ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 84 การจับกุมในตำหนัก
บทที่ 84 การจับกุมในตำหนัก
บทที่ 84 การจับกุมในตำหนัก
ครึ่งหนึ่งของคนในวังรู้ว่าไทเฮาไม่โปรดฮองเฮา แม่สามีกับลูกสะใภ้ห่างเหินกันมาหลายปีแล้ว แม้ว่าฮองเฮาจะเป็นใหญ่ แต่คนในวังยังคงเป็นคนของไทเฮา
ไทเฮาแก่แล้ว แต่นางปฏิเสธที่จะมอบอำนาจให้กับฮองเฮาหรือกระจายอำนาจให้พระสนมอย่างสนมชูหรือคนอื่น ซึ่งทำให้ทางตำหนักจาวหยางไม่พอใจมานานแล้ว
ไทเฮาถูกวางยาพิษและล้มป่วย ไม่รู้ว่านางจะฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ หลังจากนี้อำนาจรับผิดชอบในวังหลวงย่อมสามารถคืนให้กับฮองเฮาได้โดยไร้ข้อกังขา
เวลานี้ตำหนักฉืออันเหลือเพียงความเงียบงัน
เหยียนอี้คุกเข่าอยู่เป็นเวลานาน เข่าของนางเริ่มชาเล็กน้อย นางขยับตัวอย่างเงียบ ๆ เพื่อเปลี่ยนท่าให้สบายขึ้น กระนั้นองค์หญิงผิงหยางก็เห็นการเคลื่อนไหวของนางอยู่ดี
ผิงหยางจ้องมาที่เหยียนอี้ก่อนจะถามขึ้นมาทันทีว่า “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
ณ ตรงนี้ เหยียนอี้ไม่ได้โง่เขลาขนาดที่จะบอกว่านางเหนื่อยกับการคุกเข่าลงและอยากพัก นางจึงกล้าพอที่จะพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดอะไรได้บางอย่าง”
ฮ่องเต้ตรัสว่า “พูดมา”
เหยียนอี้กล่าวว่า “น้ำแกงทั้งหมดที่ถวายในห้องเครื่องถูกชิมโดยขันที ขันทีที่ลิ้มรสอาหารในวันนี้ ตอนนี้เขาคุกเข่าอยู่ที่นี่ น้ำแกงเพิ่งทำเสร็จ ออกจากห้องเครื่องไปย่อมไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
ฮ่องเต้พยักหน้า
เหยียนอี้กล่าวต่ออีกว่า “อาหารที่ถูกส่งจากห้องเครื่องไปยังไทเฮา มีเข็มเงินที่ หมัวหมั่ว ใช้เพื่อทดสอบพิษ แต่ในเวลานั้นกลับตรวจไม่พบ แปลว่าไม่มีผู้ใดแตะต้องอาหารเพคะ”
ฮ่องเต้ถาม “เจ้าหมายความว่าอาหารของไทเฮาไม่สามารถจับต้องได้ใช่หรือไม่”
เหยียนอี้เหลือบมองไทเฮาและพูดว่า “ถ้าต้องการวางยาพิษ ผู้ร้ายต้องเป็นคนที่สามารถหยิบอาหารจากหมัวหมั่วที่ทดสอบพิษแล้วส่งให้ไทเฮาเพียงเท่านั้น”
ผิงหยางขัดขึ้น “น่าขำสิ้นดี! ตอนอาหารมาถึงหน้าไทเฮาก็มีพี่รองมองอยู่ คนร้ายจะทำได้อย่างไร? หรงกูกู ฟางกูกูเป็นคนวางยาพิษไทเฮาหรือ? หรือเจ้าจะบอกว่าพี่รองของข้าวางยาพิษเสียเอง?”
เหยียนอี้ถามขึ้น “เหตุใดองค์หญิงถึงคิดว่าหมัวหมั่วทั้งสองและองค์รัชทายาทไม่สามารถเป็นคนวางยาพิษไทเฮาเล่า”
หลี่หรงอวี่ที่ได้ยินเหยียนอี้บอกว่าเขาอาจวางยาพิษตัวเองก็โกรธระคนขบขัน เขาถึงกับไอออกมาอีกสองครั้งสองครา
หรงกูกูกล่าวว่า “แม่ครัวเหยียน พวกเราทั้งสองคนอยู่กับไทเฮามาตั้งแต่นางยังเล็ก ผ่านมาห้าสิบไม่ก็หกสิบปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราย่อมลึกซึ้ง เราจะทำร้ายไทเฮาได้อย่างไร? หากทำร้ายไทเฮาเราจะได้สิ่งใด”
จางกุ้ยเฟยตรัสอย่างประหลาดใจว่า “ผลประโยชน์ย่อมมีอยู่เสมอ พวกเจ้ารับใช้ไทเฮามาหลายปีแล้ว แม้ว่าจะแนบแน่นเพียงใด แต่มันคือความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและคนรับใช้มิใช่รึ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ คิดอย่างนั้นหรือไม่เพคะ ฮองเฮา?”
หลังจากที่ฮองเฮาได้ยินดังนั้น ใบหน้าของนางก็แปรเปลี่ยน และนางก็ตะโกนออกมา “เจ้าหมายถึงอะไร จางกุ้ยเฟย?”
จางกุ้ยเฟยเย้ยหยัน “เท่าที่รู้ บุตรชายของหรงกูกูตอนนี้เป็นผู้บังคับการใต้เงื้อมมือชาวอังกฤษนี่”
เฉียนต้าฟู่เป็นนายทหารระดับสูงของราชวงศ์และเป็นบิดาของฮองเฮา
ฮองเฮาหัวเราะ “บิดาของข้าฝึกให้ฮ่องเต้มีทหารแสนนายอยู่ภายใต้คำสั่ง บุตรชายหรงกูกูอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตระกูลข้าก็จริง แต่ข้าจะจำได้อย่างไร อย่าว่าแต่บิดาของข้าเลย ข้าไม่ทราบเรื่องนี้ด้วยซ้ำ แปลกนักที่สนมจางอยู่แต่ในวัง แต่กลับรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี”
จางกุ้ยเฟยหน้าซีดแล้วพึมพำออกมา “ข้า…”
“ฮองเฮา! เป็นเจ้าหรือ” ฮ่องเต้ตะโกนอย่างโกรธเคือง ไม่เพียงแต่ชะงักคำพูดของจางกุ้ยเฟยเท่านั้น ทุกคนก็ตกใจกับเสียงนั้นด้วย
หลังฮองเฮาเห็นว่าฮ่องเต้สงสัยตัวเองจริง ๆ นางก็หัวเราะเยาะออกมา จากนั้นจึงคุกเข่าลงกับพื้นแล้วตอบไปว่า “ถ้าบอกว่าหม่อมฉันไม่ได้ทำ ท่านจะเชื่อหรือไม่?”
ฮองเฮาเป็นคนเป็นคนอ่อนโยนมาตลอด แต่ตอนนี้ฮ่องเต้กลับถามนางต่อหน้าทุกคนในวัง นางย่อมขุ่นเคือง
ในเวลาเดียวกัน ไทเฮาบนแท่นบรรทมก็เปล่งเสียงครวญครางออกมาเบา ๆ
หลี่หรงอวี่ที่อยู่ใกล้กับไทเฮามากที่สุดรีบวิ่งไปหาและตะโกนขึ้นว่า “เสด็จย่า! เสด็จย่า!”
หมอหลวงก็ตรงไปจับชีพจร เปิดเปลือกตาของไทเฮา ทว่าภายหลังได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ
“แย่มากหรือ” หลี่หรงอวี่รู้สึกว่าหัวใจตนสั่นไหวราวกับถูกฉีกกระชากออกจากกัน
หมอเหอกล่าวว่า “ไทเฮาทรงชราแล้ว…”
จักรพรรดิถึงกับเตะหมอเหออย่างโกรธจัดแล้วตะโกนว่า “ถ้าเจ้าไม่สามารถรักษาไทเฮาได้ ข้าจะปิดสำนักของเจ้า!”
หลี่หรงอวี่ที่ถูกวางยาพิษร่างกายอ่อนแอลงมาก เขาตกใจกับคำวินิจฉัยของของหมอเหอจึงอาเจียนออกมาเป็นเลือด
“พี่รอง!” ผิงหยางส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ
หลี่หรงอวี่โบกมือเพื่อให้เห็นว่าเขายังไหว
ฮ่องเต้เพียงแค่มองไปที่บุตรชายแล้วหันกลับ ดวงตายังคงจดจ้องไปที่ฮองเฮาที่ยังคงคุกเข่า
“บางทีคนร้ายอาจไม่ได้ต้องการฆ่าไทเฮา องค์รัชทายาทก็ถูกวางยาพิษด้วยไม่ใช่หรือ” ฮองเฮาคุกเข่าลงบนพื้น กระนั้นแผ่นหลังยังคงเหยียดตรง
นัยน์ตาฮ่องเต้วาบประกายไปยังเหล่าองค์ชายด้านนอก
เหยียนอี้อ้าปากพูด “ทูลฝ่าบาท เป้าหมายของคนร้ายเป็นไทเฮาเพคะ”
ฮ่องเต้หันกลับมา “อย่างไร?”
เหยียนอี้เริ่มอธิบาย “รสนิยมในอาหารขององค์รัชทายาทย่อมเป็นไปตามรสนิยมของฮ่องเต้ พระองค์ไม่โปรดน้ำแกง แกงผักรวมถูกเตรียมโดยแม่ครัวสำหรับไทเฮา คนร้ายไม่ได้คาดหวังว่าองค์รัชทายาทจะดื่มด้วย หากเป้าหมายของคนร้ายคือองค์รัชทายาท เหตุใดถึงไม่ใส่ยาพิษลงในของหวานแทนน้ำแกง”
หมอเหอรายงานอาการขึ้นมาพอดิบพอดี “ทูลฝ่าบาท พิษไม่เข้มข้นเกินไป องค์รัชทายาทร่างกายแข็งแรง ยังทรงพระเยาว์ พิษไม่เป็นผลพ่ะย่ะค่ะ”
จางกุ้ยเฟยรีบตรัสขึ้น “บางทีคนร้ายอาจไม่ต้องการชีวิตของไทเฮา แต่อยากให้ไทเฮาป่วยเกินกว่าจะลุกจากเตียงจนคุมอำนาจใดไม่ได้เลยก็เป็นได้”
คำพูดของนางชี้ไปที่ฮองเฮาทุกประโยค
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้ได้โปรดปรานสนมจางและเชื่อในคำพูดของนางมาเสมอ เขาจึงคล้อยตามและประณามฮองเฮาในใจไปแล้ว
แต่ฮองเฮาเป็นคนที่ค่อนข้างยอมหักไม่ยอมงอ เมื่อเห็นว่าทุกคนสงสัยในตัวเอง นางก็ตรัสว่า
“หรือฮ่องเต้จะคุมตัวทุกคนเอาไว้ รวมถึงคุมพวกนางสนมไว้ในตำหนักก่อน จากนั้นค่อยให้กรมยุติธรรมและสำนักเทียนจีตรวจสอบร่วมกัน หากมีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับนางสนมจริง ๆ ก็ยินดีที่จะถูกสอบสวน!”
ฮ่องเต้ตกตะลึงเมื่อได้ยินชื่อสี่พยางค์ของการสอบร่วมสามฝ่าย
ในอดีตกระทรวงยุติธรรมและวัดต้าหลี่ล้วนดำรงตำแหน่งกันตามลำดับ หากไม่ใช่กรณีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตชาติ คงไม่มีเวลาให้ทั้งสามฝ่ายร่วมกันไต่สวนคดี
การพิจารณาคดีร่วมในศาลเกิดเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ในช่วงการก่อกบฏของอ๋องหย่ง
ฮองเฮาตรัสเช่นนี้ถือเป็นการเดิมพันตำแหน่งของนาง
“หัวใจของหม่อมฉันเปิดกว้าง ไม่กลัววัว ควาย ผี งูและเทพเจ้าใด เครื่องมือทรมานแปดสิบเอ็ดอย่างในศาลาเทียนจี๋ล้วนอยู่ในกำมือ หม้อที่ไม่ได้ถือเอง ย่อมสวมบนหัวตนเองไม่ได้” ฮองเฮาตรัสออกมาเสียงดัง
ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็ไม่เป็นผล เขาเหนื่อยเสียแล้ว หลังได้ยินหมอหลวงบอกว่าไทเฮาอยู่ในสภาพที่ไม่ดี เขาก็ไม่อยากสนใจคดีนี้อีก
เขาออกคำสั่งให้ขังคนที่เกี่ยวข้องไว้ที่ตำหนักฉืออัน ส่วนฮองเฮาให้อยู่ในตำหนักจาวหยาง พระสนมจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนชั่วคราวสำหรับทุกเรื่องในวัง
หลี่หรงอวี่กังวลแค่ความปลอดภัยของไทเฮา เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้ประสงค์กักขังทุกคนไว้ในตำหนักฉืออัน เขาจึงกล่าวว่า “เสด็จพ่อ คนจากห้องเครื่องไม่มีโอกาสวางยาพิษ คงไม่จำเป็นต้องถูกคุมขังกระมัง”
“ใครบอกว่าไม่มีโอกาส? แค่ปฏิเสธสองสามประโยคก็ไม่ใช่คนร้ายแล้วรึ เสด็จพ่อ ขังพวกมันให้หมดเถิด!” ผิงหยางกระทืบเท้าไปมา
เมื่อฮองเฮาถูกใส่ร้าย นางก็อดไม่ได้ที่จะออกมาเรียกร้อง ฮองเฮาจึงบีบแขนของนางให้ปิดปากซะ
ฮองเฮาถูกนำตัวออกไปในที่สุด องค์หญิงผิงหยางอดไม่ได้ที่จะโกรธเคือง นางคิดว่าแม้เสด็จแม่ของนางจะถูกกักบริเวณในตำหนักชั่วคราว แต่เรื่องนี้ก็ทำให้สนมจางได้รับความสนใจมาก
นางไม่สามารถหยุดลมหายใจอันขุ่นเคืองนี้ได้ ในเมื่อฮ่องเต้ประสงค์จะขัง ก็ควรขังทุกคน ไม่เพียงแต่ผู้คนในตำหนักฉืออัน แต่เป็นทุกคนในวังหลวงด้วย
ฮ่องเต้เห็นว่าผิงหยางไม่พอใจและเริ่มแสดงกิริยาโง่เขลา เขาไม่สามารถทำอะไรได้จึงให้คนพานางกลับตำหนักจาวหยาง
ทุกคนในตำหนักฉืออันไม่สามารถถูกขังทั้งหมดได้ ไทเฮายังป่วยอยู่บนแท่นบรรทมและไม่มีคนคอยดูแล คนที่บอกไม่ได้ว่าตนทำอะไรอยู่ในเวลาเกิดเหตุและคนชิมอาหารจึงเป็นฝ่ายถูกพาตัวออกไป
ส่วนเหยียนอี้ หรงกูกูและฟางกูกูกลับไปทำงานได้ตามปกติ
อาการของไทเฮานั้นอันตรายอย่างยิ่ง นางแก่เกินไป ไตของนางอ่อนแอ ม้ามและท้องของนางก็ไม่ดี นางไม่สามารถดื่มยาแรงได้ทั้งที่อาการยังคงหนักอยู่ กระนั้นนางก็ไม่สามารถที่จะอาเจียนออกมาได้ ดังนั้นจึงต้องมีการถ่ายเลือดออก
แต่หลังจากถ่ายเลือดออกมาสองชามครึ่ง ใบหน้าของไทเฮาก็คล้ำขึ้นเรื่อย ๆ
หมอทุกคนในโรงหมอต่างพากันอยู่รักษาทั้งคืน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องฝังเข็มชั่วคราวเพื่อปกป้องหัวใจและปอดของไทเฮาไว้
พิษในตัวหลี่หรงอวี่นั้นไม่ทราบได้อย่างแน่ชัด แม้เขาควรจะได้รับการพักผ่อน แต่ไม่ว่าคนอื่นจะแนะนำเขาอย่างไร เขาก็ยังคงปฏิเสธ เขาลุกขึ้นทั้งคืน ใบหน้ายิ่งย่ำแย่ลง
เมื่อฮ่องเต้กลับมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เขาก็สั่งให้องค์รัชทายาทกลับไปที่ตำหนักตะวันออกเพื่อพักผ่อน หลี่หรงอวี่ยังคงปฏิเสธ สุดท้ายต้องยอมแม้ไม่เต็มใจก็ตาม
หมอหลวงนำยาแก้พิษมาให้แล้วบอกว่าเขาต้องดื่มเป็นเวลาเจ็ดวันเพื่อล้างพิษที่เหลือ หลังจากดื่มมันแล้ว หลี่หรงอวี่ก็รู้สึกปั่นป่วนในท้อง และก่อนที่จะไปถึงตำหนักข้าง ๆ เขาก็อาเจียนออกมา
อู๋เกา ข้าราชบริพารฝ่ายในที่อุ้มเขารู้สึกตกใจจึงรีบกลับไปตามหมอ ระหว่างนั้นหลี่หรงอวี่ก็อาเจียนออกมาอีก ทว่าอู๋เกาก็ยังไม่กลับมา
เขาปวดท้องและเวียนหัวจึงต้องนั่งบนพื้นตามราวบันได
เหยียนอี้ได้รับคำสั่งให้ปรุงโจ๊กให้องค์รัชทายาท นางนำมันไปที่ตำหนักข้าง ๆ แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น นางวางชามโจ๊กไว้แล้วออกมา แต่ทันใดนั้นนางก็บังเอิญเห็นองค์ชายนั่งอยู่บนพื้นจึงรีบไปช่วย
หลี่หรงอวี่โบกมือก่อนจะยืนยันว่า “ข้าสบายดี”
เขาต้องการยืนขึ้นเองแต่ไร้เรี่ยวแรง
ในขณะที่พยุงเขาขึ้นมา เหยียนอี้ก็กล่าวว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่ายาแก้พิษมีผงต้มกัญชา ใช้เพื่อทำให้อาเจียน ฝ่าบาทจึงไม่มีแรงหลังจากอาเจียนเพคะ”
หลี่หรงอวี่เอนหลังพิงหลังนาง นางจึงช่วยพากลับไปที่ห้องแล้วช่วยให้นั่งบนที่พำนัก
หลังจากนั้นอู๋เกาก็พาหมอเข้ามา หมอตรวจสอบชีพจรของเขาแล้วพูดว่า “องค์รัชทายาทไม่ได้นอนทั้งคืนและเหนื่อยล้ามากเกินไป”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “ไปดูแลไทเฮาเถิด อาการข้าไม่มีอะไรน่ากังวล”
หมอยอมตอบรับแล้วออกไปจากห้อง แต่ก่อนจะออกไปก็ได้บอกให้องค์รัชทายาทซดโจ๊กให้หมด
หลี่หรงอวี่ประคองมือของอู๋เกาแล้วค่อย ๆ เสวยโจ๊ก หลังจากเสวยได้ไม่กี่คำ เขาก็บอกว่าตนรู้สึกไม่สบายท้อง และไม่ต้องการที่จะดื่มอีก
*ทีมงาน enjoybook ขออนุญาตแก้ไขตำแหน่ง จากฮ่องเต้ยงเป็นอ๋องหย่ง ขออภัยมา ณ ที่นี้