ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 81 ฝันร้าย
บทที่ 81 ฝันร้าย
หากย้อนไปถึงวันที่เคยพบกันที่ภัตตาคารกุ้ยซาน เหยียนอี้คิดว่าองค์รัชทายาทและฮ่องเต้นั้นเข้ากันได้ดี นางอดคิดไม่ได้ว่า เขากับบิดามีความสัมพันธ์ที่ดี ฮ่องเต้ไว้วางใจและรักองค์รัชทายาท พวกเขาเข้ากันได้เสมอ ความแตกต่างระหว่างตำแหน่งองค์ชายกับฮ่องเต้นั้นยิ่งใหญ่กว่าพ่อกับลูกชายอย่างยิ่ง
หลังจากเหยียนอี้เห็นว่าองค์รัชทายาทและไทเฮาต้องการพูดคุยกันต่อไป นางจึงขอตัวกลับไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น
นางกำนัลของไทเฮาบอกว่าองค์รัชทายาทอาจจะอยู่จนถึงเย็นเพื่อทานอาหารเย็นในตำหนักฉืออัน เหยียนอี้จึงต้องปรุงอาหารมากกว่าเดิม
นางรู้รสนิยมการทานอาหารขององค์รัชทายาท นางรับใช้องค์รัชทายาทในกุ้ยซานและลั่วหยางมาเป็นเวลานาน ส่วนไทเฮาจะชอบหรือไม่ชอบนั้น นางไม่อาจทราบได้
หลังจากมาถึงห้องเครื่องตำหนักฉืออัน เหยียนอี้จึงสอบถามเหวินต้าชิงซึ่งเป็นพ่อครัวประจำ
เหวินต้าชิงถวายอาหารมาตั้งแต่ไทเฮายังเป็นฮองเฮา เขารู้จักทุกอย่างมานานหลายทศวรรษ เขาใจดีอย่างมาก เพราะเมื่อเหยียนอี้ถามอะไรเขาก็อธิบายอย่างละเอียด
ไม่นานหลังจากนั้น เหยียนอี้ก็เข้าใจรสนิยมของฮองเฮาเฉียนอย่างแจ่มแจ้ง
ฮองเฮาเฉียนมักสักการะพระพุทธองค์ แม้ว่านางจะไม่งดเว้นเนื้อสัตว์และปลา แต่นางก็ไม่เสวยลูกสัตว์ รวมทั้งอวัยวะภายใน หรือสัตว์ที่ดุร้ายและหาได้ยาก
เนื้อที่มีรสชาติดีนั้นสำคัญอย่างยิ่ง อย่างเช่น การทำเนื้อตุ๋นควรใช้ลูกหมูสามเดือน และเส้นเอ็นเนื้อย่างควรเป็นวัวหกเดือน แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังเป็นสิ่งต้องห้ามในวังของไทเฮา
นอกจากนี้ ยังมีลิ้นนกแก้วทอดกับซอส ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในเมืองหลวง เพื่ออาหารเพียงจานเดียวก็ถึงกับต้องฆ่านกมากกว่าร้อยตัว อาหารพวกนี้จึงไม่สามารถถวายขึ้นโต๊ะในตำหนักฉืออันได้
เหยียนอี้ฟังคำบอกเล่าของเหวินต้าชิงแล้วก็คิดว่ามันไม่ได้ยากเกินไปนัก อาหารเย็นมื้อแรกของวันคือ ซือจือโถวไข่ปู*[1] เฟิ่งชวนจิงอี*[2] ไคสุ่ยไป๋ไช่*[3] เจียเสี่ยง*[4] กุ้งผัดแปดเซียน*[5] เต้าหู้ไข่ผัดน้ำเต้า และหังซานเซียน*[6]
เหวินต้าชิงเป็นหัวหน้าห้องเครื่องในตำหนักฉืออันมาโดยตลอด บัดนี้ได้เพิ่มเหยียนอี้ที่เป็นเพียงแม่นางน้อยแสนเสน่ห์เข้ามาร่วมด้วย เหยียนอี้อายุน้อยกว่าเขาหลายรอบ เขาไม่ต้องการที่จะถูกเปรียบเทียบในด้านฝีมือ เขาจึงทำอาหารเจ็ดแปดจานที่ไทเฮาชื่นชอบ และทำตุ๋นน้ำแกงเพิ่มอีกสองชนิด
กฎในห้องเครื่องตำหนักฉืออันมีไม่มากเท่าห้องเครื่องหลวงของฮ่องเต้ เพราะที่นี่ไม่จำเป็นต้องจัดโต๊ะยาว ไม่ต้องมีคนถวายหลายคน ดังนั้นทั้งสองคนจึงเริ่มลงมือทำอาหาร และเพียงไม่นานอาหารก็จัดวางเต็มโต๊ะ
เหวินต้าชิงเคยได้ยินชื่อเหยียนอี้จากพ่อครัวของฮ่องเต้อยู่บ่อยครั้ง เขาเคยคิดว่านางเป็นเพียงแม่ครัวตัวเล็ก ๆ ที่มีความคิดสร้างสรรค์มากมาย อีกทั้งยังได้ตำแหน่งสูงมาเพราะใช้เล่ห์กล แต่หลังจากที่ได้เห็นอาหารฝีมือของเหยียนอี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสรรเสริญนาง
เหยียนอี้เคยอยู่ในห้องเครื่องหลวง แต่นางไม่มีช่องว่างให้แสดงความสามารถเพราะถูกกีดกันจากหยวนซินและคนอื่น ๆ ทว่าตอนนี้นางได้ทุบช้อนแสดงฝีมือและได้รับการยกย่องจากพ่อครัวมาหลายคนแล้ว นางจึงมีความสุขอย่างมาก
นางไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่เข้ามาในวัง
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ไทเฮาและองค์รัชทายาทก็เสวยพระกระยาหารเสร็จ ขันทีตัวน้อยจึงเก็บจานอาหารแล้วกลับไปที่ห้องครัว
แม้จะไม่ยุ่งยากเท่าอาหารที่เตรียมให้ฮ่องเต้ แต่ก็ต้องเตรียมอาหารมากกว่ายี่สิบจาน แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่ไทเฮาและองค์รัชทายาทจะเสวยได้ทั้งหมด เหยียนอี้จึงตรวจสอบอาหารที่เหลืออยู่ และนางก็พบว่าเกือบทุกจานพร่องลงไปมาก นั่นแปลว่าทั้งสองพระองค์ทรงพอพระทัยในรสชาติ
เหวินต้าชิงมองไปยังอาหารที่เหลืออยู่ก่อนจะพูดว่า “ที่ผ่านมาองค์รัชทายาทมักจะมาร่วมโต๊ะกับไทเฮา แต่ไม่เคยเสวยมากขนาดนี้ แม่นางเหยียน เจ้าเห็นไหมว่าแม้แต่แตงโมฤดูหนาวที่ข้าทอดก็พร่องลงเกือบหมด”
“อาหารของใต้เท้าเหวินอร่อยมาก ทั้งสองพระองค์ย่อมโปรดปราน” เหยียนอี้ชมเชย
เหวินต้าชิงส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ได้ลิ้มรสอาหารที่ทำโดยแม่นางเหยียน แต่ในวันนี้ข้าได้เรียนรู้คำว่า ‘สีและกลิ่นหอม’ ข้าละอายใจนัก คลื่นหลังแม่น้ำแยงซีผลักคลื่นหน้าอย่างแท้จริง*[7]”
เหยียนอี้โค้งคำนับแล้วตอบว่า “คลื่นข้างหน้าสูง คลื่นที่อยู่ด้านหลังย่อมต่ำ ไม่ว่าข้าจะพยายามตามท่านให้ทันแค่ไหน ข้าก็ตามไม่ทันหรอกเจ้าค่ะ”
เหวินต้าชิงพอใจที่ได้ยินคำพูดดังกล่าว เขาเคยมีอคติเล็กน้อยกับนาง แต่ตอนนี้เขาค่อย ๆ วางมันลงแล้ว
พวกเขาพูดคุยและแลกเปลี่ยนทักษะการทำอาหารอยู่เป็นเวลานาน เหยียนอี้รู้สึกสนุก นางนึกถึงช่วงเวลาที่นางและซานกู่จื่อแข่งขันกันเพื่อฝึกฝนทักษะการทำอาหารในภัตตาคารกุ้ยซาน
เหยียนอี้พัฒนาฝีมือขึ้นมาก แต่ฝีมือซานกู่จื่อไม่ได้กระเตื้องขึ้นเลย เหยียนอี้จึงทำอาหารรสเลิศกว่าซานกู่จื่อ กระนั้นการใช้มีดของซานกู่จื่อก็ยังยอดเยี่ยม และเหยียนอี้ไม่สามารถเป็นคู่มือให้ได้
เมื่อนึกถึงภัตตาคารกุ้ยซาน นางอดไม่ได้ที่จะคิดถึงครอบครัวขึ้นมา นางสงสัยว่าแม่และพ่อเลี้ยงของนางมีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง?
ตอนแรกนางคิดว่าเมื่อตนปักหลักกับเหยียนจื่อในเมืองหลวง นางจะสามารถพาพวกเขาทั้งสองมาที่เมืองหลวงแล้วอยู่อย่างมีความสุขได้ แต่นางไม่รู้ว่าพระราชวังหลวงเป็นสถานที่ที่เข้มงวดเช่นนี้ นับประสาอะไรกับแม่เหอ แม้แต่นางจะออกจากวังก็ยังลำบาก
ตอนนี้นางได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 4 ซึ่งถือได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่หญิงระดับสูงในวัง แม้แต่สาวใช้ระดับ 3 ก็อาจไม่เลื่อนตำแหน่งมาถึงระดับสี่ได้ภายในยี่สิบปี
กระนั้นเหยียนอี้ก็ถือว่าโชคร้าย หลังเข้าวังก็ได้รับตำแหน่งเสียแล้ว เปรียบดั่งควันบนหลุมศพบรรพบุรุษ*[8] หากนางสิ้นวาระออกจากวังไป เจ้าเมืองยังต้องคำนับให้นางกระมัง
เจ้าหน้าที่ระดับ 2 ขึ้นไปในวังเท่านั้นที่จะสามารถอาศัยนอกพระราชวังได้ เหยียนอี้จึงทำได้เพียงมองแล้วถอนหายใจก็เท่านั้น
ทุกคนและทุกอย่างที่อยู่ในบ้านเกิดนั้น นางมองได้เพียงแค่ในความฝัน
นางหวนนึกในเวลากลางวัน ฝันในเวลากลางคืน คืนนั้นเหยียนอี้จึงฝันถึงแม่ที่เมืองอู่ซาน
ตอนนั้นนางยังคงเป็นสาวน้อยไร้ภาระหน้าที่เกี่ยวกัน นางออกไปจับปลากับเหยียนจื่อตัวน้อยในสระ สาดน้ำไปทั่ว แม่เหอมองไปที่พวกนาง ยิ้มและบอกให้พวกนางรีบขึ้นฝั่ง
ทว่าเหยียนจื่อนั้นติดเล่น เจ้าตัวไปในสระที่มีความลึก เท้าข้างหนึ่งจึงลื่นไถลและตกลงไปในน้ำลึก
นางตะเกียกตะกายร้องไห้เพื่อขอความช่วยเหลือ เท้าของเหยียนจื่อติดอยู่ในโคลนจึงไม่สามารถดึงออกมาได้
แม่เหอตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงสั่นไหวตกใจเป็นอย่างมาก
ชาวบ้านหลายคนรีบลงไปช่วย พวกเขากระโดดลงสระราวกับแพช่วยชีวิต แต่ด้วยความที่สระมีขนาดใหญ่มาก ทุกคนจึงเข้าถึงเหยียนจื่อไม่ได้
คนที่ยืนอยู่บนฝั่งคือเหยียนฟู่กุ้ย พ่อที่ติดเหล้าและชอบใช้ความรุนแรง เขาเริ่มทุบตีแม่ของนางอีกครั้ง ทั้งชกต่อยทั้งเตะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันแสนน่าเกลียดน่ากลัว
แม่เฒ่าเหอจอมตระหนี่และลูกชายของนางที่อยู่ข้างสระตะโกนว่า “ฆ่านาง! ปล่อยให้จมน้ำตายไปซะ!”
เหยียนอี้กลัวมาก นางอยากจะกระโดดลงไปเพื่อช่วยเหยียนจื่อ แต่นางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ไม่เพียงรู้สึกว่าขาขยับไม่ได้เท่านั้น แต่มือและลำคอของนางก็ดูเหมือนจะตีบตันเช่นกัน เหยียนอี้เปล่งเสียงและเคลื่อนไหวไม่ได้เลย
ทว่าขณะนั้นเองก็มีชายหนุ่มผอมบางกระโดดลงไปในสระแล้วช่วยชีวิตเหยียนจื่อเอาไว้ เป็นเฉินฟู่เซินนั่นเองที่อุ้มเหยียนจื่อที่หมดสติขึ้น แล้วเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมา
“เฉินฟู่เซิน! เฉินฟู่เซิน!” เหยียนอี้ตะโกนอย่างสิ้นหวัง
แต่เขาไม่สนใจนาง
เหยียนอี้พยายามออกจากบ่อโคลน และในที่สุดก็ปีนออกมาแล้วตามเฉินฟู่เซินได้ทัน
เฉินฟู่เซินเอ่ยขึ้นว่า “แม่นาง” จังหวะนั้นที่หัวของเขาค่อย ๆ หันกลับมา แต่มันกลับเหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น
โครงกระดูกโยนเหยียนจื่อทิ้งแล้วเงื้อมีดขึ้นเพื่อสับหัวของเหยียนอี้
เสียงกรีดร้องของเหยียนอี้ชะงักงันอยู่ในลำคอ ดวงตาของนางค่อย ๆ พร่ามัว นางรู้สึกถึงแสงเย็นวาบผ่านใบหน้า
เหยียนอี้ล้มลงกับพื้น หันกลับไปก็เห็นว่าสระน้ำเต็มไปด้วยเลือดสีแดง
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!” เหยียนอี้ตะโกนแล้วลุกขึ้นนั่งเพียงเพราะหวังให้มันเป็นเพียงฝันร้าย
เหยียนอี้คลำรอบตัว รับรู้ถึงเหงื่อเย็นเฉียบ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก
“ก็แค่ความฝัน” เหยียนอี้ปลอบโยนตัวเอง
นางไม่ค่อยฝันร้าย แม้ว่าจะฝันเป็นครั้งคราว แต่ส่วนใหญ่ก็ตื่นขึ้นมาด้วยความทรงจำที่คลุมเครือ ความฝันเหล่านี้จึงเป็นเหมือนฟองสบู่ฝังอยู่ในใจนางทีละนิด จับต้องมันไม่ได้ด้วยมือดั่งเม็ดทราย
หลังตื่นขึ้น เหยียนก็อี้รู้สึกว่าทุกอย่างสมจริงและชัดเจนอย่างมาก ความรู้สึกที่ว่าหัวใจของนางกำลังจะทะลุออกมาจากหน้าอกของนางยังคงอยู่ แต่ทุกอย่างในความฝันกลับจางหายไปทีละน้อย
สมองของมนุษย์เป็นอวัยวะที่น่าเหลือเชื่อ
เหยียนอี้ลูบอกของตัวเอง รู้สึกสงบลงอย่างช้า ๆ
ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางนภา ด้วยความที่นางไม่ได้ปิดหน้าต่างห้อง แสงจันทร์จึงสาดส่องผ่านม่านดูคล้ายกับสายน้ำเย็นเยียบ เผยให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ในห้องได้อย่างชัดเจน
เหงื่อของเหยียนอี้ค่อย ๆ ซึมหายไป นางเริ่มคอแห้ง จึงลุกจากเตียงไปเทน้ำและหยิบแก้วเดินไปที่หน้าต่าง
ว่ากันว่าดวงจันทร์จะเต็มดวงในวันที่ 15 และ 16 แต่ในความเป็นจริงแล้วดวงจันทร์ในวันที่ 17 ก็ยังคงกลมเต่ง สว่างไสวไร้หมู่ดาว
หลังจากฝันร้ายเช่นนี้ เหยียนอี้ก็นอนไม่หลับอีกต่อไป นางจึงเปิดประตูแล้วตั้งใจที่จะเดินเข้าไปในสวน
บริเวณสวนนั้นเป็นลานกว้าง สาวใช้ในตำหนักฉืออันเข้านอนกันแล้ว เวลานี้ทุกคนต่างหลับใหลจนเหลือเพียงความเงียบงัน ได้ยินเพียงเสียงกรอบแกรบของใบไม้
เหยียนอี้เดินออกไปโดยไม่รู้ตัว
ก่อนที่เมฆรัตติกาลจะจางหายไป ลมหนาวก็พัดเข้าในตอนกลางคืน เหยียนอี้เริ่มหนาวเล็กน้อยจึงไม่กล้าไปไกล นางเดินเพียงแถวกำแพงเท่านั้น
ทว่าก่อนที่จะก้าวต่อไปอีกสองก้าว ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียง
เหยียนอี้สงสัยว่าเหตุใดเวลานี้จึงยังมีคนไม่นอน? นอนไม่หลับแบบเดียวกับนางหรือเปล่า?
นางชะลอความเร็วลงอย่างเงียบ ๆ แล้วเงี่ยหูฟัง
นางเห็นคนสองคนยืนอยู่ตรงกำแพง คนหนึ่งสูงชะลูด อีกคนเตี้ยกว่า ดูคล้ายกับสตรีวัยชรา
นางได้ยินหญิงชราพูดด้วยน้ำเสียงเบาหวิวว่า “ถ้าเทมันหมด จะอันตรายหรือไม่”
ชายร่างสูงไม่พูด แต่ส่ายหัวแทน
“เป็นความคิดของฮองเฮาจริงหรือ อย่าทำเลย” หญิงชราคนนั้นกล่าว
“ถ้าเจ้าไม่ทำก็ตาย” ชายร่างสูงกล่าวเสียงแข็ง
เหยียนอี้ไม่กล้าเข้าไปใกล้เกินไป เสียงที่ได้ยินนั้นเบาราวกับว่าทั้งสองคนพูดกันในลำคอ นางจึงได้ยินเพียงไม่กี่คำ ส่วนประโยคที่เหลือซุกซ่อนอยู่ในสายลม
พวกเขาเป็นใครและวางแผนอะไรอยู่ เหยียนอี้ไม่สามารถคาดเดาได้ นางรู้สึกว่าเสียงทั้งสองนี้ช่างฟังดูคุ้นเคย แต่เนื่องจากทั้งคู่พูดด้วยเสียงที่ต่ำ จึงได้ยินไม่ชัดนัก
ทั้งสองกระซิบกันอีกหลายคำ แต่เหยียนอี้ก็ยังคงไม่ได้ยิน
ไม่นานนัก ชายร่างสูงก็เป็นฝ่ายจากไปก่อน ชายคนนี้มีวรยุทธ์เก่งกาจ เขาไม่ได้เดินจากไปแต่กระโดดข้ามกำแพงไปแทน
คนที่ดูเหมือนจะเป็นหญิงชราถือสิ่งน่าสงสัยไว้ในมือ นางเดินช้า ๆ ผ่านสวนไปยังประตู พลางมองไปรอบ ๆ ด้วยความระแวดระวัง
[1] ซือจือโถวไข่ปู ทำมาจากหมูสับนำไปหมักเครื่อง ปั้นเป็นลูกกลม ๆ ลูกโต ๆ แล้วนำไปตุ๋นกับผักกาดขาว
[2] เฟิ่งชวนจิงอี เป็นอาหารอันโอชะที่ทำจากเนื้อเป็ดซอส หน่อไม้ฤดูหนาว เห็ดน้ำ ไข่ ต้นหอม ขิง เกลือกลั่น ไวน์เส้าซิง พริกไทย ผักชี แป้ง น้ำมันงา แป้งขนมปัง และส่วนผสมอื่น ๆ
[3] ไคสุ่ยไป๋ไช่ (开水白菜) คือยอดผักกาดขาวในน้ำซุปที่ใสดั่งน้ำเปล่า
[4] เจียเสี่ยง คือชิ้นมะเขือยาวผัดกับขิงและกระเทียมสับ พร้อมกับเห็ดหอม หอมแห้ง และพริกหยวกแดงที่หั่นเป็นลูกเต๋า
[5] กุ้งผัดแปดเซียน แปดเซียนเป็นตัวแทนเซียนทั้งแปดจากลัทธิเต๋า
[6] หังซานเซียน ทำจากหนังหมูไขมันต่ำ ปรุงด้วยปลาหมัก เนื้อไก่ปรุงสุกและหมูสามชั้นเป็นวัตถุดิบหลัก
[7] คลื่นหลังแม่น้ำแยงซีผลักคลื่นหน้า หมายถึง คนใหม่ที่มีคุณสมบัติบางอย่างที่ดีกว่าคนเก่า
[8] ควันบนหลุมศพบรรพบุรุษ หมายถึง การกระทำที่ยิ่งใหญ่หรือตำแหน่งทางการระดับสูง