ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 86 หม่อมฉันเชื่อท่าน
บทที่ 86 หม่อมฉันเชื่อท่าน
บทที่ 86 หม่อมฉันเชื่อท่าน
“ฮองเฮาเฉียนไม่มีบุตร มีองค์หญิงเพียงคนเดียวคือองค์หญิงผิงหยาง นางต้องการรับเอาองค์รัชทายาทไปอยู่ด้วย แต่องค์รัชทายาทปฏิเสธ ไทเฮาจึงตัดสินใจพาองค์รัชทายาทไปอยู่ตำหนักฉืออัน”
หลังจากฟังเหตุการณ์ที่น่าตกใจในอดีต หน้าอกของเหยียนอี้กระเพื่อมขึ้นลง หัวใจเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกท่วมท้น
หลังอู๋เกาพูดจบ เขาก็เงียบไป
“อู่กงกง ที่จู่ ๆ ท่านกล่าวถึงเรื่องนี้ เป็นเพราะคิดว่าไทเฮาถูกวางยาพิษโดยคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในคราวนั้นหรือไม่” เหยียนอี้ถาม
อู๋เกากล่าวว่า “อดีตผ่านไปแล้วย่อมเป็นอดีต ฮองเฮาเฉียนและสนมจางเชือดเฉือนใส่กันมานานกว่าสิบยี่สิบปีแล้ว หากรู้อะไรสักนิดคงใช้กำจัดกันไปแล้ว แต่ต่อให้ฝ่ายไหนชนะก็ไม่มีประโยชน์ต่อองค์รัชทายาท”
เหยียนอี้มีสีหน้าขื่นขม “ไทเฮากลายเป็นเหยื่อของการต่อสู้ระหว่างทั้งสองเสียแล้ว”
พวกเขาคุยกันมานานแล้ว แต่หลี่หรงอวี่ยังคงหลับใหล
เหยียนอี้เอื้อมมือไปแตะหน้าผาก ความร้อนรุ่มไม่ได้จางหายไป นางนึกเป็นห่วงจึงกุมมือหลี่หรงอวี่ไว้แน่น
“พี่รอง!” ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังมาจากนอกห้อง ไม่นานองค์หญิงผิงหยางก็บุกเข้ามา
การเข้ามาอย่างกะทันหันขององค์หญิงทำให้ทั้งเหยียนอี้และอู๋เกาตกใจ อู๋เการีบแสดงความเคารพ เหยียนอี้ก็ต้องการทำเช่นนั้น ทว่าหลี่หรงอวี่ยังคงกุมมือนางไว้จึงไม่สามารถดึงออกมาได้
ผิงหยางเห็นว่าหลี่หรงอวี่และเหยียนอี้จับมือกันแน่น ความโกรธในดวงตาของก็นางปะทุขึ้น ตามมาด้วยเสียงสาปแช่ง “แพศยา! นี่เจ้ายังไม่ยอมปล่อยมืออีกหรือ”
เหยียนอี้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์หญิงผิงหยางถึงโกรธและเกลียดนางมากเช่นนี้
กระนั้นการที่คนรับใช้จับมือกับองค์รัชทายาทตอนกลางวันแสก ๆ ทุกคนจะมองว่านางเป็นวิญญาณสุนัขจิ้งจอกที่ตั้งใจจะหลอกล่อองค์รัชทายาทใช่หรือไม่?
นางรีบแกะนิ้วของหลี่หรงอวี่ออก แต่เขาจับไว้แน่นจนแกะไม่ได้ ตอนนี้ข้อมือนางขาวซีดไร้เลือดไปแล้ว
ผิงหยางเข้ามาผลักไหล่เหยียนอี้อย่างแรง พลางตะโกนใส่ “เจ้ากำลังทำอะไร? ทำเช่นนี้ประเดี๋ยวพี่รองก็เจ็บน่ะสิ”
เหยียนอี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุด เห็นทั้งสองจับมือกันเช่นนี้ ผิงหยางรู้สึกเหมือนกำลังจะบ้าตาย นางรีบให้อู๋เกาหามีดมาตัดมือของเหยียนอี้
อู๋เกาจะไม่กล้ารับคำสั่งได้อย่างไร? เขาต้องแสร้งทำเป็นตอบรับก่อนจะเดินออกไปแล้วถ่วงเวลาอยู่พักหนึ่ง
“พี่รอง พี่รองตื่นขึ้นมาเถิด!” ผิงหยางเรียกหลี่หรงอวี่ แต่ก็ไม่เป็นผล
เหยียนอี้กล่าวว่า “องค์หญิง องค์รัชทายาทได้กินยากล่อมประสาท คงไม่อาจตื่นขึ้นมาจนกว่าจะหลับไปสักสองสามชั่วยามเพคะ”
ผิงหยางกลอกตามอง “เจ้าอยากจับมือกับพี่รองไปอีกสองชั่วยามหรือ”
เหยียนอี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันยินดีที่จะยอมรับการลงโทษ ขอเพียงพระองค์ช่วยแกะมือ อย่าได้ตัดมือหม่อมฉันเลยเพคะ”
ผิงหยางพ่นลมหายใจ “เจ้ามีสิทธิ์เหลือแค่หัวเดียว มือเดียวเท่านั้นแหละ”
เหยียนอี้คิดว่าหากหลี่หรงอวี่ไม่ตื่นขึ้นมาอีก ชีวิตของนางจะจบลงหรือไม่? นางจึงพยายามให้องค์หญิงผิงหยางช่วยปลุกหลี่หรงอวี่ให้ตื่นขึ้น
มะเขือยาวในโจ๊กไม่ได้มากนัก ไม่ได้มีฤทธิ์หนักใดใด เขาจะไม่ตื่นขึ้นมาได้อย่างไร?
องค์หญิงผิงหยางส่งเสียงดังเช่นนี้ก็ควรจะตื่นขึ้นมาได้แล้ว แต่หลี่หรงอวี่กลับไม่ตื่น เขาจะเป็นอะไรหรือไม่?
เหยียนอี้นึกกังวล นางกำลังคิดว่าจะตามหมอหลวงมาดูอาการองค์รัชทายาทดีหรือไม่ ทว่าจู่ ๆ ก็รู้สึกถึงมือของเขาที่กุมแน่นขึ้น
เหยียนอี้เลื่อนสายตาไปยังใบหน้าหลี่หรงอวี่ แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใด นางตระหนักได้ว่าเขาตื่นแล้ว แต่แสร้งทำเป็นหลับต่างหาก
อาจเพราะเขาไม่อยากตื่นขึ้นมาฟังเสียงโวยวายของผิงหยางก็เป็นได้
เหยียนอี้เข้าใจในทันที นางเอ่ยกับองค์หญิงผิงหยางว่า “องค์หญิง องค์ชายไม่ยอมตื่น ผิดปกติหรือไม่เพคะ? หม่อมฉันเรียกหมอหลวงดีกว่า”
ผิงหยางเริ่มกังวลเมื่อได้ยินสิ่งที่เหยียนอี้พูด “แล้วชักช้าอะไรอยู่? ไม่รีบไปตั้งแต่แรกเล่า”
เหยียนอี้ชี้ไปที่มือของตนเพื่อบ่งบอกว่าไม่สามารถขยับได้
ผิงหยางฮึดฮัด ตะโกนออกมาว่า “เหตุใดอู๋เกาถึงยังไม่มาอีก? มานี่!”
ตอนนี้ทุกคนในวังกำลังดูแลไทเฮา จึงไม่มีใครเฝ้าอยู่ที่ประตู ผิงหยางเองก็ออกจากตำหนักจาวหยางด้วยตัวเอง จึงไม่มีคนติดตามนางมา
“เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่ ข้าจะไปเรียกหมอ! ดูพี่รองไว้ล่ะ!” ผิงหยางขัดเคือง นางตะโกนออกมาแล้วรีบไปตามหมอ
ตามที่คาดไว้ ทันทีที่ผิงหยางจากไป หลี่หรงอวี่ก็ลืมตาขึ้นทันที
“ฝ่าบาท สบายดีหรือไม่” เหยียนอี้ถาม
หลี่หรงอวี่ยืดตัวขึ้นแล้วตรัสว่า “เจ้ารีบไปซ่อนก่อนเถอะ อีกครู่ผิงหยางคงกลับมา ประเดี๋ยวยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่”
เหยียนอี้ถาม “องค์หญิงเป็นน้องสาวของท่าน ทำไมท่านถึงต้องซ่อนตัวจากนางเล่า”
หลี่หรงอวี่ทาบแผ่นอกตนแล้วตอบกลับไป “ตั้งแต่เล็กจนโต แค่ข้าปวดหัวเพียงเล็กน้อย นางก็สามารถร้องไห้ไปถึงสวรรค์ชั้นเก้าได้ ข้าทนอีกไม่ไหวหรอก”
เหยียนอี้ขำ “เหยียนจื่อก็เหมือนกัน ตอนข้าเป็นหวัดและมีไข้ นางร้องไห้หนักกว่าข้าเสียอีก”
หลี่หรงอวี่โบกมือแล้วพูดว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าน้องสาวข้ารับมือได้ยากขนาดไหน”
เหยียนอี้พยุงหลี่หรงอวี่ขึ้น จากนั้นจึงออกจากตำหนักไปยังทางเดินทิศตะวันตก
หลี่หรงอวี่ยังหลงเหลือพิษอยู่ในร่าง หลังจากเดินไปไม่ไกล เขาก็หายใจไม่ออก รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย เหยียนอี้ต้องช่วยเขานั่งในศาลาตงหมิงที่อยู่ใกล้ที่สุด
ศาลาตงหมิงเป็นสถานที่ที่ไทเฮาสักการะพระพุทธองค์ทุกวัน ด้านในเต็มไปด้วยพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ อบอวลด้วยกลิ่นไม้จันทน์ไปทั่วบริเวณ
เหยียนอี้ไม่รู้ว่าพระโพธิสัตว์องค์ใดเป็นองค์ใดบ้าง นางคุกเข่าพร้อมกับหลี่หรงอวี่แล้วเริ่มสวดอ้อนวอน
สิ่งที่หลี่หรงอวี่เอ่ยออกมาคือ “ข้าภาวนาต่อเทพเจ้าและพระพุทธเจ้าบนสรวงสวรรค์ ได้โปรดปกป้องเสด็จย่าและนำความโชคดีมาสู่เราด้วยเถิด”
เหยียนอี้กล่าวบ้าง “พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ โปรดอวยพรไทเฮาและองค์รัชทายาทให้หายดีไวไว ขอให้พบผู้กระทำผิดที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังโดยเร็วที่สุดด้วยเถิด”
“เหยียนอี้ เจ้าคิดว่าใครคือคนที่วางยาพิษ” หลี่หรงอวี่ถาม
เหยียนอี้ส่ายหัวก่อนจะตอบว่า “อู๋กงกงเล่าเหตุการณ์ในอดีตกับหม่อมฉันแล้ว ตอนอยู่ห้องเครื่องหลวง หม่อมฉันได้ยินความลับมากมายเกี่ยวกับพระราชวัง ผู้คนในวังต่างมีเงื่อนงำ บางทีคนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือคนที่เก่งที่สุดในการทำเช่นนี้เพคะ”
นางกล่าวถึงอย่างอ้อม ๆ ครุ่นคิดไปถึงองค์ชายสี่ หลี่หรงซือที่อายุเพียงห้าขวบ หากบอกว่าพระองค์สังหารฮองเฮาคนก่อน เกรงว่าจะไม่มีใครเชื่อ แต่ความเจ็บปวดและความคับข้องใจเป็นเวลาหลายปีขององค์รัชทายาทนั้นจริงแท้อย่างแน่นอน
บัดนี้ทุกคนคิดว่าคนที่ต้องการฆ่าไทเฮาและองค์รัชทายาทเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในวัง แต่คนที่ทำสิ่งนี้อาจเป็นคนที่คาดไม่ถึงก็ได้?
“คนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด” หลี่หรงอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเย้ยหยันตนเอง “น่าจะเป็นข้า”
“รึจะเป็นท่าน” เหยียนอี้ถาม
“ไม่ใช่แน่นอน” หลี่หรงอวี่ตอบ
เหยียนอี้จึงเอ่ยต่อ “หากคลี่คลายเรื่องนี้ไม่ได้ คนในวังคงอยู่กันด้วยความหวาดกลัว”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หลี่หรงอวี่ถาม
“หากวางยาพิษลงในน้ำแกงที่หม่อมฉันทำจริง ๆ ระหว่างทางคงมีคนจำนวนมากที่โดนลูกหลง ข้าเองก็อาจโดนไปด้วย
ตำหนักฉืออันอาจเหมือนถังเหล็ก แต่ในความเป็นจริงมีคนในได้สินบนจากคนนอก มีคนมีแรงจูงใจซ่อนเร้นและกำลังรอโอกาส คนคนนั้นอยู่รอบ ๆ ไทเฮา หากหาไม่พบ อนาคตจะไม่น่ากลัวไปมากกว่านี้หรือ?”
หลี่หรงอวี่และเหยียนอี้คิดหนัก แต่ไม่สามารถคิดหากุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาคดีนี้ได้ ขนาดกรมยุติธรรมและศาลาเทียนจียังไม่พบเบาะแส นางและองค์รัชทายาทจะหาความจริงโดยลำพังได้อย่างไร
ความคิดของเหยียนอี้ล่องลอยไปไกล อาการไอของหลี่หรงอวี่ดึงสตินางกลับมา
นางถามหลี่หรงอวี่ว่า “ฝ่าบาทตื่นขึ้นก่อนที่องค์หญิงผิงหยางจะเสด็จเข้ามาหรือไม่”
ใบหน้าหลี่หรงอวี่เริ่มขึ้นสี เขาพยักหน้ายอมรับ “เจ้ากับอู๋เกากำลังพูดถึงเสด็จแม่ ข้าจึงไม่อยากลืมตา”
เหยียนอี้เอ่ย “หม่อมฉันและอู๋กงกงไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงอดีตฮองเฮา แต่…”
“เหยียนอี้ เจ้าเชื่อข้าหรือไม่” หลี่หรงอวี่ถาม
“หืม?” เหยียนอี้เกาหัว
“หากข้าบอกว่าข้าเห็นพี่สี่ผลักเสด็จแม่ เจ้าจะเชื่อข้าไหม” หลี่หรงอวี่ถามอีกครั้ง
เหยียนอี้ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง นางจึงเอ่ยว่า “วันนี้หม่อมฉันได้ยินคำพูดเพียงด้านเดียวของอู๋กงกงเท่านั้น หม่อมฉันไม่รู้อะไรเลย หม่อมฉันคิดว่าการที่เด็กอายุห้าขวบจะผลักผู้ใหญ่ลงไปในน้ำได้นั้นมันไม่ง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นฝ่าบาททรงพระเยาว์มาก ท่านคงกลัวจนความทรงจำผิดเพี้ยน”
บัดนี้ความโดดเดี่ยวปรากฏขึ้นในใจของหลี่หรงอวี่
ทว่าเหยียนอี้กลับพูดต่อ “แต่หม่อมฉันไม่รู้ว่าเหตุใดตอนที่ฝ่าบาทถามว่าหม่อมฉันจะเชื่อหรือไม่ หม่อมฉันรู้สึกว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อ”
“จริงหรือ… เจ้าเชื่อข้าหรือ?” ดวงตาหลี่หรงอวี่ส่องประกายขึ้น
เหยียนอี้พยักหน้า
หลี่หรงอวี่ค่อย ๆ โน้มศีรษะลง เดิมทีเขานั่งอยู่บนฟูกกับเหยียนอี้ ตอนนี้เขาโน้มศีรษะลงซบขาตนเอง ตัวชายหนุ่มขดโค้ง ไหล่ทั้งสองข้างสั่นไหวอันเนื่องมาจากแรงสะอื้น
เหยียนอี้ไม่รู้ว่าเพียงแค่นางบอกว่า ‘เชื่อ’ จะทำให้องค์รัชทายาทมีท่าทางเช่นนี้ นางจึงเอื้อมมือออกไปลูบแผ่นหลังเพื่อปลอบประโลม
หลี่หรงอวี่เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาแดงก่ำ หยาดน้ำตาคลอที่อยู่คล้ายจะหยดลงมาทุกเมื่อ
“ท่าน… ท่านร้องไห้หรือ?” เหยียนอี้ถามด้วยความประหลาดใจ
หลี่หรงอวี่เอื้อมมือดึงเหยียนอี้เข้ามาไว้ในอ้อมกอด
เหยียนอี้ปลื้มปีติกับท่าทีขององค์รัชทายาท นางไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไรให้เหมาะสม จึงได้แต่วางมือทั้งสองข้างแนบตัว
หลี่หรงอวี่กอดนางเอาไว้ ร่างสั่นไหวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่างกายเขากำลังอ่อนแอเกินไปหรือไม่?
“ฝ่าบาท…ฝ่าบาท”
“ไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้นอกจากอู๋เกาและลั่วอิ๋ง… เสด็จย่าก็ไม่เชื่อเช่นกัน ในความเป็นจริงอู๋เกาและลั่วอิ๋งอาจไม่เชื่อ แต่เพราะพวกเขารับใช้ข้าจึงเชื่อฟังข้า”
“แต่ตอนนี้เจ้าเชื่อข้า เหยียนอี้ ข้า… ข้าดีใจมากที่เจ้าเป็นคนเดียวในโลกที่เชื่อข้าโดยไม่ต้องมีเหตุผลใด ๆ”
หลี่หรงอวี่ซบศีรษะบนไหล่ของเหยียนอี้ เอ่ยจบเขาก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ประกบริมฝีปากลงบนติ่งหูของนางอย่างแผ่วเบา
การเคลื่อนไหวของเขานุ่มนวลราวกับว่าผีเสื้อขยับปีก เขย่าละอองเกสรให้ลอยล่องตามสายลมฤดูใบไม้ผลิ ก่อนจะร่วงหล่นลงกลางแสงอาทิตย์
เหยียนอี้รู้สึกว่าตอนที่ริมฝีปากองค์รัชทายาทสัมผัสลงมา เหมือนกับว่าร่างกายนางวูบวาบไปทั่ว
นางไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิต และมันรู้สึกไม่เลวเลย