ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 78 เค้กวันพระราชสมภพ
บทที่ 78 เค้กวันพระราชสมภพ
ไห่เทียนอี้กำลังปรับสัดส่วนของเครื่องเทศ แป้ง ธัญพืช ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ขณะที่พวกเขากำลังจะแต่งหน้า เขาก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ จากลานด้านนอก จึงรีบออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
พ่อครัวอู๋ทำสีหน้าเศร้าสร้อยชี้ไปที่หลางกวนเอ๋อร์แล้วพูดว่า “เด็กคนนี้… เขาประมาทมากจนเผาเครื่องมือไปทั้งหมด!”
เมื่อหลางกวนเอ๋อร์ได้ยินคำพูดของพ่อครัวอู๋ เขาก็แย้งทันทีว่า “ไม่จริง ข้าไม่ได้ทำ ข้าทำทุกอย่างตามคำสั่งของท่านต่างหาก!”
สีหน้าของไห่เทียนอี้ถึงกับคล้ำลง
งานเลี้ยงเริ่มขึ้นแล้วและทุกอย่างก็เตรียมพร้อมที่จะถวาย แต่การที่ไม่สามารถถวายลูกท้อแกะสลักที่สำคัญที่สุดได้นั้นย่อมเป็นเรื่องใหญ่
หากฝ่าบาททรงกริ้ว ทุกคนในห้องเครื่องหลวงจะต้องถูกตัดหัวกุดเป็นแน่!
เขาหยิบแม่พิมพ์ขึ้นมาจากพื้น แต่ละอันล้วนแตกกระจาย บางส่วนแตกออกเป็นสองชิ้น เขาควรทำอย่างไร?
ไห่เทียนอี้เพ่งเล็งไปที่พ่อครัวอู๋และหลางกวนเอ๋อร์ เขาสั่งว่า “ลากพ่อครัวอู๋ไปโบยยี่สิบครั้งในฐานะพ่อครัว ส่วนขันที… ทำผิดมาหลายครั้งแล้ว โบยให้ตาย!”
แม้ว่าทั้งสองคนจะเคยทำผิดพลาดแต่ก็ไม่เคยถูกลงโทษอย่างรุนแรง และแม้จะต้องถูกลงโทษ พวกเขาควรรายงานต่อขุนนางฝ่ายการลงทัณฑ์ เป็นไปไม่ได้ที่หัวหน้าพ่อครัวของห้องเครื่องหลวงจะมีอำนาจสั่งลงโทษพวกเขาด้วยตัวเอง
ไห่เทียนอี้เอ่ยอย่างโหดเหี้ยม คำพูดของเขาเป็นใหญ่ในห้องเครื่องหลวงมาโดยตลอด ทุกคนถูกข่มขู่ ไม่มีใครกล้าขัดเขาทั้งสิ้น
พ่อครัวอู๋ยังคงขอความเมตตา ในขณะที่เมื่อหลางกวนเอ๋อร์ได้ยินคำว่า ‘โบยให้ตาย’ ก็ถึงกับหวาดกลัวจนแทบเป็นลม เขาตัวสั่นเหมือนลูกแกะพลางคุกเข่าลงกับพื้น ไม่กล้าปริปากเอ่ยอันใดออกไป
เหยียนอี้มีมิตรภาพที่ดีกับหลางกวนเอ๋อร์มาโดยตลอด นางจะทนเห็นเขาถูกฆ่าตายได้อย่างไร? นางจึงก้าวไปข้างหน้าทันทีและพูดว่า “ท่านไห่ แม้ว่าพวกเขาจะทำผิดพลาดก็ควรรายงานต่อฝ่ายการลงทัณฑ์ก่อน ไม่ควรมีการฆ่าโดยเลือกปฏิบัตินะเจ้าคะ”
คำสั่งของไห่เทียนอี้นั้นโหดเหี้ยม แต่ขณะนั้นเขาอยู่ในอารมณ์โกรธ เมื่อเขาพูดออกไปแล้วก็นึกเสียใจ แต่หากเขากลับคำในตอนนี้ก็อาจเป็นการเสียหน้า
“ตกลง ลากเขาไปที่ฝ่ายการลงทัณฑ์แล้วทุบตีให้ตาย!” ไห่เทียนอี้กล่าวย้ำ
จากนั้นขันทีสองคนก็ขึ้นมาและพยายามลากหลางกวนเอ๋อร์ออกไป
หลางกวนเอ๋อร์ขัดขืน แต่ถูกไห่เทียนอี้เตะเข้าที่เอวจนเจ็บปลาบและเคลื่อนไหวไม่ได้อีก
“ท่านกล้าทำร้ายเขาได้อย่างไร!” เหยียนอี้รีบออกไปยืนขวางหลางกวนเอ๋อร์เพื่อปกป้อง
ไห่เทียนอี้ชี้ไปที่เหยียนอี้ด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา เขาถ่มน้ำลายลงแล้วพูดว่า “ดี! เจ้าปกป้องเขา! ข้าจะดูว่าเจ้าสามารถปกป้องไปได้อีกนานแค่ไหน! หากเจ้าไม่สามารถถวายลูกท้อแกะสลักได้ เราก็ไม่ต้องรอจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้หรอก เราทุกคนต้องถูกลงโทษ!”
สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ถึงกับกังวลและกระซิบกระซาบกันขึ้นมา
ในเวลานี้โจวเจียเอ๋อร์ก็เข้ามา ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องเครื่องหลวง เขาก็ตะโกนว่า “เหตุใดวันนี้อาหารจึงมาช้านัก? เริ่มรินสุรากันแล้ว จะถวายเฉพาะอาหารเรียกน้ำย่อยหรืออย่างไร?”
โจวเจียเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสียงด้านใน เมื่อเห็นว่าทุกคนจ้องไปที่ด้านนอก เขาก็เริ่มอยากรู้อยากเห็น และเมื่อเข้าไปก็เห็นว่าหลางกวนเอ๋อร์กำลังคุกเข่าลงบนพื้น แขนขาถูกตรึงอยู่ ส่วนเหยียนอี้กำลังปกป้องเขาอยู่อีกทอดหนึ่ง ภาพที่เห็นนั้นวุ่นวายมาก
ทหารรักษาการณ์ของฮ่องเต้กำลังมา ไห่เทียนอี้กำราบอารมณ์ขัดเคืองของเหยียนอี้ไม่ได้ เขาจึงให้คนรับใช้ปล่อยตัวหลางกวนเอ๋อร์
หลังจากคำนับแล้ว โจวเจียเอ๋อร์ก็ถามขึ้นว่า “ท่านไห่ เกิดอะไรขึ้น”
“ก็แค่ขันทีไร้ความสามารถ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ท่านต้องสนใจ ใครสักคนก็ได้ รีบไปถวายอาหารซะ!”
ได้ยินคำสั่งแล้วทุกคนก็ไปเตรียมอาหาร
เหยียนอี้ช่วยหลางกวนเอ๋อร์ลุกขึ้น หลางกวนเอ๋อร์กลัวจนเท้าเขาอ่อนเปลี้ยไปหมด เขาถามว่า “แม่นางเหยียน… ข้าจะไม่โดนทุบตีจนตายจริง ๆ ใช่หรือไม่ ข้าจะ…”
ครั้นมองไปที่สีหน้าของไห่เทียนอี้ เหยียนอี้รู้ดีว่าไม่มีทางช่วยได้
ฮ่องเต้ปกครองโลกด้วยความเมตตา และไทเฮาเป็นผู้มีเมตตามากที่สุด เรื่องลูกท้ออายุยืนเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ถึงกับต้องฆ่าแกงกัน
งานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์จัดขึ้นพร้อมกับงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของไทเฮา แน่นอนว่าต้องเป็นงานเลี้ยงขนาดใหญ่ องค์ชายและขุนนางทั้งหมดอยู่ด้วย จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะรับผิดชอบต่อความผิดพลาดครั้งใหญ่เช่นนี้
บางทีพวกเราทั้งหมดอาจถูกลงโทษ ไห่เทียนอี้ก็เช่นกัน เขาจึงโกรธเคืองกว่าใครอื่น
แม้ว่าหลางกวนเอ๋อร์จะไม่ถูกทุบตีจนตาย แต่ก็อาจพิการได้
“ข้าควรทำอย่างไรดีล่ะ?”
เหยียนอี้มีความคิดมากมายในหัว แต่ไม่มีความคิดใดที่ดีเลย
ตอนนั้นนางกำลังคิดว่าจะใช้น้ำส้มสายชูหรือถ่านดิบเพื่อกำจัดกลิ่นเหม็นอับได้ แต่นางไม่ได้บอกเรื่องนี้กับทุกคนในเวลานั้น เรื่องราก็เช่นกัน นางจะแก้ไขมันอย่างไร?
“เหยียนอี้ เจ้าเป็นคนมีความคิดมากที่สุด ลองคิดดูสิ! อย่างน้อยก็ช่วยข้าด้วย!” หลางกวนเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของนางพลางร้องไห้
อีกด้านหนึ่ง โจวเจียเอ๋อร์ก็เข้ามาสั่งให้ยกอาหารเย็น ก่อนจะออกไปจากห้องเครื่อง
คล้อยหลังโจวเจียเอ๋อร์ ไห่เทียนอี้ก็รังควานหลางกวนเอ๋อร์และพ่อครัวอู๋อีกครั้ง เขาเงื้อที่นวดแป้งขึ้นแล้วทำท่าจะทุบตี
เหยียนอี้รีบหยุดไห่เทียนอี้ไว้
“เหยียนอี้ อย่าคิดว่าเจ้ามีตำหนักตะวันออกหนุนหลังแล้วข้าจะไม่กล้าทุบตีเจ้า!”
เหยียนอี้ไม่ต้องการให้เขาพูดถึงอะไรเกี่ยวกับตำหนักตะวันออก นางชะงักไปครู่หนึ่ง เวลานั้นไม้นวดแป้งในมือของไห่เทียนอี้ได้ฟาดลงที่ใบหน้าของหลางกวนเอ๋อร์แล้ว หลางกวนเอ๋อร์ร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงชัดเจน
เหยียนอี้อยากปกป้องมิตรสหาย นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “ท่านไห่ ท่านแค่กลัวว่าจะไม่ได้ถวายลูกท้อแกะสลักตอนจบงานเลี้ยงนี้ แล้วฝ่าบาทจะพิโรธและลงโทษห้องเครื่องหลวง เช่นนั้นหากข้าสามารถทำให้ฝ่าบาทและไทเฮายินดีได้ ท่านจะว่าอย่างไร”
“เจ้ามีความคิดอะไร?” ไห่เทียนอี้หายใจลึก
แม้ว่าจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีกลอุบายและแนวคิดใหม่ ๆ มากมาย แต่ตอนนี้เขาก็ไม่อาจนึกวิธีอื่นใดได้อีก
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เหยียนอี้ก็ถามขึ้น “จำเป็นหรือไม่ที่จะต้องนำเสนอลูกท้อแกะสลักในงานเลี้ยง”
“แน่นอน”
“ก่อนงานเลี้ยงก็มีลูกท้ออายุยืนยาวอยู่แล้ว จะทำอีกทำไม” เหยียนอี้ถามอีกครั้ง
“ลูกท้ออายุยืนนั้นชิ้นใหญ่มาก ไทเฮาไม่รู้ว่าจะเสวยมันอย่างไร หลังงานเลี้ยง ห้องเครื่องหลวงจะถวายลูกท้ออายุยืนขนาดเล็กเป็นพิเศษให้ ทุกปีพวกเราก็ปฏิบัติมาเช่นนี้” ไห่เทียนอี้กล่าวอย่างอดทน
“แต่ปีนี้เราผิดพลาด หากเราไม่ถวายล่ะเจ้าคะ” เหยียนอี้ถาม
“เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่? เสียเวลา!” ไห่เทียนอี้กล่าวพลางขมวดคิ้ว
“หากเป็นเค้กล่ะ” เหยียนอี้ถามอีกครั้ง
“เค้ก?”
“ข้าจะทำเค้กถวาย แปลกใหม่และน่าสนใจดีออก หากไทเฮาและฮ่องเต้มีความสุขและลืมเรื่องลูกท้อแกะสลักก็จะไม่มีใครพูดถึงมันอีก ตกลงไหม”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ไห่เทียนอี้ก็หัวเราะเยาะพร้อมกล่าวออกมาอย่างดูถูก “ฮึ่ม ข้ายุ่งอยู่ในห้องเครื่องหลวงมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว ข้าไม่เห็นจะแน่ใจว่างานเลี้ยงไหว้พระจันทร์นี้จะทำให้ฝ่าบาทมีความสุขได้ เจ้าทำอะไรได้ถึงคุยโวออกมาเช่นนี้”
“ท่านไห่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมีชีวิตอยู่ เหตุใดท่านไม่ให้ข้าลองล่ะ” เหยียนอี้กล่าว
ไห่เทียนอี้ไม่แน่ใจ
โดยไม่ต้องรอคำตอบ เหยียนอี้เข้าไปในห้องเก็บของ นางเจอถังนมสด ไข่หนึ่งโหล และถุงน้ำตาลทรายขาว นางหอบทุกอย่างออกมาแล้วเริ่มลงมือทำเค้ก
เมื่อเห็นว่านางมีความมั่นใจมากขึ้นกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า ไห่เทียนอี้ก็เล็งเห็นหนทางมีชีวิตรอด เขาปล่อยนางไปแล้วให้ทุกคนทำงานต่อ เขาอยากเห็นนักว่าเหยียนอี้จะทำอะไรได้
แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่พอพระทัยเรื่องลูกท้อแกะสลัก แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้งานล่มอีกได้ มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถเก็บศีรษะไว้ได้อีก
หลางกวนเอ๋อร์ที่ไม่ได้โดนจับจ้องอีกต่อไปก็รีบล้างมือเพื่อมาช่วยเหยียนอี้
“เจ้ากำลังทำอะไรเหยียนอี้?” หลางกวนเอ๋อร์ถาม
“มาเถอะ ตีไข่ช่วยข้า” นางเอ่ยพลางยื่นชามและตะเกียบให้หลางกวนเอ๋อร์
“เหตุใดเจ้าต้องใช้ไข่มากเช่นนี้? แล้วเหตุใดถึงตีไข่ขาวอย่างเดียวไม่ใช่ไข่แดง” ถึงจะไม่รู้ว่าเหยียนอี้กำลังทำอะไร กระนั้นหลางกวนเอ๋อร์ก็ยอมทำตามที่นางพูด
“กวนไปทางเดียวกันมันจะทำให้มีฟอง” เหยียนอี้อธิบาย
ขณะที่หลางกวนเอ๋อร์กำลังตีไข่ขาว เหยียนอี้ก็หยิบไข่แดงขึ้นมา เติมน้ำตาลลงไปจนกลายเป็นครีมข้น
“แล้วนี่ได้หรือไม่” หลางกวนเอ๋อร์ถามพลางยกไข่ขาวให้ดู
“ไม่ ยังใช้ไม่ได้ ควรตีให้ขึ้นฟองขาวก่อนแล้วค่อยเติมน้ำตาล” เหยียนอี้พูดโดยไม่หยุดเทน้ำมันข้าวโพดลงในไข่แดง อีกทั้งยังเพิ่มนมลงไปอีกยกใหญ่
หลางกวนเอ๋อร์อยากขอบคุณเหยียนอี้ที่ช่วยเขา เขาจึงช่วยนางเต็มที่ เมื่อเขาได้ยินว่าเหยียนอี้อยากให้กวนไข่เป็นฟอง เขาก็กวนมันด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
ไม่มีใครเคยเห็นขนมเช่นนี้มาก่อน ทุกคนจึงมายืนออกันเป็นแถบ
เหยียนอี้เทแป้งลงในชามตรงหน้าแล้วคนให้เข้ากันช้า ๆ เมื่อแป้งใกล้เสร็จนางก็หยิบมันขึ้นมาแล้วเทลงในภาชนะขนาดใหญ่ตรงหน้า
“มันก็แค่แป้งเปียกมิใช่รึ? เจ้าก็แค่ใส่ไข่ในแป้ง” หม่าอวี้ฉูถามด้วยความไม่พอใจ
เหยียนอี้ยิ้มให้เขา เคาะแป้ง ปิดฝาแล้วใส่ภาชนะลงในเตา
เตานี้มีอยู่แล้วตั้งแต่เหยียนอี้มาถึงห้องเครื่องหลวง มันมีไว้ใช้สำหรับอบปีกไก่ แต่ก็สามารถใช้อบขนมได้
เหยียนอี้จึงใช้มันอบขนมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ขณะที่กำลังอบ เหยียนอี้ก็ตีไข่อีกโหล แยกไข่ขาวและไข่แดงออกจากกัน ส่วนหลางกวนเอ๋อร์ยังคงตีไข่ขาวให้เป็นฟอง
หลางกวนเอ๋อร์รู้สึกงงงวย “เจ้าจะทำอีกหรือ? หรือกลัวว่าอันก่อนจะไม่อร่อย”
“รีบทำน่า ประเดี๋ยวก็รู้” เหยียนอี้ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
หลังจากตีไปครู่หนึ่งนางก็เติมน้ำตาลทรายขาว นม และน้ำมันลงในชามจนไข่ขาวเปลี่ยนเป็นแป้งเหนียว
“นี่เรียกว่าครีม” เหยียนอี้อธิบาย
ผ่านไปราวสองถ้วยชา อาหารในเตาก็อบได้ที่ เหยียนอี้ให้หลางกวนเอ๋อร์นำภาชนะออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะ เมื่อมันเริ่มเย็นก็บรรจงปาดครีมเป็นชั้น ๆ ก้อนเค้กจึงเริ่มกลายเป็นสีขาวฟูฟ่อง
“หากมีดอกไม้และผลไม้สวย ๆ ก็เอามาประดับเถิด” เหยียนอี้พูดกับหลางกวนเอ๋อร์
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งและแบ่งครีมที่เหลือออกเป็นสองส่วน