ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 79 งานฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 79 งานฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์
บทที่ 79 งานฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์
เหยียนอี้ผสมครีมส่วนหนึ่งกับน้ำเหมยจื่อ*[1] ให้เป็นสีแดง อีกส่วนผสมกับน้ำส้มเพื่อให้เป็นสีเหลือง จากนั้นนางก็ใช้พู่กันสะอาดชั้นดีจุ่มสีแดง ก่อนจะลงมือเขียนอักษรสิบสี่ตัวบนเค้กอายุยืนด้วยถ้อยคำว่า “มีโชคลาภดั่งทะเลบูรพา อายุยืนยาวดั่งเขาทักษิณ”
การเขียนพู่กันของนางไม่ดีนักในคราแรก อาจเพราะเขียนลงบนครีมนุ่มมิใช่กระดาษ แม้นางจะมีเพียงทักษะการใช้มีด กระนั้นนางก็สามารถเขียนลงไปได้
หลางกวนเอ๋อร์นำดอกไม้และผลไม้ตามฤดูกาลมาหั่นเป็นลวดลายเล็ก ๆ แล้วจึงตกแต่ง เพียงได้เห็นเป็นครั้งแรกก็พบว่าเค้กก้อนนี้ดูมีเอกลักษณ์ชวนมองเป็นอย่างยิ่ง
เหยียนอี้จุ่มพู่กันลงในน้ำส้ม แล้วพรมลงบนเค้กอีกครั้ง บัดนี้ก้อนเค้กจึงเปล่งปลั่งไปด้วยประกายสีทอง
“ท่านชอบเค้กวันเกิดนี้หรือไม่” เหยียนอี้ถามไห่เทียนอี้
ไห่เทียนอี้เคยเห็นเค้กซะที่ไหนกัน? เขาทำได้เพียงยืนตื่นตะลึงเท่านั้น
เขาพึงพอใจอย่างยิ่ง แต่ก็ยังคงสีหน้าเรียบนิ่งเอาไว้ “กลัวว่าข้าจะกินไม่ได้น่ะสิ”
ครั้นดวงจันทร์ลอยเด่นกลางนภา งานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ ณ ตำหนักฉงหยางได้เริ่มขึ้นแล้ว
สองวันก่อนหน้านี้มีฝนตกติดกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ฮ่องเต้ยังคงกังวลว่าฝนจะตกในงานเลี้ยง และกลัวว่าจะไม่ได้เชยชมพระจันทร์ อีกทั้งมวลประชาจะหมดความสนใจเอาเสีย
โชคดีที่คราวนี้ท้องฟ้าแจ่มใสในตอนกลางวัน ส่วนดวงจันทร์ก็แย้มแสงจันทราออกมาเมื่อยามค่ำคืนดำเนินมาถึง
งานเลี้ยงเต็มไปด้วยความครึกครื้นเริงรื่น ราษฎรต่างกู่ร้องยินดีปรีดา บรรยากาศช่างเต็มไปด้วยความสุขมากล้น
ไทเฮาได้รับการสรรเสริญจากทุกคนตลอดทั้งวัน บังเกิดความสำราญใจ ไม่ลดความสนใจในงานจวบจนรัตติกาลมาถึง
การเต้นรำที่จัดเรียงไว้เป็นลำดับสุดท้ายคือการแสดงจากสำนักเยว่ฝู่ ซึ่งเป็นการเต้นหนานฉวี่ของเหยียนจื่อ
การเต้นหนานฉวี่ไม่ได้แสดงให้รับชมบ่อยนัก ไทเฮาตรัสว่า นางต้องการที่จะชมความแปลกใหม่จากนางรำหน้าใหม่บ้าง นี่จึงเป็นโอกาสของพวกนางรำแล้ว
เป็นครั้งแรกที่เหยียนจื่อขึ้นเวทีแล้วเต้นรำต่อหน้าผู้คนมากมาย นางจึงหลีกเลี่ยงความประหม่ามิได้ นางเริ่มเยื้องกราย ค่อย ๆ ร่ายรำด้วยท่วงท่าดอกบัว แล้วคอยเตือนตนเองไม่ให้ทำผิดพลาด
เหยียนจื่อไม่กล้ามองไปรอบ ๆ หรือเงยหน้าขึ้น นางได้ยินเสียงมาจากด้านหน้า แม้จะอยากรู้ว่างานเลี้ยงดั่งสรวงสวรรค์นี้เป็นอย่างไร ท้ายที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปรอบ ๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ
ผู้ที่ประทับอยู่ตรงกลางด้วยพระที่นั่งอันสูงส่งนั้นคือไทเฮา ข้างกันนั้นคือฮ่องเต้และฮองเฮา เหยียนจื่อมองจากไกล ๆ ไม่อาจเห็นใบหน้าราชวงศ์คนใดชัดเจนนัก
องค์รัชทายาท องค์ชาย และองค์หญิงต่างก็นั่งอยู่ด้านล่าง ถัดไปจึงเป็นบรรดาเชื้อพระวงศ์
ดวงตาของเหยียนจื่อมองไปยังที่นั่งขององค์ชายด้วยความบังเอิญ นางสบตากับองค์หญิงผิงหยางที่กำลังกวาดสายตามองไปรอบทิศพอดี นางจึงรีบก้มศีรษะลง
ที่ประทับขององค์ชายทุกพระองค์เรียงตามลำดับอายุ ส่วนองค์หญิงผิงหยางนั่งถัดจากหลี่หรงเฉิง
เหยียนจื่อไม่ชอบพื้นที่ตรงนี้มากนัก นางอยู่ไกลจากองค์รัชทายาทและฮองเฮามากเกินไป ทำให้ไม่สามารถแสดงท่วงท่าร่ายรำให้เห็นเด่นชัด
เหยียนจื่อนำการเต้นรำ เหล่านางรำที่ยืนประจำที่ต่างโค้งคำนับแล้วเริ่มโบกสะบัดแขนเสื้อตามท่วงทำนอง
ไทเฮาพึงพอใจกับการแสดงนี้อย่างยิ่ง นางเอ่ยกับท้าวนางข้างกายว่า “การเต้นรำนี้จัดได้ดีมาก และข้าจะมอบของกำนัลให้ในภายหลัง”
ในเวลาเดียวกัน ก็มีการถวายเค้กอายุยืนยาวจากห้องเครื่องหลวง
ไทเฮาเพิ่งเคยเห็นของหวานลักษณะนี้เป็นครั้งแรก มันปรากฏข้อความว่า “มีโชคลาภดั่งทะเลบูรพา อายุยืนยาวดั่งเขาทักษิณ” ซึ่งมันทำให้นางถึงกับแย้มยิ้มแล้วหันไปกล่าวกับฮ่องเต้ว่า “งานเลี้ยงจัดได้อย่างพิถีพิถันยิ่งนัก”
ฮ่องเต้รีบตรัสว่า “ทุกอย่างนี้เพื่อไทเฮา ขอให้โชคลาภท่วมท้นล้นสวรรค์”
มวลชนลุกขึ้นยืนเพื่อร่วมฉลองวันเกิดแด่ไทเฮา
ขันทีตัวน้อยที่ถวายอาหารเพิ่งเคยเห็นเค้กวันเกิดเป็นครั้งแรกเช่นกัน มันมีขนาดใหญ่ถึงสิบชุ่น เขาจึงไม่รู้ว่าจะจัดวางตะเกียบอย่างไรให้ฮองเฮาดี
หลังทอดพระเนตรเห็นขันทีตัวน้อยลำบากใจ ไทเฮาก็หัวเราะออกมา ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าไม่อยากทานหรือ?”
ฮ่องเต้มองไปยังไม้พายบนจานถัดจากเค้ก แล้วตรัสว่า “มาแบ่งปันของหวานแล้วอวยพรแด่ลูกหลานของเราเถิด”
ไทเฮาลุกขึ้นยืน รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า นางหยิบไม้พายขึ้น ส่วนขันทีตัวน้อยรับหน้าที่แจกจ่ายเค้กที่ตัดแบ่งจากฮองเฮา
ฮ่องเต้เป็นผู้ลิ้มรสเป็นคนแรก เขารู้สึกว่ามันนุ่มหวานและไม่มันเยิ้ม อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมนม นับเป็นของหวานรสละมุนละไมที่ไม่เคยลิ้มรสมาก่อน
ไทเฮาก็ลองทานดูเช่นกัน นางอายุมากแล้ว ฟันของนางจึงไม่ได้ดีนัก นางจึงชอบเค้กนุ่ม ๆ นี้มาก
นางชิมอีกคำหนึ่ง ลิ้มรสลูกเจินบด ถั่วเม็ดสน และอื่น ๆ ซึ่งปกติแล้วนางเคี้ยวไม่ค่อยไหว แต่ครั้งนี้มันถูกบดแล้วกระจายอยู่ในเนื้อเค้กเรียบร้อยแล้ว นางจึงกล่าวชมว่า “ของหวานนี้อร่อยนัก”
องค์รัชทายาทลองชิม หลังจากคิดได้ว่าคงไม่มีใครทำของเช่นนี้ได้นอกจากเหยียนอี้ เขาจึงอดหัวเราะไม่ได้
เขาตั้งใจจะขอความโปรดปรานให้เหยียนอี้มานาน ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีแล้ว เขาจึงจงใจพูดดัง ๆ ว่า “ห้องเครื่องหลวงทำดียิ่งในครานี้ เสด็จย่าโปรดให้รางวัลด้วยเถิด”
ไทเฮาพยักหน้าและพูดว่า “ย่อมได้!”
จากนั้นไห่เทียนอี้ก็ขึ้นมา เขาคำนับฮ่องเต้ จากนั้นก็คำนับเป็นพิเศษแด่ไทเฮาด้วยการคุกเข่าสามครั้ง แล้วโขกหัวเก้าครั้ง “ข้าน้อยขอแสดงความยินดียิ่ง ทรงพระเจริญ มีอายุยิ่งยืนนานพ่ะย่ะค่ะ!”
ไทเฮากล่าวกับไห่เทียนอี้ว่า “เจ้าทำงานในห้องเครื่องหลวงมาหลายปีและทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ คราวนี้อาหารและของหวานถูกเตรียมมาอย่างเพียบพร้อม จงส่งมันไปเป็นของอวยพรวาระเกษียณแก่หลี่ต้าฟู่ที่อยู่ตำหนักตะวันตก! ทุกคนในห้องเครื่องหลวงจะได้รับเงินยี่สิบตำลึงด้วย”
ไห่เทียนอี้รู้สึกซาบซึ้งและยังคงก้มหน้าอยู่
ความจริงแล้วเขาทำพลาดเรื่องลูกท้ออายุยืน แต่เขาไม่ต้องการเปิดเผยเรื่องนี้ ซึ่งบัดนี้ไม่เพียงแต่ได้รับความดีความชอบเท่านั้น เขายังได้รับการตบรางวัลและเลื่อนตำแหน่งอีกด้วย
หลี่หรงอวี่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ใต้เท้าไห่เป็นยอดฝีมือ ข้าคุ้นเคยฝีมือมาตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ยักรู้ว่ามีอาหารจานใหม่เช่นนี้ ทำของหวานก้อนนี้ได้อย่างไรรึ”
ไห่เทียนอี้ไม่ได้ดูเหยียนอี้ทำขนมก้อนนี้ จึงไม่อาจทราบได้ ดังนั้นเมื่อได้ยินคำถามขององค์รัชทายาท เขาก็ไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป จึงเอ่ยออกไปด้วยความเคารพ
“ทูลองค์รัชทายาท แม้สิ่งนี้จะเป็นความคิดของทุกคนในห้องเครื่องหลวง แต่ก็ทำโดยแม่ครัวเหยียน หากฝ่าบาทต้องการทราบวิธีการเฉพาะ เป็นการดีกว่าที่แม่ครัวเหยียนจะมาตอบขอรับ”
เมื่อไทเฮาได้ยินว่ามีคนอื่น นางจึงถามว่า “โอ้ ใครกันที่มีความคิดที่ดีเช่นนี้? เรียกนางมาหาข้าซิ”
เมื่อได้ยินคำสั่ง นางกำนัลอาวุโสก็ไปที่ห้องเครื่องหลวงแล้วพาตัวเหยียนอี้มา
ไทเฮายกย่องฝีมือของนางเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงถามนางว่าทำของหวานก้อนนี้ได้อย่างไร เหยียนอี้ได้พบกับไทเฮาเป็นครั้งแรก นางไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย นางตอบคำถามอย่างคล่องแคล่ว และเอ่ยคำมงคลหลายคำ
ไทเฮามีความสุขอย่างยิ่ง นางจึงได้เลื่อนตำแหน่งให้เหยียนอี้เป็นข้ารับใช้หญิงระดับ 4 ทันที
เหยียนอี้รีบขอบคุณนางสำหรับความเมตตาแล้วพูดว่า “หม่อมฉันเป็นเพียงสตรีตัวเล็ก ๆ ในห้องเครื่องหลวง ทำเพียงน้ำแกงมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ทำอาหารในงานเลี้ยงใหญ่ และทำให้ไทเฮาพอพระทัยได้ หม่อมฉันก็สุขล้นพ้นแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้จำเหยียนอี้ได้จึงพูดกับไทเฮาว่า “ครั้งสุดท้ายที่ไทเฮาเสวยอาหารเย็นกับลูก ท่านยังชื่นชมว่าน้ำแกงไข่ปลากระบอกนั้นยอดเยี่ยมมาก แม่นางคนนี้เป็นคนทำเช่นกัน”
ไทเฮาร้องว่า “โอ้” แต่นางนั้นจำน้ำแกงไข่ปลากระบอกไม่ได้ เพราะนางลิ้มรสอาหารหลายอย่างในแต่ละวัน จะไปจำแกงเมื่อครึ่งปีที่แล้วได้อย่างไร?
ฮองเฮายิ้มให้ฮ่องเต้พลางเอ่ยขึ้น “ไม่ง่ายเลยที่ฝ่าบาทจะจดจำแม่นางตัวน้อยนี้ได้”
แม้ฮ่องเต้จะแก่ชรา แต่ก็ยังมีความต้องการในตัวหญิงงามวัยแรกรุ่น ปีนี้เขาอุปถัมภ์หญิงหลายต่อหลายคน ฮองเฮาจึงเข้าใจผิดแล้วคิดว่าฮ่องเต้ได้ให้ความสนใจกับเหยียนอี้
ช่วงนี้ความสัมพันธ์ของฮ่องเต้และฮองเฮากำลังระหองระแหง แต่ฮ่องเต้ไม่ได้อธิบายอันใดต่อ เขาตรัสกับเหยียนอี้ว่า “เจ้ามาที่นี่เพื่อรับรางวัล อย่าคุกเข่าอยู่เลย ลุกขึ้นเถิด”
เหยียนอี้จึงยอมลุกขึ้น
หลี่หรงอวี่ตั้งใจจะสรรเสริญเหยียนอี้จึงพูดว่า “เสด็จพ่อ ทรงจำได้หรือไม่ ในอดีต ข้าและน้องแปดไปเยือนเมืองอวิ๋นเจี้ยนเป็นการส่วนตัว แม่ครัวเหยียนนั่นเองที่เปิดภัตตาคารในเมือง…”
ครั้งนั้นพวกเขาถูกโจมตีโดยนักฆ่าหนานโจว ฮ่องเต้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดิน หลังจากกลับมาเขาก็ทำสงครามครั้งใหญ่ โจมตีเมืองและทำลายอาณาจักรหนานโจว ความทรงจำจึงยังคงแจ่มชัด
ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเวลานั้นสถานการณ์อันตรายมาก กระนั้นก็ยังมีอาหารรสโอชะจากเด็กคนนี้ ยามนั้นอาจให้รสชาติที่ต่างออกไป ช่างเหมือน ‘ขอบดาบมาจากการลับคม และกลิ่นหอมของดอกบ๊วยมาจากความหนาวเย็นอันขมขื่น”
ไทเฮายิ้มให้กับฮ่องเต้ “โอ้ เจ้ามีความสัมพันธ์เช่นนี้กับนางหรือ? ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“ในอดีต ทั้งเสด็จพ่อและข้ามีความสุขกับอาหารของแม่ครัวเหยียน วันนี้เสด็จย่ายกย่องนาง ช่างเป็นสาวน้อยที่โชคดีเสียจริง” หลี่หรงอวี่กล่าว
ไทเฮามองไปที่เหยียนอี้แล้วกวักมือ “เจ้าเข้ามาใกล้ ๆ ซิ”
เหยียนอี้เข้าไปหาพร้อมกับโค้งคำนับ
นางกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าเคยข้องเกี่ยวกับคนของข้า เจ้าก็สะดุดตาข้าแล้ว จากนี้ไปเจ้าจะได้เข้าตำหนักฉืออัน
เหยียนอี้รีบขอบคุณนาง
ไทเฮายิ้มให้ฮ่องเต้และกล่าวว่า “ว่ากันว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาผู้คนคือให้พวกเขาอิ่มท้องเข้าไว้ ข้าจะให้ผู้หญิงคนนี้อยู่เคียงข้างข้า ในอนาคตเจ้าจะได้มาเสวยอาหารกันกับข้าวันละสองมื้อบ้าง”
ฮ่องเต้รีบพูดขึ้น “แม้ไทเฮาจะไม่ตรัสเช่นนี้ ข้าก็อยากไปทุกวันอยู่แล้ว”
ไทเฮาเอ่ย “ราชกิจในอาณาจักรยุ่งทุกเช้าค่ำ ข้าไร้ความหวังใด ขอเพียงเจ้าได้ใช้เวลากับข้ามากขึ้นบ้างก็เท่านั้น”
ในขณะที่ฮองเฮายิ้มและพูดว่า “หากไทเฮาไม่เบื่อ หม่อมฉันจะไปหาให้มากขึ้นเพคะ”
ไทเฮาพยักหน้า “พวกเจ้ามีจิตใจดีนัก แต่หากมาทีละหนึ่งทีละสอง ตำหนักของข้าจะวุ่นวายเอาเสีย ไม่ต้องมากันทุกวันหรอก ข้าแค่พูดไปเช่นนั้น”
ในเวลาเดียวกัน เหยียนจื่อเต้นเสร็จพอดี นางจึงโค้งคำนับเพื่อเป็นการอำลา
ไทเฮายินดีปรีดายิ่ง นางเรียกพวกนางรำไว้แล้วกล่าวว่า “อาหารวันนี้รสเลิศล้ำ การเต้นรำก็งดงาม นางรำจากสำนักเยว่ฝู่โปรดอยู่รับรางวัลเสียก่อน”
เหยียนจื่อและนางรำคนอื่น ๆ จึงออกมาอีกครั้ง แล้วโค้งคำนับลงเพื่อขอบคุณ
เมื่อเหยียนอี้เห็นเหยียนจื่อ นางก็ขยิบตาให้เงียบ ๆ ส่วนเหยียนจื่อก็ส่งรอยยิ้มซุกซนกลับไป
หลังจากได้รับรางวัลแล้ว สองพี่น้องก็แยกย้ายไปสนทนากันเล็กน้อย ทั้งสองมีความสุขอย่างยิ่ง
ครั้นไทเฮาประสงค์กลับตำหนัก เหยียนจื่อก็ต้องการกลับสำนักเยว่ฝู่ นางจึงกล่าวลาอย่างรีบเร่ง
เหยียนอี้กลับไปที่ห้องเครื่องหลวง ผู้คนแสดงความยินดีกับนางด้วยเสียงปรบมือดังกึกก้อง เริ่มจากหลางกวนเอ๋อร์เป็นคนแรก
เขาพูดกับเหยียนอี้ด้วยรอยยิ้ม “แม่ครัวเหยียน เจ้าจะประสบความสำเร็จในอนาคตแน่ อย่าลืมข้าล่ะ!”
เหยียนอี้ยิ้มตอบกลับไป “ท่านจะเป็นคนแรกที่ข้าจำได้ หลังจากนี้อยู่คนเดียวก็อย่าประมาทเลินเล่ออีกแล้วกัน”
[1] น้ำเบอร์รี่