ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 87 กานพลูขาว
บทที่ 87 กานพลูขาว
บทที่ 87 กานพลูขาว
เหยียนอี้เกือบจะเอื้อมมือไปตอบสนองต่ออ้อมกอดขององค์รัชทายาทแล้ว แต่เขากลับปล่อยตัวนางเสียก่อน อีกทั้งยังมองมาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉัน…” ไม่ว่าปกตินางจะพูดเก่งแค่ไหน แต่ตอนนี้นางกลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ข้ารู้ เจ้าคงอยากบอกว่าเมื่อครู่มันไม่เหมาะสม” หลี่หรงอวี่เอ่ย รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า
“เหยียนอี้ เชื่อใจข้าตลอดไป ตกลงไหม” หลี่หรงอวี่ถามย้ำ
“เพคะ” เหยียนอี้พยักหน้า ไม่คิดอะไร
หลี่หรงอวี่ระบายรอยยิ้มอีกครั้ง เขาจิ้มเบา ๆ บนหน้าผากของนาง “ความจริงแล้วข้าโกหกเจ้า ข้าตื่นนานแล้ว ที่ข้าไม่บอกเจ้าเพราะข้าอยากจับมือเจ้าไปอีกสักพัก”
……
ไทเฮาหมดสติไปจนกระทั่งวันที่สาม นางก็ฟื้นขึ้นมาในที่สุด
หมอเหอใช้หญ้าไส้ขาด*[1] มาทำเป็นยา ซึ่งหญ้านี้ส่งมาจากมณฑลยูนนานเมื่อสองปีก่อน เขาเปิดปากของไทเฮาด้วยไม้เล็ก ๆ แล้วเทยาทั้งหมดลงไป
ตอนตระกูลมู่เสนอสมุนไพรนี้เป็นครั้งแรก พวกเขาบอกว่าสมุนไพรนี้สามารถบรรเทาพิษแปลก ๆ ได้ แต่ครึ่งหนึ่งของมันก็เต็มไปด้วยพิษเช่นกัน
หญ้าชนิดนี้ไม่เคยปลูกในอาณาเขตหยู หมอหลวงหลายคนได้ลิ้มรส สมุนไพรมาทั่ว แต่กับสมุนไพรชนิดนี้ ไม่มีคนใดสามารถตัดสินได้ว่าจะเป็นยาช่วยชีวิตของไทเฮาได้หรือไม่
หลังพบว่าลมหายใจของไทเฮาเริ่มแผ่วลงทุกวัน หมอหลวงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลองเสี่ยง
หลังจากดื่มยา ไทเฮาก็อาเจียนเลือดออกมาหลายคำ ต่างคนต่างตื่นกลัว ฮ่องเต้ที่ประทับยืนอยู่ข้างแท่นบรรทมแทบจะจัดการถล่มโรงหมอ
แต่หลังจากที่ไทเฮาอาเจียนเป็นเลือด นางก็ฟื้นขึ้นมา
ปรากฏว่าพิษที่นางถูกวางยาพิษคือพิษของดอกเฮยอวี้หลิงเจา ซึ่งเป็นดอกไม้พิษที่เติบโตในสถานที่ชื้นและร้อนทางภาคใต้ มีกลีบดอกสวยงาม แต่เขมือบเนื้อสัตว์เป็นอาหาร เรียกได้ว่าเป็นพืชที่ดุร้ายกว่าหม้อข้าวหม้อแกงลิงร้อยเท่า
ทุกสิ่งในโลกย่อมต้องพึ่งพากัน ของสองชนิดนี้มักจะเติบโตอยู่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นด้วยฤทธิ์ยา ในที่สุดพิษก็ถูกขับออกจากร่างของไทเฮา
ไทเฮาได้รับความโชคดีขนานใหญ่
หลังจากฟื้นขึ้นมา ไทเฮาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว สามารถเดินบนพื้นได้ในเวลาอันสั้น แต่ถึงอย่างนั้นพิษก็ทำลายร่างกายของนางไปแล้ว ดวงตาของไทเฮาไม่สู้ดีนักมาตั้งแต่ตอนล้มไข้ ตอนนี้นางจึงไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอีก
เหยียนอี้ทำน้ำแกงบำรุงสายตาส่งไปให้ไทเฮาทุกวัน โดยปรุงจากของที่บำรุงสายตาอย่างเช่นเมล็ดขี้เหล็ก หูหลัวโป*[2] ดอกเบญจมาศ สตรอว์เบอร์รี ส้ม และหอยเชลล์
นอกจากนี้ นางยังได้ยินมาว่ามียาที่เรียกว่า กานพลูสีขาว ซึ่งในทางการแพทย์แผนจีนกล่าวว่าส่งผลดีต่อดวงตา นางจึงไปที่โรงหมอไท่หยางเพื่อขอเงินสองเฉียนซื้อมันมา แต่ถูกโรงหมอไท่หยางห้ามปราม
ชื่อของกานพลูสีขาวนี้คือไลแลค แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับดอกไลแลคเพราะมาจากอุจจาระของนกกระจอก หากใส่ลงไปในยาแล้วดูไม่น่ารับประทานอย่างยิ่งยวด
หมอหลวงที่โรงหมอเป็นคนใจดี เมื่อเขาได้ยินว่าเหยียนอี้มาจากเมืองอวิ๋นเจี้ยน เขาก็เล่าว่าหลังจากที่พ่อของเขาเกษียณก็ไปที่เมืองอวิ๋นเจี้ยนเพื่อเปิดโรงหมอ เหยียนอี้และเขาจึงถือเป็นคนบ้านเดียวกัน เขาจึงดูแลนางเป็นพิเศษ
วันนี้เหยียนอี้ไปถามหมอหลวงเกี่ยวกับอาหารทำยาช่วยบำรุงสายตา แต่หมอหลวงกลับเอาแต่คุยโว
นางพบว่ามีสมุนไพรมากมายที่มีชื่อไพเราะ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้มีฤทธิ์ดีนัก
ตัวอย่างเช่นมูลกระต่ายที่ใช้ในการรักษาสายตาพร่ามัว และเยหมิงซาหรือมูลค้างคาวที่ใช้ในการรักษาสายตาที่ไม่ดีในเวลากลางคืน
“เดิมทีข้าต้องการหายาปรุงบำรุงสายตาให้ไทเฮา เหตุใดทุกอย่างจึงเป็นอุจจาระกัน?” เหยียนอี้พูดด้วยสีหน้าขมขื่น
หมอหลวงอธิบายส่วนผสมของยาให้นางฟัง จากนั้นจึงยอมให้นางดมกลิ่นและลองลิ้มรสยาดู
หลี่หรงอวี่บังเอิญมาตามหาเหยียนอี้พอดี หลังจากได้ยินนางพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็หัวเราะอยู่สามวันติด
ไทเฮาอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ หลี่หรงอวี่ก็ฟื้นตัวเป็นปกติ กระนั้นการลอบสังหารองค์รัชทายาทและไทเฮาก็ยังไม่มีความคืบหน้า
ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักเป็นเวลาครึ่งเดือน แต่ไม่พบหลักฐานว่าฮองเฮาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
ศาลมีการแถลงว่าฮองเฮาถูกใส่ร้าย มารดาของอาณาจักรไม่ควรถูกกักบริเวณ นับเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ฮ่องเต้ไม่สามารถแบกรับความกดดันจากข้าราชบริพารทั้งเช้าเย็นได้ เนื่องด้วยพระองค์ไม่อาจอธิบายให้ทั้งเหล่าองค์ชาย แม่ทัพ และขุนนางอาวุโสฟังได้ เขาจึงสั่งให้ปล่อยฮองเฮา และคืนอำนาจกลับให้ตามเดิม ซึ่งเดิมทีเป็นอำนาจของจางกุ้ยเฟยและเซียนเฟย
หลังฟื้นจากอาการรุนแรง ไทเฮาก็รู้สึกหดหู่ ไร้กำลัง เมื่อนางไม่ได้รับผิดชอบกิจการของพระราชวังอีกต่อไป นางก็มอบอำนาจทั้งหมดให้กับฮองเฮา
ฮองเฮาถูกกักบริเวณอยู่พักหนึ่ง หลังถูกใส่ร้าย จักรพรรดิก็ไม่เคยมาพบนางเลยสักครั้ง แต่เมื่อเรื่องผ่านไปได้สักพัก นางก็ดูสง่างามขึ้นมาก
ต่างจากตำหนักโอ่อ่าอย่างตำหนักจาวหยาง จางกุ้ยเฟยถูกฮ่องเต้ตำหนิ
สาเหตุมาจากฮ่องเต้สั่งให้สำนักเทียนจีตรวจสอบกรณีพิษของไทเฮาอย่างละเอียด เมื่อค้นหาทั้งตำหนักฉืออัน ในที่สุดก็ขุดเจอถุงเครื่องหอมจากกอหญ้าข้างกำแพง
แต่เครื่องหอมที่พบนั้นไม่มีอะไรน่าสงสัย ไม่มีอะไรในถุงเครื่องหอม เหลือเพียงกลิ่นหอมจาง ๆ ก็เท่านั้น
สำนักเทียนจีจึงนำสิ่งนี้ไปที่โรงหมอและขอให้หมอหลวงตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน แม้ว่ากลิ่นหอมจาง ๆ นี้จะน่าสงสัย แต่ก็ไม่สามารถดมกลิ่นอะไรอีกต่อไปได้
ทุกคนไม่สงสัยใด ๆ เพราะคิดว่านี่เป็นเพียงของที่ถูกโยนทิ้งหรือคนในวังอาจหลงลืมเอาไว้ ถุงเครื่องหอมนี้จึงถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ และถูกนกกะรางหัวขวานที่เลี้ยงไว้ในโรงหมอโฉบไป
นกกะรางหัวขวานไวต่อกลิ่นหอม พวกหมอหลวงจึงเลี้ยงไว้แยกแยะกลิ่นดอกไม้และพืชชนิดใหม่
มันโฉบถุงเครื่องหอมไปแล้วบินไปอีกฟากหนึ่ง จากนั้นถึงจิกถุงอย่างแรง หลังจากนั้นก็บินขึ้นบ้างร่วงบ้างต่างจากสภาพปกติ
หมอหลวงสังเกตเห็นจึงนึกสงสัย เขาดมถุงเครื่องหอมอย่างระมัดระวังแล้วโยนทิ้ง และตัดสินใจเปิดตำราเก่าแก่อ่าน
สีหน้ากระจ่างแจ้งของหมอหลวงทำให้ทุกคนรู้ว่ากำลังค้นพบบางอย่าง ทุกคนต่างกลั้นหายใจแล้วตัดสินใจรอฟัง
หมอเปี้ยนเป็นทายาทจากตระกูลหมอ ในอดีตเขาติดตามปู่ไปเก็บยาทางใต้เป็นเวลาสองปี เขาได้เรียนรู้เฮยอวี้หลิงเจาที่ไม่เหมือนดอกไม้ใดมาก่อน มันมีกลิ่นหอมพิเศษ สามารถดึงดูดนกและแมลง แต่มีพิษสูง สามารถเขมือบสัตว์เป็นอาหารได้
นกและแมลงนับไม่ถ้วนถูกดึงดูดด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ แต่ในที่สุดก็กลายเป็นอาหารของดอกเฮยอวี้หลิงเจา
หมอเปี้ยนเปิดตำราเก่าแก่ขึ้นมาและพบว่ามันเป็นอย่างที่คิด เขารีบรายงานต่อฮ่องเต้ทันที
ดอกไม้พิษนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะทางใต้ มันเป็นยาอายุวัฒนะทางใต้เพื่อไว้บรรเทาพิษ เช่นเดียวกับหญ้าไส้ขาดที่ส่งมาจากตระกูลมู่
เมื่อฮ่องเต้ฟังคำตอบของหมอเปี้ยน โจวเจียเอ๋อร์ ขันทีก็อยู่ด้วยเช่นกัน
โจวเจียเอ๋อร์พูดขึ้น “ฮ่องเต้เพิ่งช่วยชีวิตไทเฮาเมื่อวันก่อนเพราะยามหัศจรรย์จากตระกูลมู่ ความเมตตาอันยิ่งใหญ่ตอบแทนไทเฮาไปแล้ว เหตุใดพิษถึงมาจากที่นั่นเล่า”
ฮ่องเต้รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาเรียกข้าราชบริพารเข้ามาถามไถ่ ตามที่คาดไว้ ครึ่งปีที่ผ่านมามู่เซิงเฟิง มู่โหวเย่จากยูนนานได้ส่งสินค้าท้องถิ่นสองเกวียนไปให้สนมจาง
มู่โหวเย่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูกพี่ลูกน้องของสนมจาง
หลังจากสงครามระหว่างอาณาจักรอวี๋และหนานโจวจบสิ้นลง ราชวงศ์หนานโจวก็ขึ้นครองบัลลังก์ภายใต้การปกครองของอวี๋แล้วส่งตัวประกันไปยังเมืองหลวงอวี๋ จากนั้นอาณาจักอวี๋สั่งให้ขยายอาณาเขตหนานโจวและส่งกองกำลังไปป้องกันชายแดน
ในช่วงสงครามหนานโจว องค์ชายแปดได้มีส่วนร่วมอย่างมาก แต่องค์ชายหลี่หรงซือหรือองค์ชายสี่ซึ่งถูกส่งไปทางเหนือในเวลานั้นไม่ได้มีส่วนร่วมมากนัก
สนมจางกุ้ยเฟยทำตัวเหมือนเด็กนิสัยเสียต่อหน้าฮ่องเต้ นางบอกว่าตระกูลมู่ดูแลดินแดนทางใต้มานานหลายทศวรรษและไม่มีทางทำอะไรเช่นนั้น หากฮ่องเต้ส่งกองทัพที่เชื่อถือได้ไปอยู่ในหนานโจวจะทำให้ตระกูลมู่รู้สึกไม่สบายใจ เช่นนี้ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้กำลังเพ่งเล็งหนานโจว แต่เพ่งเล็งตระกูลมู่อยู่ต่างหาก
ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ก็ไม่เห็นด้วยกับคำขอของจางกุ้ยเฟยที่ต้องการให้ตระกูลมู่คุ้มครองหนานโจว เขาจึงให้รางวัลและเงินแก่ตระกูลมู่มหาศาล
ตระกูลมู่มอบผ้า ทองคำ เงินหลายสิบเกวียน และสินค้าท้องถิ่นอีกสองเกวียนให้สนมจางเพื่อเป็นการตอบแทน
แม้ว่าจะเป็นของขวัญส่วนตัวจากตระกูลมู่ถึงนางสนมของจักรพรรดิ แต่ตระกูลจิงจ้าวหยินก็ตรวจสอบอย่างรอบคอบ ของบรรณาการยังคงถูกเก็บไว้ที่เดิม ฮ่องเต้จึงสั่งให้คนไปเอามาตรวจสอบ สุดท้ายแล้ว ‘ดอกไม้และพืชชนิดใหม่สามชนิด’ ก็อยู่ในนั้นจริง ๆ
เพราะรอนแรมมาไกล ภูมิอากาศของยูนนานและหยูนั้นต่างจากที่วังหลวงนัก ดอกไม้สามกระถางที่ถูกส่งมาจึงตายไปสอง เหลือเพียงกระถางเดียว เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบการตรวจสอบไม่ทราบว่าเป็นดอกไม้อะไร จึงเขียนแค่ตัวอักษรสี่ตัวว่า ‘ดอกไม้ประหลาดต่างสายพันธุ์’
ฮ่องเต้เรียกนางสนมจางให้มาห้องทรงอักษรเพื่อสอบสวน หลังจากได้ยินความจริง สนมจางก็ร้องตะโกนขึ้นมาว่านางถูกใส่ร้าย
“เจ้าบอกว่าถูกใส่ร้าย แล้วดอกไม้ล่ะ” จักรพรรดิตะโกน
“ดอกไม้พวกนั้น… ถูกเก็บไว้นานกว่าสองเดือนก่อนที่มันจะบานสะพรั่ง แม้ว่ามันจะบานสวยงาม แต่ก็มีระยะเวลาออกดอกสั้น ๆ ใช้เวลาประมาณสิบวันเท่านั้น เมื่อดอกไม้เหี่ยวเฉาก็เหลือเพียงกิ่งก้าน หม่อมฉันสั่งให้ใครสักคนทิ้งมันไปแล้ว!” จางกุ้ยเฟยร้องไห้ แม้นางจะเป็นสาวรุ่นแม่ แต่ด้วยรูปลักษณ์แล้วก็ยังคงมีเสน่ห์
“ทิ้งงั้นรึ” ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา
ในเวลาเดียวกัน ฮองเฮาได้รับคำเชิญให้มาที่ห้องหนังสือเช่นกัน
ฮ่องเต้กำลังฉุนเฉียวจึงให้คนพาฮองเฮาออกไป ทว่าฮองเฮากลับเลื่อนประตูแล้วเดินเข้ามาเองเสียก่อน นางตะโกนว่า “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญต้องเอ่ยกับท่าน!”
ฮ่องเต้จึงถามออกไป “ว่าอย่างไร”
ฮองเฮาโน้มตัวลงทำความเคารพก่อนจะกล่าวต่อ “นางสนมของหม่อมฉันเพิ่งทำความสะอาดพระราชวังด้านหลังและตรวจสอบลานด้านใน ผู้คนในตำหนักฉืออันแอบบอกว่าหรงกูกูที่อยู่กับไทเฮา ได้ลักลอบพบปะส่วนตัวกับคนร้ายชุดดำในเวลากลางคืน ตอนนี้นางได้อยู่ระหว่างการสอบสวนแล้ว”
เมื่อฮ่องเต้ได้ยิน เขาก็พบว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับไทเฮาในตำหนักฉืออัน เขาจึงถามขึ้น “นางอยู่ที่ไหน? นำตัวมา!”
หรงกูกูถูกนำตัวเข้ามาโดยเฉินฟู่เซิน นางถูกถอดเครื่องประดับออกและสวมเพียงผ้าลินินสีขาวธรรมดาเท่านั้น หัวของนางสกปรก เส้นผมสีขาวพันยุ่งเหยิง เห็นได้ชัดว่าถูกลงโทษมา
สุรเสียงทรงพลังของฮ่องเต้จากด้านบนทำหรงกูกูตัวสั่นไปด้วยความกลัว
“หรงกูกู เจ้าทำอะไรไป? ที่ไทเฮาถูกวางยาพิษเกี่ยวข้องกับเจ้าจริงหรือ” จักรพรรดิถาม
หรงกูกูเงยหน้าขึ้น นางมองฮ่องเต้แล้วเลื่อนสายตาไปที่เฉินฟู่เซินอย่างเงียบ ๆ จากนั้นโขกศีรษะลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า น้ำตานางไหลพราก “จักรพรรดิหมิงเจี้ยน! จักรพรรดิหมิงเจี้ยน! ข้าน้อยถูกบีบบังคับ มิอาจขัดขืนได้”
“ใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?” ฮ้องเต้ถามกลับ
หรงกูกูกลืนน้ำลาย ตัวสั่นเทิ้ม นิ้วชี้ตรงไปยังฮองเฮา “ฮองเฮา… ฮองเฮา…”
ใบหน้าของฮองเฮาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นางผรุสวาทอย่างโกรธเคืองว่า “หรงกูกู! อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระ!”
หรงกูกูรีบชะงักมือ ก่อนจะเผยท่าทีลังเลใจ “พระองค์… บังคับให้หม่อมฉันสารภาพเพคะ”
[1] หญ้าไส้ขาด คือสมุนไพรชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์ลดอาการบวม บรรเทาปวดและขจัดพิษ
[2] หูหลัวโป คือ แครอท