ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 82 น้ำแกงผักรวม
บทที่ 82 น้ำแกงผักรวม
เดิมทีเหยียนอี้อยากตามดูว่าบุคคลนี้เป็นใคร ทว่าผู้อาวุโสผู้นี้ไม่ได้เข้าไปในห้อง แต่กลับเข้าไปหยิบของ เดินออกจากสนาม แล้วมุ่งไปยังทิศห้องบรรทมของไทเฮา
เหยียนอี้อยากตามไป แต่เพราะนางยังใหม่กับที่นี่และยังไม่รู้สถานการณ์ นางอาจจะกลายเป็นเหยื่อเสียเปล่า
นางกลับไปที่ห้องอย่างเงียบ ๆ แล้วปิดประตู ย้ายเก้าอี้ตัวเล็กมาที่หน้าต่าง รอให้มีใครกลับมา นางใช้ประโยชน์จากแสงจันทร์เพ่งดูใบหน้าของบุคคลนั้นให้ชัดแล้วลอบวางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ
ทว่ารอแล้วรอเล่าก็ไม่มีใครกลับมา หลังจากนั่งรออยู่หนึ่งชั่วยาม เหยียนอี้ก็ฝืนต่อไม่ไหว นางจึงเข้านอน
นางหลับไปจนถึงยามเหม่า
ท้องฟ้าแย้มแสงสลัว เหยียนอี้ที่หลับอยู่บนเก้าอี้สะดุ้งตื่นด้วยท่าทีตระหนก “ไม่จริง! ข้าพลาดแล้ว!”
เหยียนอี้ผลักประตูออก บังเอิญพบกับหรงกูกู*[1] ที่เพิ่งตื่นขึ้นและดูตกใจที่เห็นนางเช่นกัน หรงกูกูพูดด้วยรอยยิ้มที่แข็งทื่อว่า “แม่ครัวเหยียนตื่นแต่เช้าตรู่เลยหรือ”
เหยียนอี้โค้งคำนับนางก่อนจะพูดว่า “เมื่อคืนข้านอนหลับสบายมาก ข้าจึงตื่นเช้า ดูเหมือนท่านก็ตื่นเช้าด้วยนะเจ้าคะ”
หรงกูกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าแก่แล้วไม่ค่อยง่วงสักเท่าไร ตอนอายุเท่าแม่ครัวเหยียน ข้าง่วงนอนที่สุด”
หลังจากที่ทั้งสองแลกเปลี่ยนคำทักทายกันอย่างสุภาพ หรงกูกูก็รีบไปเข้าเฝ้าไทเฮา
เหยียนอี้มองตามแผ่นหลังของนางแล้วก็รู้สึกว่าช่างคล้ายกับคนเมื่อคืน
หลังจากนั้นไม่นาน ฟางกูกูก็ตื่นขึ้น เหยียนอี้จึงแลกเปลี่ยนคำทักทายกับนาง เมื่อมองดูท่าเดินของฟางกูกู เหยียนอี้ก็รู้สึกว่านางดูเหมือนคนเมื่อคืนนี้อีกเช่นกัน
เหล่าสตรีในตำหนักทยอยออกมา เหยียนอี้พินิจดูรายคน ทุกคนต่างดูเหมือนคนเมื่อคืนนี้ไม่ผิดเพี้ยน
ในตำหนักแห่งนี้ นางกำนัลอาวุโสส่วนใหญ่ที่ติดตามไทเฮามาหลายปีมักอยู่ในที่เดียวกันตลอดทั้งปี พวกนางได้เรียนรู้ที่จะเดินด้วยท่าทางแบบเดียวกัน นั่นจึงเป็นเรื่องยากที่จะหาตัวบุคคลต้องสงสัยเมื่อคืน
เหยียนอี้อยากหัวเราะเยาะตัวเอง นางหวาดระแวงจริง ๆ
กระนั้นสิ่งที่นางเห็นและได้ยินเมื่อคืนก็ทำให้นางอดหวั่นใจไม่ได้
ชายร่างสูงในชุดดำคือผู้ใด? เขาให้อะไรกับกูกูคนนั้น? เป็นใครกันถึงกล้าทำเช่นนี้ในตำหนักของไทเฮา? แล้วใครเล่าคือเป้าหมาย?
เหยียนอี้ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับผู้ใดในตำหนักฉืออัน นางจึงบอกปัญหานี้กับใครมิได้ นางต้องทูลต่อไทเฮาด้วยตนเอง ทว่านางรู้ว่าตนไม่มีหลักฐาน หากทูลไปว่ามีผู้น่าสงสัยในตำหนักนี้ก็เกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ และสุดท้ายก็อาจจะไม่สามารถจับผู้ร้ายได้
แต่หากนางทิ้งเรื่องนี้ไว้แล้วมีฆาตกรรมเกิดขึ้นขึ้นมา มันจะกลายเป็นความผิดของนางมิใช่หรือ?
เหยียนอี้กลัดกลุ้มอยู่ในใจจึงไม่ได้ระวังตอนหั่นผัก นางเผลอเฉือนนิ้วตัวเองจนหยดเลือดรินไหลดั่งสายน้ำ
เหวินต้าชิงเห็นนางดูเหม่อลอยจึงถามขึ้น “เจ้าคิดเรื่องใดอยู่? เหตุใดถึงดูไร้สติเช่นนี้”
เหยียนอี้ตอบเพียงว่า “เมื่อคืนข้านอนไม่หลับเจ้าค่ะ”
ใต้ดวงตาเหยียนอี้มีวงกลมสีดำสองวงใหญ่ขนาดเท่าไข่ใบหนึ่ง แต่เรื่องที่นางนอนไม่หลับนั้นเป็นความจริง
หลายวันผ่านไปก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตำหนักฉืออัน ทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ
เหยียนอี้จึงรู้สึกว่านางคงระแวงเกินไป บางทีสิ่งที่นางพบในคืนนั้นอาจเป็นเพียงของกำนัลส่วนตัวก็เป็นได้
นางอยู่ในวังมาพักใหญ่แล้วจึงได้รู้มาว่าบางคนในวังจะแอบส่งของเจ้านายผ่านขันทีเล็กที่สามารถเข้าออกวัง เพื่อส่งต่อไปยังครอบครัวอีกทอดหนึ่ง
สาวรับใช้ทั้งหลายที่ประสบปัญหาทางบ้านก็เช่นกัน พวกนางจะเย็บปักถักร้อยแล้วแอบขอให้ขันทีเอาไปขายเพื่อแลกกับเงิน
แม้จะขัดต่อกฎ แต่ในวังหลวงย่อมมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น หากถูกเจ้านายจับได้ เหล่าผู้รับใช้จะต้องถูกจำคุกหรือไม่ก็โดนทุบตีจนตาย
เคยมีขันทีที่ดูแลฟืนในห้องเครื่องหลวงของฮ่องเต้ขโมยเงินและถ่านที่ใช้ในวังไปขายในตลาดมืด เจ้าตัวได้เงินมามากมาย ไห่เทียนอี้ก็รู้เห็นเรื่องนี้เช่นกัน แต่เขาได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพและซื่อสัตย์จากขันทีเล็ก ดังนั้นเมื่อได้ประโยชน์ เขาจึงทำเป็นไม่สนใจ
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับกะพริบตา เหยียนอี้อยู่ในตำหนักฉืออันมาครึ่งเดือนแล้ว ไทเฮาชื่นชอบอาหารฝีมือของเหยียนอี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนเหวินต้าชิงนั้นถูกละเลยไป
ไทเฮาป็นคนมัธยัสถ์มาโดยตลอด นางกล่าวว่าหลังจากนี้ไม่จำเป็นต้องทำอาหารมากมาย เหวินต้าชิงจึงไม่ต้องทำงานหนักและต้องมาช่วยเหยียนอี้แทน
เหยียนอี้รู้สึกละอายใจ นางมักลืมของหรือแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจเพื่อสอบถามเหวินต้าชิง ด้วยความที่เขาแก่แล้วจึงมีเรื่องให้สอนมากมาย เหวินต้าชิงมีความสุขและผ่อนคลายที่ตนได้เป็นครูที่ดี จึงไม่คัดค้านความต้องการของเหยียนอี้
และแล้วองค์รัชทายาทก็มาร่วมโต๊ะกับไทเฮาอีกครั้ง
ห้องเครื่องยุ่งวุ่นวายตามปกติ เหวินต้าชิงงึมงำขึ้นว่า “ช่วงนี้องค์รัชทายาทมาหาไทเฮาบ่อยขึ้น แปลกจริง ๆ”
เหยียนอี้ตอบไปว่า “ไทเฮาเลี้ยงดูองค์รัชทายาทมา เขาย่อมใกล้ชิดกับไทเฮามากกว่าใคร”
เหวินต้าชิงกล่าวว่า “ไทเฮาชอบความเงียบสงบ พระองค์ไม่ประสงค์ให้ใครมาทุกเช้าเย็น ตั้งแต่รัชทายาทอายุสิบแปดก็มีตำหนัก พระองค์ย้ายไปอยู่ตำหนักตะวันออก ไม่ค่อยมาที่นี่บ่อยนัก”
เหยียนอี้วางแผนทำมันเทศหั่นฝอย*[2] แต่น้ำตาลทรายขาวถูกเปิดใช้ไว้นานเกินไป บางส่วนจึงเกิดความชื้น นางจึงไม่สามารถดึงน้ำตาลในมันหวานให้ออกมาเป็นเส้นได้
เหวินต้าชิงมาช่วยเหยียนอี้ ตอนแรกเขาต้มน้ำ ใส่น้ำตาลกรวด ต้มจนละลายเล็กน้อย เทออกแล้วกรองอีกครั้ง และหลังใส่น้ำผึ้งสองสามช้อนลงไปก็เหนียวนุ่มขึ้นมาก
จากนั้นก็วางลงบนจาน แกะสลักเป็นลวดลายมังกรด้วยเส้นจากมันหวานที่ดึงออกมา แน่นอนว่าเขามั่นใจว่าขิงยังคงร้อนและเผ็ดอยู่
เหวินต้าชิงภูมิใจมากที่เขาได้รับการปรบมือจากทุกคนในห้องเครื่องหลวง เขาขอให้ขันทีถวายอาหารเร็วขึ้น “รีบถวายเร็วเข้า ประเดี๋ยวเส้นจะเย็นและแข็งเอาเสียหมด”
จานนี้จัดทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับองค์รัชทายาท เขายังหนุ่มยังแน่นและชื่นชอบอาหารหวาน ส่วนไทเฮาไม่สามารถเสวยได้เพราะปริมาณน้ำตาลสูงเกินไป อีกทั้งฟันก็ไม่แข็งแรง เขากลัวว่าไทเฮาจะฟันร่วงหมดเสียก่อน
หลี่หรงอวี่แทบจะใช้สองมือเสวย อาหารจานนี้รสเลิศจริง ๆ
ไทเฮามององค์รัชทายาทด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าไม่ชอบอาหารหวาน”
หลี่หรงอวี่ตอบว่า “เหตุใดไม่ทราบได้ พักนี้ข้าเริ่มชอบแล้ว”
ไทเฮาทาบมือบนไหล่เขา แย้มสรวลก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ก่อนหัวใจของเจ้าขื่นขม ทานสิ่งใดก็ขื่นขม ตอนนี้มีแต่ความหวาน ทานเพียงน้ำเปล่าก็หวาน”
หลี่หรงอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อครัวของไทเฮาทำของหวานให้ข้าเป็นพิเศษ ท่านอิจฉาหรือไม่”
น้ำเสียงไทเฮาเคืองเล็กน้อย “เจ้างกเอ๋ย! เจ้ามาที่นี่ทีไร ห้องเครื่องก็ทำตามใจปากเจ้ามิใช่รึ”
“ปรากฏว่าอาหารที่นี่ทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อข้า! ไม่แปลกใจที่รสเลิศล้ำกว่าตำหนักตะวันออกของข้าถึงร้อยเท่า” หลี่หรงอวี่พูดขึ้น
ไทเฮาหยิบตะเกียบคีบถั่วเขียวพลางเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าชอบเหยียนอี้จริง ๆ เหตุใดเจ้าไม่เอานางเข้าไปในตำหนักของเจ้าล่ะ”
หลี่หรงอวี่ถึงกับคาดไม่ถึง กระนั้นก็ยังตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “นางคือคนที่ท่านชื่นชอบ หลานชายอย่างข้าจะบังอาจเอาตัวไปได้อย่างไร”
ไทเฮากล่าว “ของดีที่นี่อันใดไม่ใช่ของเจ้าบ้างเล่า?”
ระหว่างที่หลี่หรงอวี่กำลังจะพูด ขันทีก็ยกอาหารประมาณสามถึงห้าจานเข้ามา ทั้งเป็นเต้าหู้หั่นฝอยใส่ไก่ ผัดมะเขือกลิ่นปลา และแกงผักรวมหนึ่งหม้อ
หลี่หรงอวี่ยกฝาแกงผักรวมขึ้นพลางสูดกลิ่น เขาชื่นชมแล้วกล่าวว่า “อาหารทั้งสามอย่างทำคงขึ้นเป็นพิเศษสำหรับไทเฮา”
หรงกูกูตักน้ำแกงชามเล็ก ๆ ให้ไทเฮาแล้วตักให้หลี่หรงอวี่ แต่เขาดันออกเพื่อให้นางเข้าใจว่าตนอิ่มแล้ว
ไทเฮาเป่าน้ำแกงแล้วดุว่า “ถึงมันหวานเมื่อครู่จะอร่อยก็ไม่ควรทานทั้งจาน เช่นนั้นเจ้าจะกินอะไรได้อีกเล่า บรรพบุรุษกล่าวไว้ว่าถ้าทานสามอย่างไม่ได้ก็ต้องพอประมาณ”
หลี่หรงอวี่จึงหันไปสั่งขันที “ไปบอกแม่ครัวเหยียนว่าถ้ายังมีอาหารเหลืออยู่ ไม่จำเป็นต้องทำเพิ่ม เราไม่สามารถกินหมดได้”
ไทเฮาพึงพอใจในน้ำแกงอย่างยิ่ง นางดื่มไปหนึ่งชามแล้วต้องการอีกชาม
หลี่หรงอวี่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้ไทเฮาก็เป็นเด็กเช่นกันกระมัง บอกข้าว่าไม่ควรกินมาก ตอนนี้กลับต้องการอีกชาม น้ำแกงอร่อยมากหรือ? หรงกูกู ข้าอยากลิ้มรสด้วย”
หรงกูกูจึงถวายน้ำแกงให้องค์รัชทายาท
หลี่หรงอวี่เขี่ยช้อนดูก็พบว่ามันเป็นเพียงชามน้ำแกงใสที่มีผักป่าหลายชนิดลอยอยู่บนนั้น มิใช่น้ำแกงทำยากและหายากแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม หลังจากซดไปหนึ่งคำ มันก็สดชื่นและอร่อยเป็นพิเศษ ความรู้สึกหวานที่เพิ่งกินของหวานถูกชะล้างออกไป เขาสามารถดื่มน้ำแกงอีกหม้อได้
ไทเฮามองไปที่หลานชายด้วยรอยยิ้ม “พวกเราจะถูกเหยียนอี้ทำให้เสียนิสัยเสียแล้ว”
หลังจากเหยียนอี้ทำอาหารเสร็จ ขันทีตัวน้อยที่ช่วยทอดเมล็ดแตงโมตอนที่เตายังร้อน ๆ ก็ลำเลียงเมล็ดแตงโมออกมา เหยียนอี้และพวกเขานั่งลงที่ประตูหลังแล้วพูดคุยกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ขันทีที่ดูแลเรื่องถวายอาหารก็นำอาหารเหลือจากไทเฮาและองค์รัชทายาทเข้ามา คนงานในห้องครัวจึงเริ่มเติมน้ำแล้วล้างจาน
ตามระเบียบแล้ว เหยียนอี้และเหวินต้าชิงต้องดูจานที่กลับมาก่อนเพื่อสังเกตว่าพวกเขากินอาหารจานใด และจานใดที่พวกเขาไม่ได้สัมผัส ทั้งนี้เพื่อบันทึกให้ทุกคนสามารถรู้ว่าเจ้านายแต่ละคนชอบอาหารจานใด
เหยียนอี้เห็นว่าจานของมันหวานนั้นว่างเปล่าเหลือเพียงมังกรแกะสลักอยู่ครึ่งหนึ่ง นางอดไม่ได้ที่จะสรรเสริญ “ท่านเหวินช่างเป็นพ่อครัวฝีมือเยี่ยม! นี่เป็นครั้งแรกที่ไทเฮาทรงเสวยอาหารทุกจาน!”
เหวินต้าชิงได้ถวายอาหารให้ตำหนักฉืออันมานานหลายทศวรรษ ส่วนองค์รัชทายาทได้รับการเลี้ยงดูจากไทเฮา และเติบโตขึ้นมากับการกินของหวานที่ทำโดยเขามาตลอด
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์รัชทายาททรงโปรดมากตอนยังเด็ก พระองค์ทรงดื่มน้ำแกงเห็ดชามใหญ่หลายชาม สุดท้ายจึงปวดท้อง ไทเฮาไม่พอพระทัยจึงสั่งทำโทษทุกคนในห้องเครื่องนี้ คนรับใช้ของพระองค์เองก็ถูกโบย”
“แต่องค์ชายมีจิตใจดี หลังได้ยินมาว่าพวกเราถูกลงโทษเพราะตนเสวยมาก ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ปฏิเสธที่จะเสวยมาก ๆ ดังนั้นเรื่องเช่นวันนี้จึงหาได้ยากยิ่ง”
เหยียนอี้พยักหน้า “ตอนข้าอยู่ในลั่วหยาง ข้าเคยรับใช้องค์ชายและฮ่องเต้เป็นเวลาหลายวัน องค์ชายเสวยขนมที่ข้าทำ กระนั้นก็น้อยมาก สุดท้ายแล้วก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
หลังจากเหวินต้าชิงเห็นว่าแกงผักรวมหมดเกลี้ยงแล้วเขาก็พูดขึ้นว่า “แปลกจริง ๆ เจ้าแค่เลือกใช้ผักป่าในสวนข้างนอก มันมีรสชาติที่ดีเช่นนี้เลยหรือ? ไม่มีน้ำแกงเหลืออยู่สักหยดเลย”
[1] กูกู คือ เป็นสรรพนามที่ใช้เรียกนางกำนัลรับใช้ผู้มีอาวุโส หมายถึงอยู่ทำงานรับใช้ในวังมานาน ใกล้จะเกษียณออกจากวัง
[2] มันเทศหั่นฝอย เป็นมันหวานที่ใช้เทคนิคการปรุงอาหารแบบพิเศษ ในตอนท้ายสุดจะใช้ตะเกียบดึงน้ำตาลที่หลอมละลายเป็นเส้นยาวคล้ายเส้นไหมออกมา