ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 80 เข้าตำหนักฉืออันเป็นครั้งแรก
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 80 เข้าตำหนักฉืออันเป็นครั้งแรก
บทที่ 80 เข้าตำหนักฉืออันเป็นครั้งแรก
ตำหนักฉืออันที่ไทเฮาประทับอยู่นั้น ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของวังหลวง เป็นตำหนักที่ห่างไกล แต่เดิมเป็นที่พำนักของพระมเหสีของฮ่องเต้องค์ก่อน หลังสิ้นพระชนม์ ตำหนักจึงว่างเปล่ามานานกว่าสามสิบปี
ไทเฮาเห็นว่าตำหนักแห่งนั้นดูใหญ่และเงียบสงบ จึงขอให้ฮ่องเต้ปรับปรุงเสียใหม่ แล้วจัดให้เป็นตำหนักของตน ก่อนหน้านี้ตำหนักนี้มีชื่อว่า ‘ตำหนักลู่หนี’ หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ตำหนักฉืออัน’
ไทเฮาชอบความเงียบสงบ นางต้องการที่จะสักการะพุทธองค์ทั้งวัน จึงไม่อยากถูกรบกวนจากผู้คนนัก นางไม่ชอบให้มีคนรายล้อมมากจนเกินไป เพราะอาจรบกวนการรักษาศีลได้ สถานแห่งนี้แม้จะมีคานแกะสลัก ทาสีสวย และดูรุ่งเรืองงามสง่า แต่ก็เงียบสงบเพราะมีจำนวนคนไม่มาก
ในวันที่สอง หลังจากงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เหยียนอี้กลับไปที่ห้องตนเพื่อเก็บของแล้วเดินทางมายังตำหนักฉืออัน
นางไม่มีสัมภาระมากนัก นางจึงจัดของเพียงสองห่อ ชุดเหล่านี้เป็นชุดไว้เปลี่ยนในแต่ละวัน
ท้าวนางที่เป็นคนของไทเฮาให้การต้อนรับเป็นการส่วนตัว นางบอกให้เหยียนอี้เก็บของไว้ในห้องพักเสียก่อน จากนั้นจึงไปเข้าเฝ้าไทเฮา
น่าเสียดายที่ไทเฮากำลังคุกเข่าอยู่หนึ่งก้านธูปในตำหนักตงหมิง นางบอกว่านางเหนื่อยแล้ว ประสงค์จะหลับสักงีบ เหยียนอี้ไม่อยากรบกวนจึงคำนับนางที่หน้าประตูแล้วกลับไปเพื่อรอเรียกอีกครั้ง
เมื่อเข้ามาที่ตำหนักและเข้าเฝ้าไทเฮานั้นยังมีคนคอยนำทางให้เหยียนอี้ ทว่าหลังจากเข้าเฝ้าเรียบร้อยแล้วกลับไม่มีใครนำทาง
เหยียนอี้ไม่สันทัดเรื่องทิศทางแต่อย่างใด อีกทั้งสวนด้านนอกของตำหนักยังคดเคี้ยว นางจึงหลงทางอย่างช่วยไม่ได้
เนื่องจากนางเป็นผู้มาใหม่ ดังนั้นจึงกระดากอายที่จะรบกวนเหล่านางใน นางจึงลองเดินไปสักพักด้วยความคิดที่ว่าเผื่อจะเจอใครสักคนแล้วถามเรื่องเส้นทางนี้ได้
โชคร้ายที่ตำหนักฉืออันกว้างใหญ่เกินไป และมีเหล่าคนรับใช้เพียงหยิบมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเที่ยงวันเช่นนี้ ตามทางเดินจึงไม่ปรากฏผู้ใด แม้แต่ขันทีที่ดูแลดอกไม้ในสวนก็ตาม
เหยียนอี้เดินอยู่สองรอบกว่านางจะเข้าใจทิศทาง
ตำหนักฉืออันไม่เหมือนกับที่อื่น ๆ ในวังหลวง สถานแห่งนี้ประดับประดาไปด้วยดอกไม้และไม้ผลขึ้นชื่อ เว้นแต่บนสนามหญ้าที่มีต้นไผ่และยี่โถแซมอยู่ประปราย
ถึงว่าช่วงนี้จะเป็นเพียงฤดูใบไม้ร่วง อากาศไม่เย็นมาก กระนั้นยี่โถก็ต้านความหนาวได้น้อย กลีบใบจึงร่วงเหลือเพียงก้าน ดูแล้ววิเวกวังเวงใจอย่างน่าประหลาด
เหยียนอี้จำต้นของมันได้จึงพบทางออกในที่สุด
นางหันหลังกลับไปยังทางเดิน เห็นบุรุษร่างสูงนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ ศีรษะโน้มลงมาราวกับกำลังอ่านหนังสืออยู่
เหยียนอี้จำได้ว่าเจ้าของร่างนั้นคือองค์รัชทายาทหลี่หรงอวี่ จึงรีบมุ่งไปทักทาย
เพียงแค่เห็นหน้า หลี่หรงอวี่ก็ระบายยิ้มออกมาทันที “บังเอิญจริงที่พบเจ้าทุกที่ที่ข้าไป”
เหยียนอี้ถามขึ้น “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงมาที่นี่เพคะ”
หลี่หรงอวี่ตอบกลับ “ข้ามาพบไทเฮา แต่นางพักผ่อนอยู่ ข้าจึงมานั่งรอ”
เหยียนอี้พยักหน้าแล้วทำทีจะจากไป แต่หลี่หรงอวี่วางหนังสือลงแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มขึ้นเสียก่อน “เจ้ามาที่ตำหนักฉืออันเป็นครั้งแรก ยังหาทางออกอยู่หรือ สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนที่ใดในวังหลวงที่มีคนอยู่เต็มไปหมด”
เหยียนอี้คิดในใจ ‘แปลกจริง องค์รัชทายาทรู้ได้อย่างไรว่าข้าหลงทาง’
กระนั้นเหยียนอี้ก็ภูมิใจมากที่พบทางออกแล้ว นางจึงตอบว่า “เทียบกับหวงจวงในวันนั้น ที่นี่จดจำทางง่ายกว่าเพคะ”
สายลมพัดหน้ากระดาษที่หลี่หรงอวี่อ่านค้างไว้ เขาก้มลงมองก็พบว่าร่องรอยการอ่านได้หายไปแล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าตนอ่านถึงหน้าใด
เหยียนอี้เห็นเขาหยิบหนังสือขึ้นและเห็นหน้าปก นางรู้สึกคุ้นเคยจึงอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาว่า “เอ๊ะ?”
หลี่หรงอวี่มองมาที่นางและถามว่า “มีอะไรรึ?”
เหยียนอี้ตอบว่า “ไม่เพคะ ไม่มีอะไรเลย หม่อมฉันแค่รู้สึกว่าคุ้นตาเพคะ”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “ดูคุ้นตาหรือ? ผิดแล้ว นี่เป็นตำราทั่วไปที่เขียนโดยคนจร แม้แต่ปกก็เขียนโดยเขา เล่มนี้มีเพียงเล่มเดียวในโลก”
เหยียนอี้เริ่มอยากรู้อยากเห็นจึงถามว่า “ฝ่าบาท ท่านสามารถมอบหนังสือให้หม่อมฉันดูได้หรือไม่”
หลี่หรงอวี่ยื่นหนังสือให้นางแล้วเอ่ยว่า “ไม่ง่ายเลยที่จะได้หนังสือเล่มนี้มา สำหรับข้ามันล้ำค่ายิ่ง”
เหยียนอี้หยิบหนังสือเล่มนั้นมาพินิจมองดูปก ตัวอักษรห้าตัวปรากฏอยู่บนหน้าปกด้วยถ้อยคำว่า ‘เส้นทางไปสู่ซานอิ่น’ ซึ่งเป็นคำที่คุ้นเคย แต่เขียนได้ไม่งดงาม มองคราแรกไม่ได้ดูดีอะไรนัก
นางพลิกหนังสือเปิดดูเนื้อหาด้านใน เนื้อหาด้านในไม่มีอะไรพิเศษ เหตุใดองค์รัชทายาทจึงคิดว่ามันเป็นของล้ำค่ากัน?”
มีข้อความเล็ก ๆ อยู่ในเนื้อหาหนังสือ เห็นได้ชัดว่าเขียนโดยองค์รัชทายาท มีประโยคอย่าง ‘ผู้ปกครองที่ชาญฉลาดจะเพียรหาพรสวรรค์และมอบหมายงานให้ผู้อื่น’ เขียนกำกับอยู่
เหยียนอี้รู้สึกคุ้นเคยกับเนื้อหา แต่ก็ไม่เห็นอะไรต่ออีก นางจำไม่ได้ว่าเคยอ่านที่ไหน นางจึงปิดหนังสือแล้วส่งคืนให้หลี่หรงอวี่ด้วยท่าทางนอบน้อม
หลี่หรงอวี่คลึงปกก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “หนังสือเล่มนี้เขียนโดยคนจรพื้นบ้าน หนังสือทั้งเล่มบอกเกี่ยวกับกิจการทั่วไปของตลาด และการดำรงชีวิตของผู้คน”
“คนอย่างข้าอยู่ในวังหลวงทั้งวัน ไม่รู้ซึ้งถึงความยากลำบากของราษฎร ข้าจึงต้องอ่านหนังสือประเภทนี้ สิ่งที่เขียนในหนังสือเล่มนี้แตกต่างจากสิ่งที่ข้าได้ยินในราชสำนัก มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ นอกรั้ววัง”
เหยียนอี้เหลือบมองแล้วกล่าว “หม่อมฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยและไร้สาระเพคะ”
หลี่หรงอวี่พลิกหนังสือแล้วถอนหายใจ “แต่เรื่องไร้สาระเช่นนี้เกิดขึ้นเสมอใช่หรือไม่”
ชั่วขณะนั้นเหยียนอี้ก็เหลือบไปเห็นภาพวาดในหน้าสุดท้ายของหนังสือ นางจึงอดสงสัยไม่ได้ “เอ๊ะ? นี่ไม่ใช่…”
แสงวาบเกิดขึ้นในหัวเหยียนอี้ นางจึงนึกได้ในทันที
หลี่หรงอวี่อธิบายเมื่อเห็นนางชี้ไปที่ภาพในหน้าสุดท้าย “คนเขียนมักเขียนเรื่องไร้สาระมาโดยตลอด ยากที่จะเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงวาดภาพสุนัขในหน้านี้”
เหยียนอี้หัวเราะออกมาดังลั่น ไม่มีเวลาปิดปากแม้แต่นิด
หลี่หรงอวี่ถามขึ้น “เจ้าหัวเราะอะไรอยู่”
เหยียนอี้ยังคงหุบยิ้มไม่ได้ นางเอ่ยว่า “ฝ่าบาทโปรดลงโทษหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันวาดภาพสุนัขตัวนั้นเองเพคะ”
หลี่หรงอวี่ไม่เชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน “เจ้ากำลังพูดถึงอะไร?”
เหยียนอี้ตอบกลับไปว่า “ฝ่าบาท คนที่ให้หนังสือแก่ท่านเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดยาว พันผ้าพันคอขงจื๊อ แสร้งมีมาดน่าเกรงขามหรือไม่”
เมื่อเห็นว่านางพูดถูก หลี่หรงอวี่ก็รีบลุกขึ้นยืนและพยักหน้า “ชายคนนั้นเรียกตัวเองว่ากู่จื่อ เหตุใดเจ้าถึงรู้จักเขา”
เหยียนอี้ตอบไปว่า “เขาเป็นเจ้านายภัตตาคารของหม่อมฉันในเมืองอวิ๋นเจี้ยน เป็นคนที่ประหลาดที่สุดแล้วเพคะ”
หลี่หรงอวี่ตกใจ เอ่ยออกมาอย่างไม่เชื่อหู “ท่านกู่จื่อมีมิตรภาพกับข้า แม้ว่าจะไม่ได้พบมาหลายปีแล้ว แต่ข้าเขียนจดหมายถึงเขาทุกสองเดือน เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ข้าประสงค์ให้เขาออกมาที่ตำหนักตะวันออกเพื่อช่วยข้า แต่ข้าก็ไม่ได้เจอเขาอีก เขาปลีกวิเวกอยู่ที่อวิ๋นเจี้ยนหรอกรึ?”
เหยียนอี้พยักหน้า รู้สึกแปลกใจ กู่จื่อรู้จักองค์รัชทายาทมานานแล้วหรือ เขามีเบื้องหลังที่ใหญ่โตจริง ๆ
หลี่หรงอวี่ถือหนังสือเล่มนั้นขึ้นแล้วกล่าวว่า “หนังสือเล่มนี้ถูกส่งไปยังตำหนักตะวันออกโดยพลส่งสารเมื่อครึ่งปีก่อน ในจดหมายเขาปฏิเสธความคิดของข้าที่เชิญเขามารับราชการที่นี่ เขาบอกข้าเพียงแค่ว่าหนังสือเล่มนี้แนะนำเรื่องปกครองโลกได้ดี”
เหยียนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนเขาเขียนหนังสือเล่มนี้ หม่อมฉันยังคงเปิดภัตตาคารในเมืองอู่ซาน เวลานั้นเขาออกไปข้างนอกเสมอ หม่อมฉันไม่รู้ว่าเขาไปที่ใด เมื่อเขากลับมา เขาก็จะเขียนในหนังสือ หม่อมฉันถามเขาว่าเขียนอะไร เขาบอกว่างานเขียนทั้งหมดนี้ไร้สาระ หม่อมฉันจึงวาดสุนัขผายลมในหน้าสุดท้าย”
หลี่หรงอวี่อดหัวเราะไม่ได้
เหยียนอี้รีบโน้มตัวลงแล้วเอ่ยต่อ “ในเวลานั้น เขาเขียนหนังสือไปแค่ครึ่งเล่ม หม่อมฉันจึงขีดเขียนเล่น หากหม่อมฉันรู้ว่าวันหนึ่งหนังสือจะถูกมอบให้องค์รัชทายาท หม่อมฉันก็คงไม่กล้าวาดสุนัขตัวใดลงไป”
กระนั้นหลี่หรงอวี่กลับรู้สึกยินดี เขาเอ่ยว่า “แม้ตอนนั้นเจ้าและข้าไม่รู้จักกัน แต่สวรรค์ก็ได้ลิขิตให้เรามีชะตากรรมร่วมกัน”
เหยียนอี้รับฟังคำพูดที่แปลกไปของรัชทายาท นางไม่รู้จะตอบว่าอะไร
จากนั้นหญิงรับใช้ของไทเฮาก็เข้ามา นางเอ่ยกับหลี่หรงอวี่ว่า “ฝ่าบาท ไทเฮาตื่นบรรทมแล้วเพคะ”
หลี่หรงอวี่พยักหน้าพลางตอบกลับไป “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” จากนั้นเขาก็หันไปหาเหยียนอี้ก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้ายังใหม่กับที่นี่ ไปทำความเคารพไทเฮาด้วยกันก่อนเถิด”
…
ไทเฮาประทับอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ นางกำนัลกำลังหวีพระเกศา ส่วนนางในตัวน้อยคุกเข่านวดขาปรนนิบัติอยู่
หลี่หรงอวี่ขึ้นไปทักทายไทเฮาเฉียน เขาทรุดตัวลงบนพนักวางเท้าตามปกติ แล้วนวดขาไทเฮาแทนนางในตัวน้อย
ไทเฮาขยับตัวแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งตำหนักตะวันออก เหตุใดยังทำตัวมิต่างกับตอนเป็นเด็กเล่า”
หลี่หรงอวี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังเป็นข้าเสมอ เพราะท่านเลี้ยงดูข้ามานี่ขอรับ”
ไทเฮาจับไหล่เขา จากนั้นพูดอย่างเคือง ๆ ว่า “ปีศาจตัวน้อยแสนฉลาด!”
หลี่หรงอวี่ขยิบตาไปที่เหยียนอี้ซึ่งรออยู่ตรงประตูเพื่อให้นางเข้ามา จากนั้นเขาก็พูดกับไทเฮาว่า “แม่นางที่ท่านพบเมื่อวานนี้กำลังรออยู่ที่ประตูเพื่อทำความเคารพท่าน”
เมื่อเหยียนอี้เข้ามา นางคุกเข่าลงในระยะไกล และทำความเคารพด้วยกิริยานอบน้อม
ไทเฮามองไปที่เหยียนอี้พลางพยักหน้า “ช่างงามเหลือเกิน ทั้งยังแต่งดอกไม้ได้อีก เจ้ามีความสามารถมากจริง ๆ”
“ทั้งหมดนี้เพราะไทเฮาเมตตาเพคะ” เหยียนอี้ตอบอย่างสุภาพ
ไทเฮากล่าวต่อ “เพราะองค์ชายแนะนำเจ้าให้เข้าตำหนักนี้ ข้าจะไม่ใจร้ายต่อเจ้าก็แล้วกัน ครัวที่นี่มีคนอยู่น้อยนิด ไก่และสุนัขก็ไม่มากนัก อยู่กับหญิงชราเช่นข้าคงหลีกเลี่ยงความเบื่อหน่ายมิได้กระมัง”
เหยียนอี้ตกใจอย่างยิ่ง องค์รัชทายาทแนะนำนางเองงั้นหรือ?
ก่อนที่นางจะได้คิดทบทวน หลี่หรงอวี่ก็ตรัสกับไทเฮาเฉียนว่า “ตำหนักไทเฮาเป็นที่ที่น่าสนใจที่สุดในวัง จะน่าเบื่อได้อย่างไรเล่า? หากไทเฮาทรงพบว่ามันน่าเบื่อ เหยียนอี้คนนี้ถนัดในการสร้างเรื่องน่าสนใจ ข้าแน่ใจว่าท่านจะมีความสุข”
ฮองเฮาเฉียนระบายยิ้มอ่อนโยนออกมา
ก่อนหน้านี้เหยียนอี้เห็นว่าหลี่หรงอวี่มีภาพลักษณ์ที่ดูมั่นใจ อ่อนโยน และสงบเงียบ นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเขาอ่อนโยนและออดอ้อนเช่นนี้ นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มในใจ
กระนั้นนางก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าใด นางจึงก้มลงและระวังกิริยาของนางต่อไป
ได้ยินมาเนิ่นนานว่ามารดาขององค์ชายเสียชีวิตก่อนวัยอันควร จึงถูกเลี้ยงดูมาโดยไทเฮา องค์ชายเป็นหลานชายสายตรงคนเดียวของไทเฮาจึงเป็นที่รักยิ่ง ความสัมพันธ์ฉันท์เครือญาตินี้ดูสนิทสนมกันมากนัก