักภาระให้หม่อมฉันงั้นรึ ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ทำเพคะ ต่อให้หรงกูกูจะเอ่ยชื่อหม่อมฉัน หม่อมฉันก็บริสุทธิ์ ต้องมีคนติดสินบน บีบบังคับหรงกูกูให้ใส่ร้ายหม่อมฉันเป็นแน่!”
ฮองเฮายิ้มเยาะ “สนมจาง หรงกูกูยังไม่ได้พูดอะไร เหตุใดเจ้าต้องออกตัวด้วยเล่า ร้อนตัวไปไย? หรือแท้จริงแล้วเจ้าเป็นผู้บงการ”
จางกุ้ยเฟยเย้ยหยันกลับไป “ที่ฮองเฮาเองรีบพาทุกคนมาที่นี่ในวันนี้ ไม่ใช่ว่ามั่นใจและวางแผนทุกอย่างไว้แล้วหรอกหรือ”
ฮองเฮาตรัสต่อ “แม้ว่าข้าจะมีแผนใดก็ตาม แต่จุดประสงค์คือเปิดเผยความจริง สนมจางเอาแต่ใส่ร้ายเราทีละคน แม้แต่เฮยอวี้หลิงเจาก็โดนใส่ร้ายด้วยหรือไม่”
ใบหน้าของฮ่องเต้พลันแปรเปลี่ยน
เมื่อหรงกูกูได้ยินคำว่า ‘เฮยอวี้หลิงเจา’ นางก็รีบเดินไปข้างหน้า คุกเข่ากอดขาสนมจางแล้วร้องขอความเมตตา “ได้โปรด สนมจาง ได้โปรดให้ยาแก้พิษแก่หม่อมฉันเถิด! ชางเอ๋อร์และหรงเอ๋อร์อ่อนแอมาหลายวันแล้ว ถ้าไม่มียาแก้พิษ หม่อมฉันกลัวพวกเขาจะไม่รอดเพคะ!”
จางกุ้ยเฟยไล่ให้หรงกูกูออกไปจากตัว นางแก้ตัวด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “เจ้ากำลังพูดถึงอะไรนังบ้า?”
“พระสนม ได้โปรด! หม่อมฉันทำตามที่ท่านสั่งแล้ว ให้ยาแก้พิษแก่หม่อมฉันเถิด! ได้โปรด!” หรงกูกูปีนขึ้นไปอีกครั้ง นางคว้าขาของสนมจางไว้ ไม่ยอมปล่อยมือจนถึงที่สุด
ใบหน้าของฮ่องเต้ดำคล้ำขึ้น ส่วนฮองเฮาลอบโล่งใจ
“พระสนม ถ้าท่านต้องการชีวิตของหม่อมฉันก็มาเอาไปเถิด! หม่อมฉันจะไม่ว่าอะไรอีกแล้ว!” หรงกูกูหลั่งน้ำตา กระนั้นก็ยังกอดขาสนมจางอยู่แน่นหนา
“นังบ้า! ฮ่องเต้ หม่อมฉันไม่ใช่คนร้าย ไม่ใช่คนร้ายจริง ๆ เพคะ!” จางกุ้ยเฟยอยากร้องไห้ ทว่าไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด นางชะงักติดอยู่กับหรงกูกูจนไม่มีโอกาสได้อ้อนวอนด้วยซ้ำ
“พระสนม หม่อมฉันทำทุกอย่างที่ท่านสั่งแต่… ไม่คิดว่าองค์รัชทายาททรงเสวยน้ำแกงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น! มันเป็นความโง่เขลาของหม่อมฉันเองที่ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทชอบอาหารอะไร จึงใส่ลงไปแค่ในน้ำแกง แต่ … แต่…”
คำวิงวอนขอความเมตตาของหรงกูกูจบลงด้วยน้ำตา
ฮองเฮาขยิบตา เฉินฟู่เซินจึงเดินไปข้างหน้า บังคับให้หรงกูกูปล่อยมือจากสนมจาง
ฮ่องเต้ตรัสขึ้นด้วยใบหน้าเย็นชา “พูดให้ชัด ๆ”
หรงกูกูสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดว่า “ดอก… ดอกไม้พิษนั้นมีฤทธิ์แรงมาก! พระสนมวางยาพิษอ่อน ๆ แก่ลูกชายและลูกสะใภ้ของหม่อมฉัน หากหม่อมฉันไม่ทำตามแผนการของพระสนม … หม่อมฉันก็จะไม่ได้ยาถอนพิษเพคะ!”
นางเหลือบมองไปที่เอวของเฉินฟู่เซินแล้วพูดต่อ “ฝ่าบาท องค์รัชทายาทมักจะมาที่ตำหนักฉืออันเพื่อเสวยอาหารกับไทเฮา พระสนมให้หม่อมฉันหาโอกาสใส่ผงพิษลงในอาหารขององค์รัชทายาทเพคะ
หม่อมฉัน… ไม่เคยทำมาก่อน หากทั้งครอบครัวไม่ได้อยู่ในกำมือพระสนม หม่อมฉันจะทำสิ่งที่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“นังบ้า หยุดพูดไปซะ!” จางกุ้ยเฟยสาปแช่ง เอื้อมไปบีบคอหรงกูกู เฉินฟู่เซินรีบหยุดนางไว้แล้วผลักนางลงกับพื้น
จางกุ้ยเฟยล้มลงกับพื้น แต่นางไม่สนใจความเจ็บปวด นางคุกเข่าลงทันที “ฝ่าบาททรงเชื่อในตัวหม่อมฉันเถิด เชื่อหม่อมฉัน! หม่อมฉันจะไปฆ่าไทเฮาและองค์รัชทายาทเพื่ออะไร”
“เพื่อลูกชายที่มีค่าของเจ้าน่ะสิ!” ฮองเฮาตะคอก
หรงกูกูหัวเราะด้วยสีหน้าขมขื่น นางกล่าวว่า “น่าเสียดายที่องค์รัชทายาทปลอดภัยดี ความผิดพลาดของข้ารับใช้กลับทำร้ายไทเฮาแทน! หม่อมฉันรับใช้ไทเฮามานานหลายทศวรรษ ไม่เคยคิดจะทำร้ายไทเฮา เหตุใดนางถึงดื่มน้ำแกงชามนั้นกัน”
“ชีวิตของนายหญิงสามและหรงเอ๋อร์ต้องชำระคืนในชีวิตหน้า!”
หรงกูกูตะโกน ในพริบตาเดียว นางก็ลุกขึ้น ผละตัวหนีจากเฉินฟู่เซินและจางกุ้ยเฟย พุ่งไปที่เสา กระแทกตนจนคอหัก เลือดไหลพล่านเต็มศรีษะ ย้อมพื้นเป็นสีแดงฉานไปทั่วบริเวณ และไม่นานก็สิ้นชีวิตในที่สุด
นางเป็นสาวใช้คนสนิทของไทเฮาสมัยที่ไทเฮาแต่งงานเข้าราชวงศ์ ต่อมาเมื่ออายุได้ยี่สิบห้าปี นางก็ได้รับการปล่อยตัวจากวังและแต่งงานกับครอบครัวที่ดี สิบปีผ่านไป สามีของนางก็เสียชีวิตก่อนกำหนด นางจึงเหลือลูกชายเพียงสองคนและลูกสาวหนึ่งคน ไทเฮาเห็นใจกับชะตากรรมจึงเรียกนางมารับใช้ในวังอีกครั้ง แม้แต่ลูกชายสองคนของนาง ไทเฮาก็ยังช่วยหางานทำเมื่อเติบใหญ่
ในชีวิตของนาง มิตรภาพระหว่างนางและไทเฮาเป็นไปอย่างลึกซึ้ง แต่ไม่ว่ามิตรภาพจะลึกซึ้งแค่ไหน มันก็พ่ายแพ้ให้กับการที่แม่ต้องปกป้องลูกชาย
คำพูดสุดท้ายของนางคือ ‘นายหญิงสาม’ เป็นชื่อที่นางเคยเรียกไทเฮาเมื่อนางอยู่ในที่พำนักส่วนพระองค์ คำพูดของหญิงชราวัยหกสิบหนาวนี้ ช่างเหมือนโลกที่ห่างไกลออกไป ได้ยินแล้วต้องระบายลมหายใจออกมา
หลังความจริงปรากฏ ฮ่องเต้ก็โบกมือให้ลากศพออกไป แล้วสั่งให้โจวเจียเอ๋อร์ ขันทีในราชสำนักที่ใกล้ชิดที่สุดไปรายงานทุกอย่างที่ตำหนักฉืออัน โดยสั่งให้รายงานไทเฮาอย่างระมัดระวัง และอย่าทำให้ไทเฮาตกใจ
จางกุ้ยเฟยคุกเข่าลงกับพื้น ชุดเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดของหรงกูกู นางหวาดกลัวตัวสั่น ไม่สามารถพูดอะไรออกมาอีกได้
ฮองเฮาเย้ยหยันสนมจาง “สนมจาง อยากพูดอะไรอีกไหม?”
สนมจางนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางมองไปที่ฮองเฮาและแก้ตัวว่า “ฮึ่ม ฮองเฮาทรงทำได้แนบเนียนมาก! หลักฐานสิ้นชีวิตไปเสียแล้ว ฝ่าบาท ต่อให้หม่อมฉันกระโดดลงไปในแม่น้ำเหลืองก็ไม่อาจล้างมลทินได้หรอกเพคะ”
ประโยคหลังนี้จางกุ้ยเฟยเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ นางมองไปที่ฮ่องเต้ ด้วยความเสียใจและโกรธเคือง
ฮองเฮาตรัสขึ้นด้วยสีหน้ารังเกียจ “เจ้าชอบแสร้งทำเป็นอ่อนแอ สมัยก่อนเจ้าเอาแต่เสแสร้งหน้าซื่อตาใส ทำร้ายอดีตฮองเฮา ตอนนี้เจ้าแก่แล้ว ยังจะเสแสร้งอยู่อีก ฮ่องเต้ ท่านยังเชื่อนางอยู่อีกรึ”
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินฮองเฮากล่าวถึงฮองเฮาเสี้ยวหมิ่น ความโกรธก็ทวีมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาตะโกนใส่สนมจางว่า “เจ้าบอกว่าหรงกูกูใส่ร้ายเจ้า มีใครในโลกนี้ที่อยากจะสละชีวิตของตัวเอง และชีวิตของลูกหลานเพื่อใส่ร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องบ้าง”
“ฝ่าบาท!” จางกุ้ยเฟยร้อง แต่เมื่อเห็นความโกรธจากนัยน์ตาของฮ่องเต้ นางจึงรู้ว่าคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว นางจึงแสร้งเป็นลม
ฮองเฮาเตะนางด้วยความขยะแขยง แล้วถ่มน้ำลายลง “เสแสร้งอีกแล้วรึ!”
ฮ่องเต้ทุบโต๊ะสามครั้ง สาปแช่งออกมาว่า “นี่ข้าอยู่กับคนสารเลวมานานกว่า ยี่สิบปีรึ เจ้าไม่คู่ควรกับการเป็นคนด้วยซ้ำ!”
เฉินฟู่เซินได้ยินแล้วก็แสยะยิ้ม แต่เขาก้มศีรษะและยืนอยู่ข้างหลังฮองเฮา จึงไม่มีใครเห็น
“สนมจางไม่แม้แต่จะสำนึกผิด วางแผนฆ่าอย่างอุกอาจ ทรยศ สวรรค์และพสุธาก็ไม่อาจทนไหว ย่อมต้องประหารชีวิต แต่เพราะให้กำเนิดลูกหลานและบริจาคเงินให้กับประเทศมาตลอด ข้าจะเว้นโทษประหารชีวิต แต่จะถูกถอดออกจากตำแหน่งนางสนม ลดยศเป็นเพียงสามัญชน และย้ายไปอยู่วังเย็นจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
ฮ่องเต้คิดไว้อย่างดี ในที่สุดก็พูดเจตจำนงอันแสนโหดร้ายออกมา
จางกุ้ยเฟยที่แสร้งเป็นลมอยู่ที่พื้นรีบลุกขึ้น น้ำตาเจิ่งนองใบหน้า “ฮ่องเต้! ฮ่องเต้ หม่อมฉันไม่ใช่คนร้าย! ไม่ใช่คนร้ายเพคะ!”
“ยังจะไม่ยอมรับอีกรึ!” ฮองเฮาสาปแช่ง “ฝ่าบาท นางแสร้งเป็นลม พวกแสดงเก่งทำชั่วเก่งจะตายไป! ไม่ควรให้อภัยนางเพคะ ลงโทษนางอย่างรุนแรงเถิด!”
“ฮ่องเต้ หม่อมฉันไม่ใช่คนร้ายจริง ๆ! ไม่ใช่จริง ๆ!” จางกุ้ยเฟยยังคงร้องไห้อยู่ เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ขยับเขยื้อนนางจึงหันศีรษะไปหาฮองเฮาและสาปแช่งว่า “เฉียนว่านเอ๋อ นังงูพิษ!”